คุมค่าน้ำ-ไฟหอพัก สรุปใครได้ใครเสีย?

จากประกาศธุรกิจควบคุมให้เช่าอาคารที่อยู่อาศัยของ สคบ. ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2561 โดยผู้ให้เช่าจะต้องคิดค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้า ในอัตราเดียวกับบ้านเรือนทั่วไป หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับนั้น ทำให้เกิดความคิดเห็นไปต่าง ๆ นานา ระหว่างผู้เช่ากับผู้ให้เช่า หรือเจ้าของหอพัก อพาร์ตเมนท์ ที่มีส่วนได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้อย่างแน่นอน

และหลายเสียงก็ดูเหมือนว่าจะแสดงความคิดเห็นไปในทางที่ว่า มันก็เหมาะสมแล้ว ที่จะทำให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภคอย่างผู้เช่า แต่ความจริงแล้วการประกาศคุมค่าน้ำ-ไฟหอพัก ผู้เช่าไม่ได้เป็นฝ่ายได้อย่างเดียวนะ ดังนั้นผู้เขียนในฐานะที่ก็เป็นผู้เช่าอยู่หอพักในกรุงเทพมหานครเช่นกัน จึงจะมาสรุปเป็นข้อ ๆ ให้ดูว่าการคุมค่าน้ำ-ไฟหอพัก อพาร์ตเมนท์ ใครได้ใครเสียกับเรื่องนี้กันแน่

ผู้เช่าได้ “ผลดี” อะไรบ้าง

  • ให้ความเป็นธรรมต่อผู้บริโภคที่จะเช่าพัก ลดการถูกเอาเปรียบจากผู้ให้เช่า
  • ลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่เป็นค่าประกันแรกเข้าอยู่หอพัก ที่บางหอพักจะเก็บค่าแรกเข้าอยู่ในราคาที่สูงเกินกว่าปกติ เช่น ค่าประกันเสียหายจ่ายเต็ม 1 เดือน และค่าประกันล่วงหน้าอีก 2 เดือน จึงทำให้ผู้เช่าประหยัดเงินไปได้เยอะ
  • ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟ รายเดือนไปได้บ้าง
  • ให้ความเป็นส่วนตัวแก่ผู้เช่ามากขึ้น เพราะหากผู้เช่าค้างหรือผิดนัดชำระค่าเช่า ผู้ให้เช่าไม่สามารถเข้ามาขนย้ายของในห้องหรือล็อกห้องเช่าได้

ผู้เช่าเกิด “ผลเสีย” อะไรบ้าง

  • สร้างความยุ่งยากและวุ่นวายมากขึ้น ในการใช้เอกสารประกอบการเข้าอยู่หอพัก
  • ในกรณีที่จะย้ายออก ผู้ให้เช่าอาจจะไม่คืนเงินประกันค่าเสียหายเลยก็ได้
  • อาจถูกผู้ให้เช่าจ้องจับผิด เช่น มีข้าวของชำรุดที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากผู้เช่า แต่เสียหายอยู่ก่อนแล้ว อาจถูกเรียกเก็บเงินเพิ่มได้ในตอนที่จะย้ายออก
  • หากเกิดเหตุสุดวิสัยที่จะต้องผิดนัดชำระค่าหอพัก แต่ไม่ได้แจ้งผู้ให้เช่าล่วงหน้า อาจถูกฟ้องร้องได้
  • อาจทำให้เจ้าของปฏิบัติตัวกับผู้เช่าในทางที่แย่ลง เช่น ไม่อำนวยความสะดวกในเรื่องของเฟอร์นิเจอร์ หรือส่วนกลาง
  • ระบบความปลอดภัยของผู้เช่าน้อยลง เนื่องจากรายได้ของเจ้าของหอพักที่ลดลงไปด้วย จากที่เคยได้กำไรจากการเก็บค่าน้ำ ค่าไฟเกินมาตรฐาน อาจทำให้ผู้ให้เช่าไปลดการจ้างยามลงได้

ผู้ให้เช่าได้ “ผลดี” อะไรบ้าง

  • สามารถเอาผิดกับผู้เช่าที่เบี้ยวค่าเช่า หรือผิดนัดชำระได้อย่างถูกต้องตามประกาศ
  • ค่าประกันล่วงหน้า เวลาที่ผู้เช่าจะย้ายออก ผู้ให้เช่าไม่ต้องจ่ายคืน
  • เรียกประกันค่าเสียหายจากผู้เช่าเพิ่มเติมได้ หากเงินวางประกันความเสียหายไม่เพียงพอต่อข้าวของที่ชำรุด
  • สามารถบอกยกเลิกห้องพักกับผู้เช่าได้ (แต่ต้องแจ้งล่วงหน้า 30 วัน) 

ผู้ให้เช่าเกิด “ผลเสีย” อะไรบ้าง

  • ผู้ให้เช่าไม่สามารถเรียกเก็บค่าประกันความเสียหายได้ เกิน 1 เดือน และไม่สามารถเรียกเก็บค่าต่อสัญญาได้
  • มีข้อจำกัดมากทั้งที่เป็นเจ้าของอาคาร เช่น ในกรณีผู้เช่าผิดนัดชำระหนี้หรือค้างค่าเช่า ผู้ให้เช่าไม่สามารถเข้าไปในทรัพย์สินผู้เช่า หรือเข้าไปขนย้ายทรัพย์สินของผู้เช่า แม้กระทั่งล็อกห้องไว้ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน
  • การคุมค่าน้ำ-ไฟหอพัก ไม่คุ้มกับความเสียหายของข้าวของที่ต้องซ่อมแซมภายหลังผู้เช่าย้ายออกไป
  • อาจทำให้เกิดความขัดแย้งกัน ระหว่างผู้ให้เช่ากับผู้เช่าที่จะเข้าอยู่ใหม่