ฟิตเนสใต้น้ำ (ตอนแรก)

“ฟิตเนสใต้น้ำ” นั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายและสะดวก ขอแค่มีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำว่า มีความแตกต่างจากอากาศ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

อีกประเด็นหนึ่งในเรื่อง “ฟิตเนสใต้น้ำ” นี้ ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำ ก็คือ ความรู้เกี่ยวกับการจัดระเบียบร่างกายให้เหมาะสม

เมื่อทราบและเข้าใจหลักการสองข้อข้างต้น “ฟิตเนสใต้น้ำ” ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเข็ญใจอะไร และทุกเพศทุกวัยก็สามารถ “ฟิตเนสใต้น้ำ” ได้เสมอกัน

อีกทั้ง “ฟิตเนสใต้น้ำ” มีประโยชน์ไม่ต่างไปจากการออกกำลังกายปกติ คือ การออกกำลังกายบนพื้นดินแต่อย่างไร เผลอ ๆ อาจมีคุณค่ามากกว่าเสียด้วยซ้ำ

จากหลักการข้อแรก มีความรู้เบื้องต้นข้อหนึ่งเกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำ กล่าวคือ น้ำจะมีแรงดันลอยตัวเป็นลักษณะปกติของน้ำอยู่ และการ “ฟิตเนสใต้น้ำ” มีข้อแนะนำว่า ควรใช้ระดับน้ำแค่หน้าอก ไม่ควรลึกหรือตื้นไปกว่านี้

ดังนั้น หากเราจะกล่าวถึงเรื่องของแรงดันลอยตัวแล้ว เมื่อเราลงไปแช่ในน้ำแล้วยืนอยู่นิ่ง ๆ ร่างกายของเราจะค่อย ๆ ลอยขึ้นเล็กน้อย และเมื่อเราพยายามจะย่อตัวนั่งลงใต้น้ำ ถ้าไม่ออกแรงมากพอ เราจะพบว่า ไม่สามารถลงไปนั่งที่พื้นน้ำได้ง่ายเลย

แต่ถ้าเราออกแรงกดตัวเองลงไปจนนั่งกับพื้นสระได้ เราก็จะสัมผัสถึงแรงดันมหาศาลของน้ำที่พยายามผลักเราให้ลอยขึ้นไปเรื่อย ๆ

ดังนั้น หลักการของ “ฟิตเนสใต้น้ำ” ก็คือ การสร้างพลังต้านกำลังน้ำลอยตัวให้กับร่างกาย โดยพยายามฝืนแรงดันสวนทางกับทิศที่น้ำผลักเราขึ้นมา นั่นหมายความว่า การเคลื่อนไหวใต้น้ำ ทำได้ยากกว่าบนบกนั่นเอง

ดังนี้ หลักการสำคัญของ “ฟิตเนสใต้น้ำ” ก็คือ ความพยายามเสริมแรงต้านให้กับร่างกายของเราในปริมาณมาก ๆ เพื่อที่กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ จะได้มีกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก ๆ นั่นเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ฟิตเนสใต้น้ำ” ที่ถูกวิธีนั้น ควรกระทำในทิศทางที่ร่างกายต่อต้านกับแรงลอยตัวของน้ำ นั่นหมายถึง การเคลื่อนไหวในแนวดิ่ง

แน่นอนว่า “ฟิตเนสใต้น้ำ” ต่างจาก “ฟิตเนสบนบก” ก็ตรงจุดนี้ โดยที่การออกกำลังกายบนพื้นดิน คือ การต้านแรงดึงดูดของโลก ด้วยการกระโดด หรือวิ่งนั่นเอง

จุดเด่นของ “ฟิตเนสใต้น้ำ” อันดับแรกสุดเลยก็คือ ความสดชื่น เนื่องจากน้ำ มีคุณลักษณะสำคัญของตัวมันเองข้อหนึ่ง คือ การถ่ายเทอุณหภูมิที่รวดเร็ว ดังนั้น “ฟิตเนสใต้น้ำ” จะสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้กับเราได้มากกว่าการ “ฟิตเนสบนบก” เหตุผลหลัก ก็คือ น้ำจะช่วยรักษาสมดุลความร้อนความเย็นให้กับเราได้คงที่

อีกเคล็ดลับหนึ่งของ “ฟิตเนสใต้น้ำ” ก็คือ เราจะสูญเสียเกลือแร่ที่ร่างกายขับออกมาขณะ “ฟิตเนส” น้อยกว่าการ “ฟิตเนสบนบก” นั่นเอง

ส่วนจุดด้อยของ “ฟิตเนสใต้น้ำ” ก็คือ สิ่งที่ตรงกันข้ามทุกประการกับจุดเด่น นั่นหมายถึง เมื่อความเย็นของน้ำคือจุดเด่นที่ช่วยลดการสูญเกลือแร่จากการเสียเหงื่อ ดังนั้น ความเย็นจึงทำให้เกิดอีกปัญหาหนึ่งตามมา นั่นคือ ตะคริว

เป็นที่รู้กันดีในหมู่ของนักกีฬาหรือผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายว่า ตะคริว มีสาเหตุจากการที่กล้ามเนื้อหดตัวแล้วไม่ยืดกลับ เราจึงเกิดอาการปวดบริเวณที่กล้ามเนื้อหดตัวนั้น

อันที่จริงแล้ว นอกจากปัญหากล้ามเนื้อหดแล้วไม่คลายตัวแล้ว สาเหตุของ ตะคริว นั้น ก็มีต้นทางมาจากปัจจัยอีกหลายอย่าง อาทิ การขาดออกซิเจน เพราะมีคาร์บอนไดออกไซด์คั่งค้างอยู่ในร่างกายในปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายจะทนทานได้

อีกกรณีหนึ่งซึ่งเป็นผลมาจากคุณสมบัติดั้งเดิมของน้ำโดยตรง กล่าวคือ ตะคริว เกิดจากลักษณะเด่นของน้ำ ก็คือ  ความเย็น นั่นเอง

ดังนั้น การวอร์มอัพหรือการอบอุ่นร่างกายให้เพียงพอ ก่อนที่เราจะลงไป “ฟิตเนสใต้น้ำ” นั้น สามารถช่วยป้องกัน ตะคริว ได้เป็นอย่างดี

แต่ถ้าเราวอร์มอัพอย่างถูกต้องตามหลักการเป็นอย่างดีแล้ว ปรากฏว่า ระหว่างที่เรากำลัง “ฟิตเนสใต้น้ำ” อยู่นั้น ยังคงเกิด ตะคริว ขึ้นอีก

วิธีแก้ไขสำหรับนัก “ฟิตเนสใต้น้ำ” ก็คือ การนวดกล้ามเนื้อที่เป็น ตะคริว ร่วมกับการดัดข้อต่อที่กล้ามเนื้อนั้นดึงรั้งอยู่ให้ยืดออกนั่นเอง

มาถึงบรรทัดนี้ เมื่อชาว “ต้นคิด 360 องศา” มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ “ฟิตเนสใต้น้ำ” กันพอสังเขปกันในสัปดาห์แล้ว

ในตอนหน้า เราจะมาแนะนำ Sport Gadgets ตัวเจ๋ง สำหรับ “ฟิตเนสใต้น้ำ” กัน