Don’t Call Me Ma’am อายุ 41 แล้วไงยะ! ไม่พร้อมจะเป็นป้าใคร!

ภาพจาก TV CHOSUN

เมื่อประมาณ 2-3 สัปดาห์ก่อน ช่วงประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน ด้วยความที่ติดตามอยู่ตลอดว่าเดือนใหม่มีซีรีส์เรื่องไหนเข้าใหม่บ้าง แล้วก็ไปสะดุดตากับซีรีส์เรื่องหนึ่งแนวการเติบโตผ่านช่วงวัย ซึ่งมันไม่ใช่ซีรีส์วัยหนุ่มสาววัยรุ่น แต่เป็นวัยผู้ใหญ่ที่เข้าสู่วัยกลางคน เพราะหลัง ๆ มาอินซีรีส์แนวนี้เป็นพิเศษ รู้สึกว่าดูแล้วมันสะท้อนชีวิตตัวเองดี เหมือนจะเห็นตัวเองสะท้อนอยู่ในตัวละครใดตัวละครหนึ่ง (หรือแก่แล้ววะ) ข้อมูลเบื้องต้นบอกว่าลงที่ Netflix แต่พอไปค้นใน Netflix ก็หาไม่เจอ เลยสืบต่อ สรุปมีแค่ใน Netflix เกาหลี ตอนนั้นใจแฟ่บละว่าไม่น่าจะได้ดู แต่ในที่สุดก็มีผู้ใจดีอย่าง TrueVisions Now เอามาทำซับไทยให้ได้ดูจนได้

Don’t Call Me Ma’am หรือชื่อภาษาไทยจุดเจ็บ อย่าเรียกฉันว่า…ป้า เล่าเรื่องราวชีวิตที่สุดแสนจะวุ่นวายของ 3 สาวเพื่อนซี้วัย 41 ปีที่คบหาเป็นเพื่อนกันมาเกินครึ่งชีวิต มาจนถึงวันที่พวกเธอแต่ละคนต่างเจอจุดเปลี่ยนในชีวิตในวัย 41 ปี เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเธอต้องเผชิญหน้ากับทางตันที่เหมือนจะไปต่อไม่ได้แล้ว ด้วยอายุ 41 ปี พวกเธอรู้สึกว่าตัวเอง “แก่เกินไป” และใคร ๆ ก็มองว่ามันสายเกินไปแล้วสำหรับวัยของพวกเธอ ถึงอย่างนั้น พวกเธอก็พยายามดิ้นรนที่จะผ่านวิกฤติของช่วงวัยนี้ไปให้ได้ และพบกับชีวิตที่มีความสุขอีกครั้ง

ภาพจาก FB: TV CHOSUN

“โจนาจอง” อดีตพิธีกรดาวรุ่งของรายการโฮมชอปปิง ผู้ทิ้งงานในฝันมาเป็นแม่บ้านฟูลไทม์เลี้ยงลูก 2 คน เธออยากกลับไปทำงานที่บริษัทเดิมหลังออกจากงานมา 6 ปี แต่สามีของเธอที่ทำงานอยู่ในบริษัทค้านหัวชนฝา ไม่ยอมให้เธอกลับไปทำงานที่บริษัท (คุ้น ๆ นะ ทรงเดียวกันกับ Doctor Cha เลยแฮะ) “กูจูยอง” หญิงสาวที่ใคร ๆ ก็เห็นว่าชีวิตเธอนั้นเพอร์เฟกต์ แต่แท้จริงแล้วชีวิตคู่ของเธอสุดจะขมขื่น เธอเป็นภรรยาที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่เย็นชา ถูกกดดันว่าเมื่อไรจะมีลูก แต่เธอคือคนที่พยายามทำทุกอย่างตามลำพัง ปราศจากความร่วมมือจากสามี ปิดท้ายด้วย “อีอิลรี” สาวโสดสุดสตรองที่ใคร ๆ ก็เห็นว่าชีวิตการงานของเธอประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แต่แท้จริงกลับโดดเดี่ยวเกินบรรยาย เธอทำเป็นหรรษากับความรักแบบไม่ผูกพัน พยายามเข้มแข็ง ทั้งที่ในใจอยากได้รับความรักเหมือนคนอื่น ๆ

ภาพจาก FB: TV CHOSUN

แต่แล้ววันหนึ่ง…พวกเธอก็ตระหนักได้ว่าวัย 41 ปีมันก็แค่ช่วงหนึ่งของชีวิต เหมือนช่วงอายุอื่น ๆ ที่พวกเธอเคยผ่านมา เพราะฉะนั้น ทำไมพวกเธอจะกลับมาเฉิดฉายไม่ได้ อายุ 41 แล้วไง? มันก็แค่อายุที่มากขึ้นเองปะ? ใช่ว่าจะลาโลกวันนี้พรุ่งนี้เสียเมื่อไร เมื่อทบทวนทุกสิ่งอย่าง พวกเธอจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตตัวเองอย่างกล้าหาญ ไม่ยอมปล่อยให้ความฝันตายไปพร้อมกับอายุที่มากขึ้นและสังขารที่ไม่เหมือนวัยสาว เพราะการใช้ชีวิตให้ดีที่สุด หาใช่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นชีวิตที่ยังมีไฟที่จะเริ่มต้นใหม่ให้กับความต้องการของตัวเอง มันไม่มีคำว่า “สายเกินไป” สำหรับการเริ่มต้นใหม่หรอก และมีแค่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะเปลี่ยนชีวิตให้มีความสุขกว่าเมื่อวานได้!

เมื่ออยู่ในวัย 20 เราคิดว่าอายุ 40 จะไม่มีวันมาถึง…หัวใจยังเป็นวัยรุ่นเหมือนเดิม แต่โลกกลับเรียกฉันว่าวัยที่ไม่ควรจะหลงทางแล้ว คิดว่าชีวิตจะง่ายกว่านี้ แต่ก็ยังล้ม ยังหลงทางอยู่เหมือนเดิม

ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเห็นชีวิตตัวเองในซีรีส์เรื่องนี้ เพราะมีหลายความคิด หลายคำพูดของตัวละครที่ฉันเองก็เคยคิดเคยพูดจริง ๆ เหมือนกัน อย่างในข้อความข้างต้น สารภาพเลยว่าเพิ่งมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวเมื่อไม่นานมานี้เอง ตอนที่อายุเปลี่ยนผ่านจากวัยเลข 2 เข้าสู่วัยเลข 3 นี่นั่งนึกย้อนอยู่ว่าตัวเองสมัยเด็ก ๆ ก็ไม่เคยคิดเลยนะว่าอายุ 30 จะมาถึง คือมันจินตนาการไม่ออก ไม่รู้ว่าตัวเองในวัย 30 จะมีสภาพเป็นยังไง ตอนนั้นคิดแค่ว่าถ้ายังมีชีวิตอยู่จนถึงเลข 3 ได้ก็ถือว่ามหัศจรรย์มากละ (ด้วยความที่ชีวิตสูญเสียเพื่อนวัยเดียวกันที่เรียนมาด้วยกันไปแล้วหลายคน พวกเขาไม่มีโอกาสมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 30) บอกตามตรงว่าไม่เคยกล้าคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ไปจนถึงแก่

ภาพจาก FB: TV CHOSUN

ตอนนี้เข้าสู่วัยเลข 3 มาแล้ว สเตปต่อไปก็คือวัยเลข 4 แบบตัวละครในซีรีส์ นี่แหละมั้งเหตุผลที่ทำให้อินกับซีรีส์แนวการเติบโตผ่านช่วงวัยขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันเหมือนกระจกที่สะท้อนชีวิตจริงของตัวเราเอง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเสพและอินกับซีรีส์แนวนี้หลายเรื่อง และช่วงอายุมันก็ค่อย ๆ ขยับขึ้น ตั้งแต่ Work Later, Drink Now แก๊งเพื่อนสาววัย 29 ที่รักการดื่มเป็นชีวิตจิตใจ How to be Thirty นำเสนอชีวิตสุดวายป่วงของคนวัย 30 ที่เต็มไปด้วยความโลดโผนและน้ำตา Thirty-Nine ชีวิตสุดท้าทายในช่วงสุดท้ายของอายุวัยเลข 3 (39 ปี) ก่อนที่จะขยับมาเป็นเลข 4 Becoming Witch นี่คือการก้าวเข้าสู่วัยเลข 4 อย่างเต็มตัว ความโหดร้ายในชีวิตทำให้พวกเธอกลายเป็นแม่มด

ภาพจาก FB: TV CHOSUN

จนถึง Don’t Call Me Ma’am ที่ผ่านจากวัย 40 มาสู่ 41 ปี ที่ทำให้เห็นชีวิตชัดเจนขึ้น ด้วยค่านิยมทางสังคมที่ไม่ได้แตกต่างกัน จริง ๆ แค่อายุเข้าเลข 3 มาเนี่ย มันก็เริ่มไม่เหลือช่องว่างของการลองผิดลองถูกแล้วนะ เริ่มมีเกณฑ์ที่ใครก็ไม่รู้เป็นคนกำหนดว่าอายุเท่านี้ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองแล้วสิ แต่งงานมีครอบครัวได้แล้วนะ หรือต้องประสบความสำเร็จ ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้แล้ว เพราะฉะนั้นก็จะเหลือเวลาพิสูจน์ตัวเองอีกไม่กี่ปีก่อนเข้าสู่วัยเลข 4 ซึ่งเป็นวัยที่จะถูกคาดหวังเต็มประตูเลยว่าควรจะมั่นคงอย่างเต็มที่ และไม่มีสิทธิ์หลงทางอีกต่อไป ตัวละครหลักทั้ง 3 คนในเรื่องนี้จึงเป็นตัวละครที่เราทุกคนอาจจะต้องรอเจอในชีวิตจริง หลายคนผ่านมาแล้ว และอีกหลายคนน่าจะกำลังเจออยู่

ภาพจาก FB: TV CHOSUN

ไม่มีใครรู้หรอกว่าวันหนึ่งเราจะต้องเผชิญหน้ากับทางแยก และความไม่แน่นอนในวัยกลางคนแบบที่พวกเธอเจอหรือเปล่า (แต่คิดว่าไม่รอด 555) อย่างพวกเธอเองก็เคยคิดแบบเด็ก ๆ ในตอนที่ยังเด็กจริง ๆ ว่าชีวิตในวัยนี้มันจะง่ายกว่านี้ สง่างามกว่านี้ แต่ในความเป็นจริง พวกเธอก็ยังล้ม ยังหลงทางอยู่เหมือนเดิม แต่พวกเธอโชคดีที่มี “มิตรภาพดี ๆ” หล่อเลี้ยงชีวิต และเป็นพลังดี ๆ ให้แก่กันและกันในการก้าวข้ามบทเรียนของชีวิต (จะว่าไปซีรีส์ทุกเรื่องที่กล่าวไปในย่อหน้าก่อนหน้า มันเล่าเรื่องราวของสามสาวเพื่อนซี้ทุกเรื่องเลยนี่หว่า) ในวัยที่เท่ากันแต่ผ่านเส้นทางชีวิตมาไม่เหมือนกัน ทำให้พวกเธอกลายเป็นกระจกที่สะท้อนชีวิตของกันและกัน เพื่อนทำให้เห็นปัญหาบางอย่างที่เรายังไม่เจอ

เพื่อนดี ๆ น่ะหายากนะ โดยเฉพาะเพื่อนแบบในซีรีส์ ที่พวกเธอล้วนอยู่ในความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนมาอย่างยาวนาน รู้จักกันมาเกินครึ่งชีวิต เมื่อใครก็ตามในแก๊งประสบปัญหาชีวิต เพื่อนก็จะเป็นคนคอยปลอบใจ เป็นคนคอยรินเหล้าและหามกลับบ้าน 555 บางที เพื่อนอาจกลายเป็นหนามทิ่มแทงใจ เพราะมันคือคนที่กล้าจะพูดแทงใจดำตรง ๆ ถึงความจริงที่เราไม่อยากฟัง และอีกหลาย ๆ ที เพื่อนก็คือที่พึ่งพาเดียวที่ทำให้เราไม่ล้ม ก็พวกมันทั้งถีบ ทั้งดัน ทั้งคอยพยุงอยู่เสมอนี่นา และซีรีส์เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ถ่ายทอดมิตรภาพเพื่อนหญิงพลังหญิงได้อย่างลึกซึ้ง และมันก็ช่วยฮีลใจไม่น้อยเลย ว่าในวันที่เราล้ม เพื่อนก็ยังยื่นมือมาช่วย และไป ๆ มา ๆ มันก็ล้มเหมือนกัน เอาล่ะ! ได้เวลาฮีโร่สาว

ตอนเด็ก ๆ ฉันคิดว่าอายุเท่านี้คงใช้ชีวิตได้สวยกว่านี้ แต่ทำไมตอนนี้ถึงรู้สึกเหมือนว่ากำลังแก่ไปทั้งที่ไม่สำเร็จอะไรเลย

เป็นคำพูดที่ชวนสะอึกไม่น้อยเลยแฮะ แถมยังเหมือนเห็นกระจกที่สะท้อนให้เห็นชีวิตตัวเองด้วย นี่เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่ดูซีรีส์ Don’t Call Me Ma’am น่าจะรู้สึกคล้ายกันว่าเหมือนเห็นตัวเองในฉากนี้ และคล้อยตามไปกับเสียงในหัวของ “โจนาจอง” ที่กำลังนั่งทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันเกิดอายุ 41 ปีของตัวเอง เอาจริง คนดูหลายคนไม่ได้อายุ 41 ปีเท่ากับตัวละครหรอก จะมากกว่าหรือน้อยกว่าก็ตามที แต่สิ่งที่ตัวละครนี้กำลังคิดและรู้สึก มันคือสิ่งเดียวกันกับที่เราหลายคนก็กำลังคิดและรู้สึกอยู่เลย ตอนที่ยังเด็กกว่านี้ ตอนที่ยังสดใสกว่านี้ เคยคิดว่าตัวเองในวัยผู้ใหญ่จะต้องเจ๋งมากแน่ ๆ ทว่าพออายุเท่านั้นจริง ๆ กลับไม่รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นเลยแค่แก่ขึ้นเฉย ๆ ไม่เจ๋งแถมยังเจ๊งอีกต่างหาก

ภาพจาก FB: TV CHOSUN

ส่วนในมุมของตัวละคร ใครจะไปคิดล่ะว่าตัวเองในวัย 41 ปี ยังต้องมานั่งโกหกแม่ว่าชีวิตดีมีความสุขอยู่เลย เอาจริงนะ ฉากที่ “โจนาจอง” กำลังนั่งซดซุปสาหร่ายที่แม่ทำมาให้ในวันเกิด แล้วรับโทรศัพท์ที่แม่โทรมาถามว่ากินซุปหรือยัง และทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม นี่น้ำตาหยดแหมะเลยนะ เพราะสิ่งที่เธอบอกกับแม่อาจจะไม่มีความจริงเลยสักอย่าง เรื่องซุปสาหร่าย เราไม่รู้ว่าเธอ (มีเวลา) กินแล้วจริงไหม ตั้งแต่เปิดเรื่องมาเราเห็นแต่เธอหัวหมุนอยู่กับการเลี้ยงลูกจนไม่มีเวลาของตัวเองเลย ขนาดออกไปกินข้าวกับเพื่อนในวันเกิด ยังต้องรีบยัดทุกอย่างเข้าปากก่อนที่ลูกจะเล่นเสร็จ แม้ว่าในฉากนี้เธอจะกำลังนั่งกินข้าว แต่ก็ไม่รู้ว่าใช่ซุปสาหร่ายที่แม่ทำมาให้หรือเปล่า

ภาพจาก FB: TV CHOSUN

นอกจากเรื่องซุปสาหร่าย เธอก็โกหกแม่ทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ออกไปเจอแก๊งเพื่อน (เรื่องจริงมีแค่นี้) แต่จนถึงเวลาที่แม่โทรหานี้เธอก็ยังคงสนุกสนานอยู่นอกบ้านกับเพื่อน ๆ และเรื่องที่ตอนนี้สามีของเธอเป็นคนช่วยดูแลลูกให้ตอนที่เธอออกไปข้างนอก ทั้งที่ความจริงเธอกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่บ้านหลังจากที่เอาลูกเข้านอน โดยที่สามีไม่ได้หยุดงานเพื่อมาดูแลลูกอย่างที่นัดแนะกันไว้ด้วย นั่นทำให้เธอต้องกระเตงลูก 2 คนออกไปกินข้าวกับเพื่อนในวันเกิด และก็ต้องรีบพาลูกกลับบ้านเพราะลูกคนเล็กก่อเรื่อง ทั้งที่การนัดเจอกับแก๊งเพื่อนในวันนี้ เป็นการออกนอกบ้านไปฉลองวันเกิดครั้งแรกในรอบ 6 ปีของเธอ

ภาพจาก FB: TV CHOSUN

ในฐานะคนดู เราจะได้เห็นทั้งสีหน้าที่ไม่ปกติ และได้ยินน้ำเสียงที่ขมขื่นของตัวละครอย่างชัดเจน โดยที่รู้ว่าเธอต้องแสร้งฝืนให้ทุกอย่างเป็นปกติที่สุด เหตุผลก็เพราะไม่อยากให้แม่ที่อยู่ปลายสายรู้และไม่สบายใจว่าลูกสาวคนนี้กำลังอ่อนแอสุด ๆ แต่ละคำตอบที่เธอตอบคำถามแม่ มันเต็มไปด้วยมวลของความรู้สึกที่จุกแน่นในอกไปหมด ดูก็รู้ว่าเธออยากร้องไห้ใจจะขาดแต่ทำไม่ได้ ในความคิดเธอ เธอคงรู้สึกว่าตัวเองต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้นะ มันไมโอเคหรอกนะที่คนวัย 41 แถมยังเป็นแม่คนแล้ว จะมานั่งร้องไห้ให้แม่ได้ยิน และต้องเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังว่าตอนนี้เธอพังขนาดไหน ดังนั้น มันน่าจะง่ายกว่าที่ให้แม่รู้ว่าเธอสบายดี ในขณะที่เธอแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว

ไม่ใช่แค่ชีวิตของ 3 สาวหรอก ชีวิตของพวกเราเองก็เหมือนกัน ทุกวันนี้ยังโกหกพ่อแม่ด้วยคำว่า “ผม/หนูสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” อยู่หรือเปล่า เอาเข้าจริง มันน่าจะเป็นคำที่พวกเราใช้โกหกพ่อแม่บ่อยที่สุดแล้วมั้งในวัยผู้ใหญ่นี้ ยิ่งถ้าใครกำลังรู้สึกแบบที่ตัวละครรู้สึก ว่าชีวิตของตัวเองในตอนนี้มันห่วยแตกสิ้นดี พังหมดทุกสิ่งอย่างเลย เหมือนแก่ไปวัน ๆ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง ก็ยิ่งให้พ่อแม่รู้ไม่ได้ว่าเด็กน้อยที่พวกเขาทะนุถนอมเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่ได้เติบโตไปเป็นคนที่ได้ใช้ชีวิตสวย ๆ อย่างที่เคยลั่นวาจาเอาไว้ แต่กลับเติบโตมาเป็นคนที่ใช้ชีวิตจนพังยับเยินได้ขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่ามันพลิกผันตอนไหนเหมือนกัน เท่าที่รู้ก็พยายามใช้ชีวิตมาอย่างดีนะ แต่ตอนนี้มันดันไม่มีอะไรดีเลยนี่สิ!

ภาพจาก FB: TV CHOSUN

ต้องบอกว่าซีรีส์ Don’t Call Me Ma’am เป็นซีรีส์อีกเรื่องที่สะท้อนชีวิตจริงของคนวัยกลางคนได้อย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว มันเป็นช่วงเวลาของชีวิตที่ดูเหมือนจะไม่อนุญาตให้เราหลงทางอีกแล้ว มันถูกครอบงำด้วยความคิดที่ว่าอายุขนาดนี้แล้ว หันหลังกลับไม่ได้แล้วนะ แต่จะให้ไปต่อก็ดูเหมือนว่าจะไปไม่ถึง ราวกับว่าเป็นช่วงเวลาของการถูกตัดสินตามเกณฑ์ว่าปังหรือพัง ถ้าปังก็ต้องรีบลุยต่อให้ไปถึงยุคทอง เพื่อที่ว่าจะได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จแล้วนะ แต่ถ้าพัง ก็เท่ากับว่าหมดโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ เพราะมันหมดช่วงของการลองผิดลองถูกไปแล้ว เหมือนกับว่าเราจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนล้มเหลวแล้ว ถ้ายังไม่มีอะไรสำเร็จในวัยนี้

ภาพจาก FB: TV CHOSUN

แต่ในความเป็นจริง มันจำเป็นแค่ไหนที่เราต้องกำหนดให้จังหวะชีวิตของเราเท่ากับชีวิตของคนอื่น สิ่งที่เราเห็นว่าคนอื่นเขามี เราอยากมีเพราะเห็นคนอื่นเขามีเลยอยากมีบ้าง หรืออยากมีเพราะเป็นความต้องการของตัวเองจริง ๆ หรือแท้จริงแล้วการเร่งใช้ชีวิตตามจังหวะของคนอื่น ตามค่านิยมของสังคม มันกำลังทำให้เราเหนื่อยเกินไป ทำให้เราโดดเดี่ยว หรือบางทีเราอาจจะโยนความฝันทิ้งเอาไว้ข้างทาง แล้วก็ไม่กล้าที่จะยอมรับในความเปราะบางของตัวเอง ด้วยความที่ถูกบังคับด้วยอายุว่าเราต้องเป็นผู้ใหญ่ มันแก่เกินเกินไปที่จะอ่อนแอ จนไม่กล้าที่จะพูดความจริงกับพ่อแม่ด้วยซ้ำว่า ผม/หนูกำลังสับสนและหลงทาง ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้กำลังพาเราสำรวจชีวิตวัย 41 ปี ผ่านสายตาของผู้หญิงสามคน

ภาพจาก FB: TV CHOSUN

เพราะชีวิตในวัย 40+ มันกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวัยกลางคน ทว่าบางคนยังไม่พอใจในชีวิต ไม่รู้สึกว่าชีวิตถูกเติมเต็มให้สมบูรณ์แบบ แล้วก็ไม่กล้าที่จะยอมรับด้วยว่าตัวเองยังสับสนและสงสัยว่าชีวิตจะเดินไปทางไหนดี เหมือนว่าอายุตอนนี้คือหมดสิทธิ์ที่จะโยนหินถามทางหรือหลงทาง ต้องมั่นคงกับเส้นทางที่เลือก ทั้งที่ในความเป็นจริงทุกคนยังสามารถปรับตัว เริ่มต้น เติบโต และหาความสุขในแบบที่ต้องการได้ อย่ายอมให้อายุที่ “แก่เกินไป” กลายเป็นอุปสรรค จงใช้ชีวิตที่มีอยู่ตอนนี้ให้คุ้ม มันไม่มีชีวิตหน้าให้เราได้ลองอีกครั้งแล้ว แม้ว่าจะอยู่ในวัยที่ใคร ๆ ก็บอกว่าสายเกินไปแล้วก็ตาม🪩