ชีวิตจริงมันโคตรโหด (อันเนื่องมาจาก Gran Turismo)

“ในชีวิตคนเราถ้าตกหลงไปในหลุมที่ไม่มีทางขึ้นแล้ว คุณมีสองทางเลือก ทางแรกคือพยายามปีนป่ายขึ้นมาปากหลุมให้ได้ แม้จะต้องตกลงไปอีกเป็นร้อยครั้ง อีกทางคือยอมก้มหน้ารับโชคชะตาอยู่ก้นหลุมร่วมกับคนส่วนใหญ่ต่อไป”

เป็นความรู้สึกของผู้เขียน หลังชมภาพยนตร์ Gran Turismo จบ นับเป็นการเข้าโรงภาพยนตร์ครั้งแรกในรอบหลายปี และดูเหมือนว่าหนังที่มีความยาวสองชั่วโมงเศษ ที่ผู้เขียนตั้งใจมาดูผลงานของผู้กำกับชาวแอฟริกาใต้ นีล บลอมแคม (Neill Blomkamp) จะให้อะไรที่มากกว่าหนังรถแข่ง

ชื่อเสียงของ บลอมแคม นั้น สร้างชื่อมาจากบทภาพยนตร์ที่ได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และยังเป็นผู้กำกับที่เชี่ยวชาญงานคอมพิวเตอร์กราฟิก งานภาพและเนื้อหาของ Gran Turismo อัดแน่นคุณภาพ ชนิดที่น่าจะเป็นหนังแข่งรถที่เหมาะกับการพาครอบครัวมาชมเลยทีเดียว ยิ่งสร้างจากเรื่องจริงของนักแข่งรถชาวอังกฤษ ยานน์ มาร์เดนโบโร นักขับจากเกมเพลย์สเตชัน ที่ได้พัฒนาจนเป็นนักแข่งในสนามแข่งจริง น่าจะเป็นแรงบันดาลใจชั้นดีให้กับเด็กวัยรุ่นที่ชื่นชอบเกมและความเร็วไม่น้อย

ลายเซ็นของบลอมแคมที่มักปรากฏในบทภาพยนตร์ที่เขาเขียน คือเรื่องของชนชั้น ชีวิต และโอกาสของคนที่อยู่ในชนชั้นแรงงาน แน่นอนว่าใน Gran Turismo ปรากฏเรื่องราวเหล่านี้อยู่ตลอดทั้งเรื่อง (สปอยล์เล็กน้อย) อย่างในฉากที่ ยานน์ คิดว่าถูกพ่อทำโทษให้ไปช่วยงานที่สถานีรถไฟ ผู้เป็นพ่อบอกกับลูกชายว่า “นี่ไม่ใช่การทำโทษ แต่ที่ให้มาช่วยงานที่สถานีรถไฟ เพื่อให้ ยานน์ รู้ว่าชีวิตคนเราถ้าไม่วางแผน (ไม่เรียนหนังสือ) จะต้องมาจบในฐานะคนใช้แรงงานแบบนี้”

เมื่อลงสู่สนามจริง ชีวิตของ ยานน์ เปลี่ยนผ่านจากเกมหน้าจอ ที่เมื่อแพ้ก็แค่รีสตาร์ตใหม่ ลงมาอยู่บนสนามแข่งขันในฐานะนักแข่ง เขาได้เรียนรู้ว่าชีวิตจริงมันโคตรโหด การเป็นนักกีฬาแข่งรถไม่ใช่แค่ขับรถเป็น แต่ต้องมีร่างกายที่แข็งแรงเช่นเดียวกับนักกีฬาทั่วไป เพราะต้องเจอกับ “แรงจี” จากความเร็วในระดับ 300+ กม./ชม. แรงกดดันที่ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา เพราะอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ในสนามแข่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ Gran Turismo ถ่ายทอดออกมาได้ชัดเจน และทำให้เห็นว่าชีวิตจริงในสนามแข่งนั้นมันโหดร้ายเพียงใด

ขณะเดียวกัน Gran Turismo ยังทำให้เห็นว่าชีวิตจริงนั้น คุณมีสิทธิ์ถูกทุบให้ตกลงไปในหลุมที่ไม่มีทางขึ้นได้ตลอดเวลา ดังเช่นในฉากที่ ยานน์ เจอกับบททดสอบชนิดที่โดนทุบลงไปแล้วหนึ่งครั้ง ฟื้นขึ้นมายังถูกทุบลงไปเป็นครั้งที่สอง ในเวลานั้นยานน์มีสองทางเลือก คือปีนขึ้นมาจากหลุมหรือก้มหน้ารับโชคชะตา ยานน์ โชคดีที่มีครูดี เขาเลือกที่จะปีนด้วยความยากลำบากขึ้นมาอยู่ปากหลุม เป็นความมุ่งมั่นที่ ยานน์ บอกกับตนเองว่า “จะได้ใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องหันกลับไปเสียใจภายหลัง”

จังหวะและโอกาสในชีวิตคนเรามักมาไม่ค่อยพร้อมกันนะคะ เพราะถ้าโอกาสมีแต่จังหวะยังไม่ใช่ผลที่ออกมาก็ไม่เต็มร้อย หรือถ้าจังหวะมีแต่โอกาสไม่อำนวยคุณก็ไม่ได้แสดงฝีมือ แต่ถ้าวันหนึ่งคุณมีทั้งจังหวะและโอกาสอยู่ในมือ จงอย่าปล่อยมันหลุดมือไป ลองเต็มที่กับมันสักครั้ง แม้ว่าในระหว่างทางชีวิตมันจะทุบคุณจนน่วม แต่เมื่อคุณผ่านจุดนี้ไปได้แล้ว คุณจะได้เห็นตัวเองอยู่ในจุดที่คาดไม่ถึง และไม่มีความรู้สึกค้างคาใด ๆ อยู่ในใจ เมื่อหันกลับไปมองอดีตที่ผ่านมา

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ