ซึมเศร้ากับคนดัง สื่อสารขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรียกร้องความสนใจ

ในมุมของคนทั่วไปอาจรู้สึกได้ว่า “โรคซึมเศร้า” เป็นโรคฮิตของบุคคลที่มีชื่อเสียงเลยก็ว่าได้ จนทำให้หลายคนนึกสงสัยว่าทำไมบรรดาคนดังจึงป่วยเป็นโรคนี้กันบ่อยมาก รวมถึงอาจพาลคิดเล่น ๆ ในใจคนเดียวว่าบุคคลเหล่านี้ป่วยจริง ๆ หรือแค่คิดไปเองว่าป่วย หรือแค่อ้างว่าป่วยเพื่อจะหากินจากโรคนี้ โดยเฉพาะคนดังที่โพสต์บอกกับสังคมว่าตนเองมีอาการป่วยโรคซึมเศร้า เขาทำไปเพื่อเรียกร้องความสนใจหรือเปล่านะ?

จริง ๆ แล้วไม่ได้มีแค่เฉพาะคนดังเท่านั้นที่ป่วยเป็นซึมเศร้า สังคมยุคปัจจุบันก็เอื้อให้คนธรรมดา ๆ อย่างเราป่วยเป็นซึมเศร้ากันได้มากขึ้นเช่นกัน ดังนั้น โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคฮิตเฉพาะคนดังหรอก เพียงแต่การป่วยของพวกเขาสามารถเป็นข่าวได้ก็เท่านั้น จึงทำให้รู้สึกว่าคนดังฮิตที่จะป่วยด้วยโรคนี้กันเหลือเกิน

แต่รู้ไหม ว่าถ้าเราเรียกมันว่า “โรค” และคนที่เป็นต้องกลายเป็น “คนป่วย” ในความเป็นจริงก็ไม่มีใครที่อยากจะเจ็บป่วยเพราะโรคนี้มันฮิตหรอก โดยเฉพาะโรคซึมเศร้าที่เป็นภัยร้ายชนิดเงียบที่จ้องจะกัดกินจิตใจให้คนเราจมดิ่งไปกับความทุกข์ได้เสมอ และมันก็คร่าชีวิตคนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ไม่มีใครที่อยากจะต้องทนอยู่กับความทรมานทางจิตใจไปตลอด คนที่รู้ตัวเองเร็วและยังอยากที่จะมีความสุขอีกครั้งก็พยายามหาหนทางรักษา ต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วว่าป่วยจริง ต้องรักษา ต้องกินยา คนดังหลายคนถึงจะออกมาบอกกับสังคมว่าตนเองกำลังป่วยอยู่และกำลังรักษา บางครั้งก็อาจจะสื่อสารบางสิ่งบางอย่างที่ “คับอกคับใจ” ในเชิงตัดพ้อ มันก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน คนทั่วไปก็ทำ

คนดังก็คน มีจิตใจ มีความรู้สึก

จริง ๆ แล้วความมีชื่อเสียงของคนดังก็เปรียบเหมือนดาบสองคม พวกเขาต้องใช้ชีวิตที่ขาดความเป็นส่วนตัวไป หลายตนต้องฝืนทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนของตัวเอง ฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ แต่ปฏิเสธไม่ได้เพราะเป็นงาน ต้องเผชิญกับความกดดัน ความคาดหวังต่าง ๆ มากมาย อีกทั้งการเป็นคนดังไม่ได้การันตีว่าจะได้รับเสียงชื่นชมเพียงอย่างเดียว มีคนรักก็มีคนเกลียด คนขี้อิจฉา พวกเขาอาจเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งและรังแกทางโลกออนไลน์มากกว่าคนธรรมดาทั่วไปจากการที่เป็นคนสาธารณะ ใคร ๆ ก็รู้จัก ซึ่งพวกเขาจะต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้ไปอย่างไม่จบสิ้น ถูกด่า ถูกบูลลี่ ถูกรังแก ถูกให้ร้ายบ่อย ๆ เป็นใครก็จิตใจบอบบางลงได้ทั้งนั้น ชื่อเสียงของพวกเขามาพร้อมกับคำสาปจริง ๆ

และกว่าที่คนดังจะมีชื่อเสียงโด่งดังก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หลายคนต้องใช้ระยะเวลาในการพิสูจน์ตัวเองเป็นสิบ ๆ ปีกว่าจะประสบความสำเร็จ หลายคนต้องอยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด กดดัน และเอาเปรียบจากต้นสังกัด หลายคนกลายเป็นวัตถุทางเพศ ที่ต้องฝืนยิ้ม ฝืนไม่เป็นไร เพื่อทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด หลายคนทุ่มเทให้กับงานที่ตนเองรัก จนเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะไม่ได้ดูแลตัวเองเท่าที่ควรก็มี ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกเขาต้องแลกกับการมีชื่อเสียง แม้จะเป็นการแลกที่พวกเขาเลือกเอง แต่การทำตามความฝันและสิ่งที่ตนเองรักมันผิดนักหรือ

ถ้าถามว่าทำไมพวกเขาถึงยอมแลกกันขนาดนั้น ก็เพราะวงการบันเทิงเป็นวงการที่มีการแข่งขันสูงมาก “เก่าไปใหม่มา” คือสิ่งที่ทำให้คนดังยอมทุ่มสุดตัวเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ชื่อเสียงและความดังไม่ยั่งยืน หากไม่ได้มีผลงานระดับ masterpiece ที่ตู้มเดียวดังและทำให้คนจดจำเป็นดาวค้างฟ้าได้ คนดังล้วนต้องรับมือกับความไม่แน่นอนทางสายอาชีพ เกิดความกังวลว่าแฟนคลับจะไม่รัก และผู้ใหญ่ในวงการจะไม่ชื่นชมความสามารถของตนอีกต่อไป ไม่ให้งาน พวกเขาก็อาจจะค่อย ๆ หายหน้าไปจากงานที่ตัวเองรัก

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่บรรดาคนดังจะสุ่มเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ากันมากขึ้น การที่ต้องแบกรับทุกสิ่งอย่างไว้บนบ่าเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน พวกเขาก็คน มีหัวใจ มีความรู้สึก ในวันหนึ่งที่สภาพจิตใจของพวกเขาไม่สามารถแบกรับปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ทำให้หลายคนเลือกที่จะจบชีวิตของตนเองลงหลังจากที่ต้องเผชิญกับปัญหาด้านสภาพจิตใจอย่างรุนแรงเพื่อตัดวงจรของความทุกข์นั้น ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่คนนอกไม่รู้ บางทีแม้แต่คนในครอบครัวหรือคนสนิทใกล้ตัวก็ยังดูไม่ออกเลยด้วยซ้ำไป ทำให้วงการบันเทิงต้องสูญเสียบุคลากรในวงการไปก่อนวัยอันควร เพราะถูกโรคซึมเศร้าพรากไปจำนวนไม่น้อย มีข่าวให้เห็นอยู่ตลอด

ความน่ากลัวของโรคซึมเศร้า ที่คนไม่เป็นไม่มีทางเข้าใจ

แม้ว่าทุกวันนี้สังคมจะเริ่มตระหนักถึงปัญหาโรคซึมเศร้ากันมากขึ้นว่ามันคือโรคอย่างหนึ่งที่คนป่วยจริง ๆ ไม่ได้อยากป่วย มันคือความผิดปกติของสารในสมองที่ชื่อว่า เซโรโทนิน (Serotonin) และนอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) ลดต่ำลง รวมถึงอาจมีความผิดปกติของเซลล์รับสื่อเคมีเหล่านี้ เมื่อปริมาณของสารเคมีที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ กระบวนการคิด พฤติกรรม มีปริมาณที่ไม่เหมาะสม ก็ทำให้อารมณ์ของผู้ป่วยไม่มั่นคง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการป่วยทั้งร่างกาย จิตใจ และความคิด รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข มีแต่ความวิตกกังวล

การให้ความรู้ที่ถูกต้องเริ่มทำให้คนส่วนใหญ่ได้เข้าใจว่าโรคซึมเศร้าเป็นความผิดปกติของร่างกายเหมือนอาการป่วยจากโรคอื่น ๆ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ปัจเจกด้านความอ่อนแอของคนหรือเพราะเป็นคนอ่อนหัดไม่สู้ปัญหา เพราะต่อให้เป็นคนที่เข้มแข็งแค่ไหน แต่ถ้าสารเคมีในสมองไม่สมดุล คุณก็อาจจะป่วยเป็นซึมเศร้าได้เช่นกัน

เมื่อมันเป็น “โรค” ก็เป็นข้อบ่งชี้ว่าเป็นความผิดปกติทางการแพทย์ ผู้ป่วยจะต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วว่ามีอาการป่วยจริง ๆ ซึ่งจะแตกต่างจากภาวะอารมณ์เศร้าตามปกติธรรมดา ที่ถ้าสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายลง หรือมีคนเข้าใจ อารมณ์เศร้าก็อาจจะหายไปได้ แต่ผู้ที่ป่วยโรคซึมเศร้ายังมักจะมีอารมณ์ซึมเศร้าร่วมกับอาการต่าง ๆ จนทำให้การทำงานหรือการประกอบกิจวัตรประจำวันก็แย่ลงตามไปด้วย จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาเพื่อให้อาการทุเลาและหายดี ต้องพึ่งจิตแพทย์และอาจต้องพึ่งยาช่วยในผู้ป่วยหลาย ๆ ราย

เพราะฉะนั้น ความรู้สึกที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากตาย เป็นผลพวงมาจากความรู้สึกที่ “ไม่มีความสุข” พอไม่มีความสุขก็จะสิ้นหวัง หดหู่ และอาจถึงขั้น “หมดศรัทธาในตัวเอง” ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แย่ที่สุดของคนเรา เพราะถ้าหากเรายังทำไม่ได้แม้กระทั่งการรักตัวเอง ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใสในตัวเอง ก็จะมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีเป้าหมาย ถ้าวันพรุ่งนี้มันไม่มีความหมายของชีวิต ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดผู้ป่วยจึงมีความคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งเรื่องแบบนี้คนที่ไม่ป่วยก็จะไม่มีทางเข้าใจเลยว่าผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความรู้สึกที่ชีวิตไม่มีความหมายมากแค่ไหน

การฆ่าตัวตายไม่ได้ทำง่ายอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ เพราะมันคือการฝืนสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ ดังนั้น อย่าเพิ่งตัดสินว่านั่นเป็นสิ่งที่สิ้นคิดแต่เราควรช่วยเหลือพวกเขามากกว่า ง่ายที่สุดคือการรับฟังพวกเขาอย่างเข้าใจ การที่คนดังออกมาบอกว่าตนเองกำลังเผชิญภาวะซึมเศร้าและกำลังรักษาตัวอยู่ ก็เป็นการขอความช่วยเหลืออย่างหนึ่ง พวกเขาแค่ต้องการให้มีคนรับฟังในสิ่งที่พวกเขาบอกหรือแสดงออกเท่านั้น และอย่าใจร้ายต่อกันมากนักเลย

พวกเขาแค่ต้องการสื่อสาร ไม่ได้อยากเรียกร้องความสนใจ

มีคนกลุ่มหนึ่งที่มักจะมองว่าการที่เหล่าคนดังออกมาโพสต์ข้อความแจ้งว่าตนเองมีอาการป่วยเป็นโรคซึมเศร้านั้น เป็นเพียงแค่ “การเรียกร้องความสนใจ” จากสังคม หลายคนกล้าที่จะคอมเมนต์ถึงคนดังเหล่านั้นแบบเสีย ๆ หาย ๆ ทั้งที่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวว่า “ก็แค่ออกมาสร้างกระแส หิวแสง อยากดัง เพราะตอนนี้ไม่มีงานก็เลยออกมาเช็กเรตติ้งว่าจะยังมีคนให้ความสนใจหรือไม่ เดี๋ยวพอเป็นข่าวดังงานก็จะเข้า” ซึ่งเชื่อหรือไม่ว่าจะมีคอมเมนต์ลักษณะนี้ในทุก ๆ ที่ที่มีการนำเสนอข่าวของคนดังที่ป่วยเป็นซึมเศร้า และมีมานานแล้วด้วย

หากแต่จะกลับไปโฟกัสกับคนที่มีอาการป่วยภาวะซึมเศร้าจริง ๆ จะพบว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการเป็นจุดสนใจของใคร คนที่พวกเขาต้องการให้เข้าใจพวกเขาจริง ๆ ก็คือคนใกล้ตัวของพวกเขาต่างหาก ไม่ใช่คนนอกอย่างเรา ๆ หรอก เพราะความสนใจจากสังคมหรือคนอื่น ๆ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับชีวิตของพวกเขาเลยสักนิด ซ้ำร้ายยังอาจทำให้พวกเขาต้องใช้ชีวิตยากลำบากว่าเดิมด้วยซ้ำไป เพราะถ้าพวกเขาต้องยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟเมื่อสังคมรู้ว่าพวกเขาป่วย พวกเขารู้ดีว่ามันจะไม่ได้มีแค่กำลังใจเท่านั้นที่จะถูกส่งมา คนขี้อิจฉาที่คอยซ้ำเติมเมื่อคนอื่นล้มมันก็มีอยู่มากในสังคม นั่นแหละ พวกเขาก็รู้สึกแย่ที่จะต้องมารับมือกับความเห็นแย่ ๆ ที่บั่นทอนพวกเขาเหมือนกัน

บรรดาคนดังทราบดีว่าชื่อเสียงของตนเองนั้นต้องแลกมากับการถูกเกลียดจากคนจำนวนไม่น้อย มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด มีคนอิจฉาเป็นธรรมดา การที่พวกเขาตัดสินใจเปิดเผยต่อสาธารณะว่าตนเองกำลังป่วย มันคือสิ่งที่พวกเขาต้องการจะสื่อสารให้กับแฟนคลับที่เขารักและเขา รวมถึงหลาย ๆ คนก็ต้องการที่จะเป็นกระบอกเสียงให้กับบุคคลอื่น ๆ ที่กำลังป่วยด้วยว่าถ้าป่วยก็อย่าเก็บเงียบไว้คนเดียวเลย ยอมรับความเจ็บป่วยแล้วเริ่มต้นรักษา มันก็สามารถรักษาได้ อีกทั้งพวกเขาก็กำลังต่อสู้กับธรรมชาติของโรคซึมเศร้าด้วย พยายามสื่อสาร พยายามขอความช่วยเหลือ เพราะลึก ๆ แล้วพวกเขาก็อยากมีชีวิตที่ปกติสุขเหมือนคนอื่น ๆ อยากมีความหวังที่จะมีวันพรุ่งนี้ พวกเขายังอยากมีชีวิต

แต่คนในสังคมหลาย ๆ คนกลับตัดสินคนอื่นในแง่ลบตลอด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มองว่าที่ผ่านมาก็เห็นทำงานได้ หัวเราะได้ ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติ ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ก็ยังชอบลงรูปอวด ใช้เงินหมดไปของแพง ๆ ก็มีความสุขดี ทีนี้ทำมาเป็นบอกว่าป่วยด้วยโรคยอดฮิตของคนดัง แบบนี้มีเจตนาแฝงแน่ ๆ ซึ่งก็คือจะเรียกร้องความสนใจนั่นเอง โดยที่ลืมนึกไปว่าด้วยหน้าที่การงานของพวกเขา คือการสร้างความสุขความบันเทิงให้คนอื่น ก็เป็นปกติที่พวกเขาอาจต้อง “แสดง” ว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไร เพื่อที่จะได้ไม่เป็นภาระของคนอื่น เพื่อที่จะได้ยังทำงานได้ เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่เป็นห่วงจนเกินไป ซึ่งกว่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นหนัก อาการก็หนักพอที่จะคุกคามคุณภาพชีวิตแล้ว

ชีวิตของเหล่าคนดังในมุมที่เราไม่รู้ไม่เห็นยังมีอีกหลายมุม ขนาดคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ยังไม่อยากจะแสดงมุมอ่อนแอของตนเองให้คนอื่นเห็นเลย นับประสาอะไรกับคนดังที่ธรรมชาติของพวกเขาต้องรักษาหน้าตา รักษาชื่อเสียง รักษาภาพลักษณ์ หลาย ๆ คนต้องทำแม้กระทั่งปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองด้วยเหตุผลทางหน้าที่การงาน เราจึงมักจะเห็นพวกเขาในมุมบวก เป็นผู้มอบความสุขและความบันเทิงกับผู้อื่นเสมอ ทั้งที่ในความเป็นจริงพวกเขาอาจทำไม่ได้แม้กระทั่งเผยอยิ้มให้ตัวเองด้วยซ้ำ ฉะนั้น อย่าตัดสินพวกเขาจากเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่พวกเขา “แสดง” ให้เห็น เพราะภายใต้หน้ากากแห่งรอยยิ้ม มนุษย์เราซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้มากเกินกว่าที่คนอื่นจะจินตนาการออก

หรือถ้ามันยากมากนักล่ะก็ที่จะทำความเข้าใจหรือเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ร้อนของผู้อื่น ก็ไม่จำเป็นต้องพยายามไปทำความเข้าใจหรือเห็นใจพวกเขาก็ได้ มันมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น คือแค่จัดการชีวิตตัวเองให้ได้ก็พอ ว่าจะระงับอารมณ์ที่อยากคอมเมนต์ถึงคนอื่นในแง่ร้ายอย่างไร จะวางตัวให้ต่างคนต่างอยู่กับผู้อื่นอย่างไร ไม่ชอบเห็น ไม่อยากได้ยินข่าวที่นำเสนอเกี่ยวกับคนดังเป็นซึมเศร้า ก็แค่เลื่อนหน้าจอผ่านไป ปล่อยผ่านเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองไปก็แค่นั้น ไม่ต้องกระหายที่จะแสดงความคิดเห็นในด้านลบออกมา ไม่ต้องตีความ ไม่ต้องวิเคราะห์ว่าพวกเขาแค่เรียกร้องความสนใจ หิวแสง อยากดัง อยากมีกระแส ต่อให้จริงก็เรื่องของเขา ไม่ต้องไปเดือดร้อน

ถ้าพูดหรือคอมเมนต์ถึงคนอื่นในมุมดี ๆ ไม่เป็นแล้วล่ะก็ ก็ไม่ต้องพูดหรือพิมพ์ออกมาเลยจะดีกว่า อย่างแสดงออกให้คนอื่นเขารู้ทัศนคติว่าคุณโตมาแบบไหนผ่านความคิดที่คุณใช้ตัดสินผู้อื่น!