พลันที่ Notification ของแอปฯ ข่าว CNN ปรากฏหัวข้อข่าวว่า Netflix ได้เข้าซื้อกิจการของ Warner เป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา สิ่งที่น่าสนใจตามมาคือ Netflix ได้อะไรไปบ้าง เพราะการเข้าซื้อมูลค่ากว่า 75,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ย่อมส่งแรงกระแทกไปยังแวดวง Show Business ทั่วโลก และน่าจะเริ่มเดือดตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2569 เลยทีเดียว
ภายในรายละเอียดการเข้าซื้อที่ปรากฏในเนื้อข่าวนั้นระบุว่า Netflix ได้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ที่ Warner เคยเป็นผู้สร้างมาทั้งหมด ขณะเดียวกันยังได้ครอบครัวแบรนด์ Contents ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง HBO, CNN หรือแม้แต่ค่ายหนังอย่าง DC หากการซื้อครั้งนี้ไม่ได้ระบุถึง Warner Music ซึ่งแยกส่วนกัน แต่ได้คลังภาพยนตร์และซีรีส์ระดับ Warner ไป งานนี้ Netflix น่าจะมีแผนการใหญ่มากขึ้นในปีหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้สตูดิโอภาพยนตร์ของ Warner มาครอบครอง
หากย้อนกลับไปในช่วงแรกของ Netflix ที่ยังไม่ได้มีอิทธิพล และเงินหนาขนาดซื้อเจ้าใหญ่ของฮอลลีวูด พวกเขาได้สร้างภาพยนตร์เรื่องแรกของตนเองที่เรียกว่า Original Netflix และใช้ทุนไม่สูงมากนักในปี 2015 อย่าง Beasts of No Nations หนังดราม่าสงครามที่ได้รับคำชมและมีสมาชิกสตรีมชมเป็นจำนวนมาก จนทำให้ Netflix เริ่มให้ความสำคัญกับการผลิต Original Contents และมาประสบความสำเร็จกับซีรีส์อย่าง Stranger Things และ Money Heist ไปจนถึง Squid Game
จากภาพยนตร์เรื่องแรก Netflix ใช้เวลาเพียงแค่ 10 ปี ในการเข้าซื้อกิจการของ Warner Bros. Discovery ที่มีอายุกว่าหนึ่งศตรวรรษได้สำเร็จ ขณะเดียวกันการเข้าซื้อในครั้งนี้เปรียบเสมือนการประกาศสงครามกับค่ายใหญ่ที่เป็นคู่แข่งอย่าง Prime (Amazon Prime), Disney+, HULU และ Apple TV โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Prime ที่เป็นคู่แข่งสำคัญของ Netflix ในตลาดสหรัฐอเมริกา
สงคราม Contents ที่เปิดฉากตั้งแต่ยังไม่เริ่มปี 2569 พอจะทำให้เห็นว่าเจ้าใหญ่ของตลาดนั้นกลับไปสู่แนวทาง Exclusive และ Original Contents ซึ่งหาดูได้จากเจ้าเดียว ขณะเดียวกันความแข็งแรงของภาพยนตร์และซีรีส์ที่ได้มา น่าจะทำให้มีการสมัครสมาชิกเพื่อรับชมในจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่กำลังชั่งใจ การมี HBO จักรวาลของ DC Harry Potter รวมไปถึง Cartoon Network มารวมอยู่ในที่เดียวกัน จะทำให้ผู้คนตัดสินใจง่ายขึ้น
ส่วนผลกระทบในระยะยาว เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องการผูกขาด ที่จะทำให้เจ้าใหญ่ในตลาดมีสิทธิกำหนดราคาที่ตนเองต้องการ ขณะเดียวกันการปรับเปลี่ยนสถานะในครั้งนี้ย่อมส่งผลต่อสตรีมมิ่งท้องถิ่นที่จะต้องปรับเนื้อหาภายในแอปฯ ของตนเองให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อสู้กับการรวมตัวในครั้งนี้ของเจ้าใหญ่ในตลาด
ในปีหน้าเราคงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสตรีมมิ่งเจ้าใหญ่อย่าง Netflix มากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่เดียวกัน การแข่งขันเพื่อซื้อ Original Contents มาครอบครองน่าจะยิ่งเข้มข้นมากขึ้น ทั้งในส่วนของภาพยนตร์ ซีรีส์ รวมไปถึงลิขสิทธิ์กีฬา เพราะเอาเข้าจริงแล้ว Model ที่ประสบความสำเร็จอย่าง Amazon Prime จนสามารถโค่น Netflix ในสหรัฐฯ ได้ ไม่ใช่แค่เพียงมีภาพยนตร์หรือซีรีส์ระดับสุดยอดอยู่ในมือ แต่ยังผสมผสานลิขสิทธิ์การแข่งขันกีฬาและ รายการทีวีที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกเอาไว้ในที่เดียว
จากนี้ลองมาดูกันว่า เมื่อ Netflix ได้คอนเทนต์ระดับไข่ทองคำไปครอบครองแล้ว จะสามารถปั้นตนเองให้ใหญ่กว่าเดิมได้แค่ไหน ของแบบนี้คงต้องดูกันยาวเลยค่ะ
แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า