อีกเพียงแค่เดือนกว่า ๆ เราก็จะผ่านพ้นปี 2025 และก้าวไปสู่ปี 2026 กันแล้ว สื่อหลายสำนักเริ่มพูดถึง “เทรนด์” ต่าง ๆ ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า แต่เคยนึกสงสัยไหมว่าการวิเคราะห์ว่าอะไรคือเทรนด์โลกที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นเขาอ้างอิงมาจากใคร หรือมีที่มาจากคนกลุ่มไหน ซึ่งจริง ๆ ถ้าลองสังเกตดู จะพบว่าคนกลุ่ม Ultra-Wealthy มักจะถูกกล่าวถึงอยู่เสมอ ๆ เกี่ยวกับทิศทางหรือแนวโน้มของเทรนด์ที่จะเกิดขึ้น แล้วคนกลุ่มนี้เป็นใคร ทำไมถึงมักจะมีอิทธิพลต่อเทรนด์ต่าง ๆ
Ultra-Wealthy เป็นใคร?
คนกลุ่ม Ultra-Wealthy หรือที่คนในแวดวงการเงินนิยมเรียกกลุ่มนี้ว่า Ultra High Net Worth Individuals (UHNWI) จะหมายถึง กลุ่มบุคคลที่อยู่บนสุดของพีระมิดความมั่งคั่ง โดยทั่วไปมีคำจำกัดความคือผู้ที่มีสินทรัพย์สุทธิ (Net Worth) ตั้งแต่ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1,000 ล้านบาท) ขึ้นไป (ไม่รวมที่อยู่อาศัยหลัก)
พวกเขาจะมีลักษณะเฉพาะ เช่น
- เป็นกลุ่มที่มีความรู้และประสบการณ์ในการลงทุนอย่างลึกซึ้ง
- มีความสามารถทางการเงินสูงมาก ทำให้สามารถรับมือกับความเสี่ยงและความผันผวนของการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มักจะมีการวางแผนการเงิน ภาษี และการส่งต่อความมั่งคั่งที่ซับซ้อนกว่าคนทั่วไป
- มีสินทรัพย์กระจายตัวทั้งในหุ้น/พันธบัตร มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายและซับซ้อน เช่น การลงทุนทางเลือก, การลงทุนในหุ้นนอกตลาด, ทุนร่วมสร้าง และอสังหาริมทรัพย์หรู
- ใช้บริการการจัดการสินทรัพย์ส่วนบุคคล, สำนักงานบริหารความมั่งคั่งของครอบครัว, การวางแผนภาษี/สืบทอดทรัพย์
ทำไมกลุ่ม Ultra-Wealthy ถึงมีอิทธิพลต่อเทรนด์โลก?
สาเหตุที่ทำให้คนกลุ่ม Ultra-Wealthy มีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อเทรนด์โลกในหลายมิติ เนื่องจากพวกเขามี กำลังซื้อ และ เงินลงทุน ที่สูงมาก พวกเขาถือสินทรัพย์มหาศาล ซึ่งทำให้ “การเคลื่อนไหวของทุน” ของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การถอนทุน หรือการขยายทุน นอกจากนี้ยังมีอิทธิพล มีความสามารถในการเลือก และการเลือกของพวกเขาจะส่งสัญญาณไปสู่ตลาด พวกเขามีอิทธิพลต่อเทรนด์ด้านต่าง ๆ เช่น
1. อิทธิพลต่อเทรนด์การลงทุนและเศรษฐกิจ
- กำหนดทิศทางตลาดทุน การตัดสินใจลงทุนของคนกลุ่ม UHNWI โดยเฉพาะผ่านสำนักงานบริหารความมั่งคั่งของครอบครัว (Family Offices) สามารถขับเคลื่อนตลาดบางประเภทได้ เช่น การให้เงินทุนเริ่มต้น (Venture Capital) แก่สตาร์ตอัปเทคโนโลยี ซึ่งเท่ากับว่าพวกเขาเป็นผู้สนับสนุนหลักที่กำหนดว่านวัตกรรมใดจะเกิดขึ้นและเติบโต
- การลงทุนระยะยาว พวกเขามักมีการลงทุนแบบระยะยาวในสินทรัพย์ที่ไม่มีสภาพคล่อง เช่น โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ระดับโลก และศิลปะ ซึ่งส่งผลต่อราคาและทิศทางการพัฒนาในพื้นที่นั้น ๆ
- การย้ายถิ่นฐาน การตัดสินใจย้ายถิ่นฐานของ UHNWI (เพื่อเหตุผลด้านภาษี ความปลอดภัย หรือไลฟ์สไตล์) มีผลต่ออสังหาริมทรัพย์หรูและระบบเศรษฐกิจของประเทศที่พวกเขาเลือกไปพำนัก และเมื่อคนรวยระดับนี้เลือกเมืองหรือประเทศใด เมืองนั้นก็จะกลายเป็น “แนวโน้ม” สำหรับตลาดหรูได้
2. อิทธิพลต่อเทรนด์ไลฟ์สไตล์และสินค้าหรู
- ขับเคลื่อนตลาดสินค้าหรูหรา การใช้จ่ายของคนกลุ่มนี้เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของตลาดสินค้าและบริการระดับสูงสุด เช่น อสังหาริมทรัพย์หรู ซูเปอร์ยอชต์ เครื่องบินส่วนตัว และแฟชั่นชั้นสูง
- สร้างเทรนด์การบริโภคใหม่ ปัจจุบัน UHNWI หลายคนเริ่มให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อ “ความสุขยั่งยืน” และ “ประสบการณ์” มากกว่าวัตถุ เปลี่ยนการโชว์หรูมาเป็นการแสวงหาประสบการณ์ลึกซึ้ง ประสบการณ์ที่มีความหมาย ความเป็นส่วนตัว และความพิเศษเฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำใคร เช่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์, สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และการสนับสนุนสินค้าหรือบริการที่เน้นความยั่งยืน ซึ่งกระตุ้นให้แบรนด์ต่าง ๆ ต้องปรับตัวตาม
3. อิทธิพลต่อสังคมและการกุศล
- อำนาจทางสังคมและเชิงนโยบาย พวกเขามีช่องทางเข้าถึงในระดับสูง ทั้งด้านการเมือง นโยบาย การกุศล ซึ่งหมายความว่าแนวคิดหรือการดำเนินการของพวกเขามีผลกระทบต่อสาธารณะ
- การกุศลและผลกระทบทางสังคม UHNWI มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงการการกุศลขนาดใหญ่ ทั้งด้านการศึกษา ศิลปะ วัฒนธรรม และการวิจัยทางการแพทย์ โดยมักมีการจัดตั้งมูลนิธิส่วนตัว ซึ่งการบริจาคเหล่านี้มีผลต่อการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมในระดับโลก
- กำหนดวาระสาธารณะ ในฐานะผู้นำทางธุรกิจและผู้บริจาครายใหญ่ ความคิดเห็นและการกระทำของพวกเขาสามารถมีอิทธิพลต่อวาระทางการเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อมได้
5 เมกะเทรนด์โลกปี 2026 ที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่ม Ultra-Wealthy
ในปี 2026 ที่จะถึงนี้ มีเทรนด์ใดบ้างที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น และเป็นเทรนด์ที่ถูกขับเคลื่อนโดยคนกลุ่ม UHNWI
1. การลงทุนที่สร้างผลกระทบ
แม้จะมีกระแสต่อต้าน ESG ในบางพื้นที่ แต่ UHNWI ทั่วโลกยังคงผลักดันการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรูปแบบที่เน้น “ผลกระทบที่แท้จริง” พวกเขาจะทุ่มเงินลงทุนใน Deep Tech และ Bioconvergence (ชีวบรรจบ หรือ การบรรจบกันของชีววิทยาและเทคโนโลยี) เพื่อแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น เทคโนโลยีลดคาร์บอน, พลังงานหมุนเวียน และโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว เทรนด์ที่เกี่ยวข้อง คือ Sustainable Finance ซึ่ง PwC คาดการณ์ว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารที่เน้น ESG จะสูงถึง 33.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2026
2. เศรษฐกิจผู้สูงวัยและความยั่งยืนทางสุขภาพ
เนื่องจาก UHNWI มีกำลังซื้อสูง อีกทั้งยังต้องการยืดอายุขัยและคุณภาพชีวิตให้อยู่ในระดับสูงสุด พวกเขาจึงเป็นผู้บริโภคหลักของอุตสาหกรรมสุขภาพขั้นสูง พวกเขาจะลงทุนใน AgeTech ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำหรับผู้สูงวัย และ Longevity Science จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด หลัก ๆ พวกเขาจะลงทุนในคลินิกเฉพาะทาง เทคโนโลยีการปรับพันธุกรรม และโปรแกรมสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล ที่มุ่งเน้นการชะลอวัยและการมีสุขภาพที่ดี เทรนด์ที่เกี่ยวข้อง คือ Wellness Travel และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เน้นการพักผ่อนและการบำบัดอย่างหรูหรา จะเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง รวมถึง Longevity Trend ที่กำลังมาแรง
3. ความหรูหราขั้นสุดที่เน้นประสบการณ์และความเป็นส่วนตัว
สำหรับ Ultra-Wealthy แล้ว ความหรูหราจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งของอีกต่อไป และแบรนด์ลักซ์ชัวรีต่าง ๆ ก็อาจไม่ใช่สัญลักษณ์ของสถานะสูงสุด เพราะเวลานี้ พวกเขากำลังให้คุณค่ากับช่วงเวลาและประสบการณ์ที่มีความหมาย มากกว่าสิ่งของที่ราคาแพง ดังนั้น ความพิเศษที่พวกเขาต้องการ คือการเข้าถึงสิ่งที่คนอื่นเข้าไม่ถึง และความเป็นส่วนตัวสูงสุด พวกเขาต้องการการบริการแบบสั่งทำพิเศษ และความเป็นส่วนตัวขั้นสูงสุด ซึ่งขับเคลื่อนเทรนด์เหล่านี้
- Super-Ultra-Luxury Real Estate อสังหาริมทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง มีลิฟต์ส่วนตัว และมีสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะบุคคล เช่น ห้องเก็บไวน์หรือห้องแสดงงานศิลปะ
- Luxury Experiences การท่องเที่ยวไปยังสถานที่ห่างไกลและเข้าถึงยาก เพื่อตอบโจทย์ความเงียบสงบ ธรรมชาติอันทรงพลัง และความพิเศษเฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำใคร ซึ่งต้องเดินทางด้วยเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวเท่านั้น และเน้นกิจกรรมที่ไม่มีใครเลียนแบบได้
- Privacy-First Technology การใช้เทคโนโลยีที่เน้นความเป็นส่วนตัวในการจัดงานอีเวนต์หรูหรือการบริหารจัดการทรัพย์สิน
4. การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่ซับซ้อน
คนกลุ่ม UHNWI จะยังคงกระจายความเสี่ยงและแสวงหาผลตอบแทนสูงกว่าตลาดทั่วไปด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก คาดการณ์ว่าเงินทุนของพวกเขาจะไหลเข้าสู่
- Private Equity (PE) และ Venture Capital (VC) คือ “การลงทุนในหุ้นนอกตลาด” และ “ให้เงินร่วมลงทุน” พวกเขาจะกลายเป็นผู้ให้เงินทุนรายใหญ่ในกองทุน PE และ VC ซึ่งทำให้พวกเขามีอำนาจในการตัดสินใจว่าอุตสาหกรรมหรือสตาร์ตอัปใดจะได้รับเงินทุนเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต (เช่น AI Agent หรือ Bioconvergence)
- Art and Collectibles ศิลปะหายากและของสะสมสุดหรูจะยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ไร้สภาพคล่อง (Illiquid Assets) ที่พวกเขาใช้เพื่อรักษาความมั่งคั่งและสถานะทางสังคม
5. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการสร้างนวัตกรรมใหม่ (Deep Tech)
คนกลุ่ม UHNWI คือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์และเป็นผู้ลงทุนรายสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคต อิทธิพลของพวกเขา คือกำลังลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อขับเคลื่อนการนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ใช่แค่ในฐานะเครื่องมือ แต่เป็น “พนักงานใหม่” (AI Agent) ที่ฉลาดและตัดสินใจแทนมนุษย์ได้ การลงทุนนี้จะกำหนดว่าเทคโนโลยีใดจะกลายเป็นมาตรฐานในโลกธุรกิจและชีวิตประจำวันภายในปี 2026 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีเหล่านี้ได้รับทุนและโตเร็ว ซึ่งมีผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโลก
เพราะคนกลุ่ม Ultra-Wealthy (UHNWI) หรือพวก “คนรวยระดับบนสุด” คือคนที่เป็นเจ้าของทุนจำนวนมหาศาล พวกเขาจึงสามารถกำหนดทิศทางตลาด การลงทุน และพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งจากพลังการใช้จ่าย การกระจายเงินทุน และบทบาทในเศรษฐกิจ สังคม และนวัตกรรม นั่นทำให้เทรนด์สำคัญ ๆ ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในแต่ละปี คนกลุ่ม Ultra-Wealthy จะถูกสื่อพาดพิงถึงเสมอว่ามีอิทธิพลต่อเทรนด์นั้น ๆ





























