“เด็ก” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 หมายถึง บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส ซึ่งเมื่อเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของ “ผู้ปกครอง” ที่จะต้องมีหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็ก โดยในทางกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 4 ได้กำหนดความหมายของคำว่า “ผู้ปกครอง” ไว้อย่างกว้าง ว่าครอบคลุมผู้เกี่ยวข้องทุกคนที่ทำหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูเด็ก ดังนี้
“ผู้ปกครอง หมายความว่า บิดามารดา ผู้อนุบาล ผู้รับบุตรบุญธรรม และผู้ปกครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้หมายความรวมถึงพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง ผู้ปกครองสวัสดิภาพ นายจ้าง ตลอดจนบุคคลอื่นซึ่งรับเด็กไว้ในความอุปการะเลี้ยงดูหรือซึ่งเด็กอาศัยอยู่ด้วย”
นั่นหมายความ เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะต้องอยู่ในความดูแลของผู้ที่เป็นผู้ปกครอง และผู้ปกครองผู้นั้นก็จะต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ครบถ้วน ตามความในมาตรา 23 ที่ระบุไว้ว่า
“มาตรา 23 ผู้ปกครองต้องให้การอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนและพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแลของตน ตามสมควรแก่ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมแห่งท้องถิ่น แต่ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และต้องคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแลของตนมิให้ตกอยู่ในภาวะอันน่าจะเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ”
สิทธิเด็กที่พ่อแม่ ผู้ปกครองต้องรู้
แม้จะเป็นเด็ก แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เด็กก็เป็นสมาชิกในสังคมเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ดังนั้นแล้ว เด็กควรจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายที่เรียกว่า “สิทธิเด็ก” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ได้กำหนดสิทธิเด็กไว้ 4 ประการ คือ
- สิทธิที่จะมีชีวิตรอด
เป็นสิทธิที่เด็กจะได้ตั้งแต่แรกเกิด คือ จะต้องได้รับการจดทะเบียนเกิดเพื่อเป็นประชากรของประเทศ ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ ผู้ปกครองของตน พร้อมทั้งได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างเหมาะสม เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสที่จะเติบโตและพัฒนาต่อไป
- สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง
เมื่อเด็กมีชีวิตรอด สิ่งต่อมาที่พ่อ แม่ ผู้ปกครองต้องให้ก็คือการปกป้องคุ้มครองชีวิตของเด็ก จากการใช้ความรุนแรงทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ คุ้มครองเรื่องการใช้แรงงานผิดกฎหมาย การทำงานที่อันตราย การขัดขวางการศึกษา รวมถึงเด็กมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือจากกระบวนการยุติธรรม
- สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา
พ่อ แม่ ผู้ปกครองจะต้องให้โอกาสเด็กในการเข้าถึงการศึกษาและการพัฒนา ตามกฎหมายเด็กต้องได้รับการศึกษาภาคบังคับ 12 ปี โดยต้องเป็นการศึกษาที่มีคุณภาพ ให้เด็กสามารถเติบโตเพื่อพึ่งพาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ พัฒนาความสามารถทั้งทางร่างกายและจิตใจ ต่อยอดสู่ทักษะเฉพาะ ที่จะทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปในอนาคต
- สิทธิที่จะมีส่วนร่วม
แม้จะยังเด็ก แต่เด็กก็คือสมาชิกคนหนึ่งในสังคมเช่นกัน เด็กจึงมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมอย่างเต็มตัว ทั้งการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี การมีบทบาทในเรื่องต่าง ๆ ที่ผู้ใหญ่จะต้องจัดให้ตามสมควรแก่อายุและวุฒิภาวะของเด็ก และไม่ควรกีดกันการแสดงออก พร้อมกับรับฟังในความคิดของเด็กด้วย
แม้ว่ากฎหมายจะคุ้มครองเด็ก ทว่ากฎหมายก็ยังพูดถึงเด็กที่ “เสี่ยงต่อการกระทำความผิด” เอาไว้ด้วย โดยออกเป็นกฎกระทรวงกำหนดเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำความผิด พ.ศ.2549
เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิดคืออะไร และมีในกรณีไหนบ้าง
“เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด” หมายถึง เด็กที่ประพฤติตนไม่สมควร เด็กที่ประกอบอาชีพหรือคบหาสมาคมกับบุคคลที่น่าจะชักนำไปในทางกระทำผิดกฎหมายหรือขัดต่อศีลธรรมอันดีหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสถานที่อันอาจชักนำไปในทางเสียหาย ทั้งนี้ ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง กำหนดเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิดไว้ด้วยกัน 4 ข้อ คือ
ข้อ 1 เด็กที่ประพฤติตนไม่สมควร ได้แก่ เด็กที่มีพฤติกรรมอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(1) ประพฤติตนเกเรหรือข่มเหงรังแกผู้อื่น
(2) มั่วสุมในลักษณะที่ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น
(3) เล่นการพนันหรือมั่วสุมในวงการพนัน
(4) เสพสุรา สูบบุหรี่ เสพยาเสพติดให้โทษหรือของมึนเมาอย่างอื่น เข้าไปในสถานที่เฉพาะเพื่อการจำหน่ายหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
(5) เข้าไปในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ
(6) ซื้อหรือขายบริการทางเพศ เข้าไปในสถานการค้าประเวณีหรือเกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี
(7) ประพฤติตนไปในทางชู้สาว หรือส่อไปในทางลามกอนาจารในที่สาธารณะ
(8) ต่อต้านหรือท้าทายคำสั่งสอนของผู้ปกครองจนผู้ปกครองไม่อาจอบรมสั่งสอนได้
(9) ไม่เข้าเรียนในโรงเรียนหรือสถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ
ข้อ 2 เด็กที่ประกอบอาชีพที่น่าจะชักนำไปในทางกระทำผิดกฎหมายหรือขัดต่อศีลธรรมอันดี ได้แก่ เด็กที่ประกอบอาชีพ ดังต่อไปนี้
(1) ขอทานหรือกระทำการส่อไปในทางขอทานโดยลำพังหรือโดยมีผู้บังคับ ชักนำ ยุยงหรือส่งเสริม หรือ
(2) ประกอบอาชีพหรือกระทำการใดอันเป็นการแสวงหาประโยชน์โดย มิชอบด้วยกฎหมายหรือขัดต่อศีลธรรมอันดี
ข้อ 3 เด็กที่คบหาสมาคมกับบุคคลที่น่าจะชักนำไปในทางกระทำผิดกฎหมายหรือขัดต่อศีลธรรมอันดี ได้แก่เด็กที่คบหาสมาคมกับบุคคล ดังต่อไปนี้
(1) บุคคลหรือกลุ่มคนที่รวมตัวกันมั่วสุม เพื่อก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น หรือกระทำการอันขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี หรือ
(2) บุคคลที่ประกอบอาชีพที่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี
ข้อ 4 เด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสถานที่อันอาจชักนำไปในทางเสียหาย ได้แก่ เด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสถานที่ ดังต่อไปนี้
(1) อาศัยอยู่กับบุคคลที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษหรือให้บริการทางเพศ
(2) เร่ร่อนไปตามสถานที่ต่าง ๆ โดยไม่มีที่พักอาศัยเป็นหลักแหล่งที่แน่นอน หรือ
(3) ถูกทอดทิ้งหรือถูกปล่อยปละละเลยให้อยู่ในสภาพแวดล้อมอันอาจชักนำไปในทางเสียหาย





























