คนแบบ “อ้วนเสี้ยว” ไม่เคยสูญพันธุ์

เดือนสุดท้ายของปี 2561 เป็นเดือนที่ตั้งใจว่า จะชวนคุณผู้อ่านมาทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเราได้พบเห็นตลอด 365 วันกัน สัปดาห์ที่แล้วได้เขียนถึงเรื่องความเปลี่ยนแปลงของวงการสื่อและข้อมูลข่าวสารในยุคปัจจุบัน จนทำให้เกิด “มหาสมุทรของการทำซ้ำ” สัปดาห์นี้เลยว่า จะชวนคุณผู้อ่านคุยเรื่องของ “คน” กับ “อำนาจ” ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่เรื่องอำนาจในการปกครองประเทศเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงอำนาจในมือคนที่เป็นเจ้านาย เจ้าบ้าน ที่ต้องหมั่นสำรวจตัวเองให้มาก เพื่อที่จะได้พา “เรือ” ของตนเองรอดพ้นจากมรสุมที่ทุกวันนี้สามารถเกิดขึ้นได้แทบจะทุกนาที

เรื่องของอำนาจกับคนนั้น เหมือนวงล้อมักจะวนกลับมาที่เดิม เมื่อเป็นคนสามัญก็ยังตั้งใจดี แต่พอได้อำนาจไปแล้วก็กลายเป็นว่า ความตั้งใจดีที่มี จะเกิดขึ้นเฉพาะที่ตนเองเห็นว่าดีเท่านั้น ใครเห็นต่างก็กลายเป็นความคิดที่ไม่ดีไปเสีย
จากที่เคยอ่อนน้อมถ่อมตน พอมีอำนาจอยู่ในมือแม้น้อยนิด ก็จะคิดว่าโลกทั้งโลกอยู่ใต้ฝ่าเท้า อาการแบบนี้มักเกิดขึ้นกับ “ผู้บริหารระดับกลาง” ที่เพิ่งมีตำแหน่งแห่งหนด้วยผลงานจากที่วิ่งตามรับใช้ใกล้ชิดเจ้านาย ส่วนคนที่ขึ้นมาด้วยฝีมือจริง ๆ จะยังคงทำหน้าที่ของเขาต่อไปอย่างเงียบ ๆ และคิดพัฒนางานของตนเองไปเรื่อย ๆ

ตัวอย่างหนึ่งที่เหมาะสมในการเตือนตนเองเมื่อมีอำนาจวาสนาขึ้นมา คือตัวละครอย่าง “อ้วนเสี้ยว” ในสามก๊ก เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายคนคงเคยได้เห็นผ่านตาหรือได้อ่านกันมาบ้างแล้ว และสัปดาห์นี้ก็ขอนำมาคุยกับคุณผู้อ่านอีกครั้ง

“อ้วนเสี้ยว” นั้นเป็นเพื่อนร่วมเรียน ร่วมรบมากับโจโฉ หากแต่ปูมหลังของ “อ้วนเสี้ยว” นั้น สืบเชื้อสายมาจากขุนนางเก่าแก่ แม้ว่าอ้วนเสี้ยว จะมีความสามารถไม่เท่ากับโจโฉ แต่อ้วนเสี้ยว รายล้อมไปด้วยผู้มีปัญญาจนทำให้ “อ้วนเสี้ยว” กลายเป็นผู้นำ 18 เมืองต่อต้าน “ตั๋งโต๊ะ”

เมื่อ “อ้วนเสี้ยว” สามารถปราบ “ตั๋งโต๊ะ” ด้วยความช่วยเหลือจากขุนศึก และนักปราชญ์ที่มีความสามารถ จนได้ขึ้นเป็นสมุหนายกคุมอำนาจทั้งแผ่นดิน ตัวจริงของ “อ้วนเสี้ยว” ก็เริ่มปรากฎและทำให้เห็นว่า “อ้วนเสี้ยว” ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “ตั๋งโต๊ะ” จนทำให้เพื่อนที่เคยร่วมรบอย่าง “โจโฉ” นั้นคิดการณ์ใหญ่กำจัด “อ้วนเสี้ยว” เพื่อทำให้บ้านเมืองกลับมาสงบสุข แต่การกำจัด “อ้วนเสี้ยว” ไม่ใช่เรื่องง่าย เหนืออื่นใด “โจโฉ” ในเวลานั้น ยังไม่ได้มีพรรคพวกมากมายเท่าใดนัก

แต่สิ่งหนึ่งที่ โจโฉ มีและนับเป็นสิ่งสำคัญ คือ ที่ปรึกษาที่มีปัญญาอย่าง “กุยแก” ผิดกับอ้วนเสี้ยว ที่พอมีอำนาจแล้ว ก็วางตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง และรายล้อมไปด้วยขุนนางประจบสอพลอที่หวังเพียงผลประโยชน์ของตนเอง

“กุยแก” ถือว่า เป็นปราชญ์คนหนึ่งของยุค ได้กล่าวกับ โจโฉ ที่ยังมีความกังวลใจในการจัดการกับอ้วนเสี้ยวว่า “ท่านมีความแตกต่างกับอ้วนเสี้ยว ในความแตกต่าง 10 ข้อนี้ คือ ความได้เปรียบที่จะทำให้ท่านมีชัยเหนือ อ้วนเสี้ยว” ความแตกต่างที่ “กุยแก” ว่าเอาไว้นั้น คือ คุณสมบัติของผู้นำที่เลว และจะนำพามาซึ่งความสูญเสีย อันประกอบไปด้วย

1. อ้วนเสี้ยว สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ ทำให้เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง และถือตัวมากเกินไปไม่ฟังความคิดของคนอื่น

2. อ้วนเสี้ยว นอกจากไม่ฟังใครแล้ว ยังชอบดูถูกความคิดคนอื่น และเอาตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง

3. อ้วนเสี้ยว เป็นคนโลเลไม่ตัดสินใจเด็ดขาด เพราะกลัวที่จะต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมา

4. อ้วนเสี้ยว เห็นแก่ญาติพี่น้องของตนเอง โดยไม่สนใจว่า ญาติพี่น้องของตนเองจะทำผิดหรือถูก

5. อ้วนเสี้ยว ไม่สามารถแยกดีแยกร้ายได้ สุดท้ายสถานการณ์ก็บานปลาย

6. อ้วนเสี้ยว ชอบใช้วิธี Divide and rule ต่อหน้าพูดอย่าง ลับหลังพูดอีกอย่าง เพื่อให้ลูกน้องหรือคนในปกครองแตกกัน

7. อ้วนเสี้ยว ชอบคนสอพลอ ลูกน้องที่อยู่ใกล้ชิดมักได้รับรางวัลแม้ไม่มีความสามารถ และลืมลูกน้องที่อยู่ห่างแต่มากความสามารถ

8. อ้วนเสี้ยว เป็นคนหูเบา ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะชอบฟังแต่คำหวาน ทำให้อ้วนเสี้ยวตัดสินใจผิดพลาดหลายต่อหลายครั้ง

9. อ้วนเสี้ยว แม้จะสืบเชื้อสายมาจากขุนนางเก่า แต่สุดท้ายเมื่อมีอำนาจก็ทำตามอำเภอใจไม่เคารพในธรรมเนียมปฎิบัติเดิม

10. อ้วนเสี้ยว เป็นคนไม่ใฝ่ศึกษาหาความรู้ในกลศึก หรือตำราพิชัยสงคราม ทำให้ไม่มีความเชี่ยวชาญต้องอาศัยให้คนอื่นช่วยคิด สุดท้ายก็ต้องแพ้อย่างที่เห็น

ตัวละครอย่าง อ้วนเสี้ยว นั้น แม้จะปรากฎอยู่ในวรรณกรรมจีนโบราณ แต่ด้วยเนื้อหาที่ถูกยกให้เป็น วรรณกรรมเพชรน้ำเอกของโลก ด้วยการที่นำเอาลักษณะของคน ความซับซ้อนทางความคิดของคน รวมไปถึงคุณธรรมน้ำมิตรในใจคน ผ่านออกมาทางตัวละครแต่ละตัวนั้น ทำให้เราได้เห็นความเป็น “คน” ที่ยังคงชัดเจนอยู่จนปัจจุบัน