
ขึ้นชื่อว่าซีรีส์เกาหลี นอกเหนือจากซีรีส์แนวสืบสวน-อาชญากรรมแล้ว สำหรับเรามองว่าซีรีส์แนว “การแพทย์” เป็นอีกหนึ่ง genre ที่เราวางใจและเชื่อมือได้ว่าสนุกแน่นอน ส่วนเรื่องของความสมจริง ตัวเราอาจจะไม่สามารถไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรได้มากนักว่ามันสมจริงหรือเปล่า เพราะไม่ได้อยู่ในสายอาชีพนั้น ไม่ได้เชี่ยวชาญพอที่จะบอกได้ว่าอันนี้ทำได้อันนี้ทำไม่ได้ในชีวิตของคนที่ทำงานในวงการแพทย์ เพียงแค่บอกได้เผิน ๆ ในมุมของคนนอกที่มองเข้าไปในวงการนี้ ว่าอันนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่นะ พอจะเป็นไปได้ แต่บางอย่างมันก็ละครชัด ๆ ดูเกินจริงจนน่ากลัว ที่หากคนในวงการการแพทย์จะยอมให้มีเรื่องทำนองนี้ให้เกิดขึ้นในชีวิตจริงได้ เข้าใจเรื่องหมอดีหมอไม่ดีนะ แต่บางเรื่องก็เกินไป
ที่พูดถึงเรื่องซีรีส์ทางการแพทย์ขึ้นมา เพราะในสัปดาห์นี้เราจะกลับมาสู่โลกที่สดใสอีกครั้ง หลังจากที่ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีแต่ซีรีส์ดาร์ก ๆ หม่น ๆ ทางอารมณ์ เป็นซีรีส์ที่นำเสนอเรื่องราวในแวดวงของการแพทย์แบบใส ๆ ซึ่งแตกต่างจากซีรีส์การแพทย์เรื่องอื่นที่ได้นำมาพูดคุยในคอลัมน์นี้ในปี 2025 นี้ คือ Hyper Knife ที่โคตรจะดาร์ก และ The Trauma Code: Heroes on Call ที่โคตรจะลุ้น แต่เรื่องนี้มันจะออกไปแนวนำเสนอชีวิตและการเติบโตของเหล่าหมอ ๆ ที่เป็นเพียง Resident ปี 1 หรือแพทย์ประจำบ้านปี 1 น้องเล็กที่สุดของโรงพยาบาล ที่เข้ามาศึกษาต่อเพื่อเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาใดสาขาหนึ่ง ซึ่งมันจะมีเรื่องโกลาหลอลหม่านมากมายที่พวกเขาต้องผ่านไปให้ได้

Resident Playbook เป็นซีรีส์จาก Netflix ที่ใช้ชื่อภาษาไทยว่า เพลย์บุ๊คชุดกาวน์ เป็นซีรีส์สปินออฟจากโปรเจกต์ Hospital Playlist ว่าด้วยเรื่องราวของ 5 แพทย์ประจำบ้าน แผนกสูตินรีเวชศาสตร์ โรงพยาบาลยุลเจจงโน ซึ่งเป็นอีกสาขาของโรงพยาบาลยุลเจใน Hospital Playlist (4 คนเป็นแพทย์ประจำบ้านปี 1 และอีก 1 คนเป็นแพทย์ประจำบ้านปี 4 และเป็นหัวหน้าของเหล่าแพทย์ประจำบ้านแผนกนี้ด้วย) เมื่อชีวิตของพวกเขาจะเผชิญหน้ากับความโกลาหลวุ่นวายทั้งภารกิจช่วยเหลือคนไข้และชีวิตส่วนตัว รวมถึงการเติบโต มิตรภาพ และความรัก ที่จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในโรงพยาบาล

แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดนั่นจะเรียนจบหมอกันมาได้อย่างยากลำบากแล้ว แต่จริง ๆ แล้วของจริงมันคือการเดินทางบนเส้นทางสายอาชีพของพวกเขาที่มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบต่างหาก เมื่อมันกลับเป็นหนามของกุหลาบซะมากกว่า สิ่งพวกเขาต้องเจอในการทำงาน ส่วนใหญ่มันก็เป็นความรู้เฉพาะทางในตำราเรียน แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยที่มันอยู่นอกเหนือจากตำรา และด้วยความที่มันคือชีวิตจริงของการทำงาน ไม่ใช่แค่การเรียนภาคทฤษฎีหรือภาคปฏิบัติในห้องเรียน สถานการณ์ต่าง ๆ มันจึงดูเลวร้ายกว่ามาก ๆ หากพวกเขาทำผิดพลาด หรือต้องลองผิดลองถูกทำอะไรที่ในหนังสือเรียนไม่มีสอน หน้าที่ความรับผิดชอบของพวกเขามันมากกว่าการรักษาคนป่วย

ตัวละครหลักของเรื่องจะมีอยู่ด้วยกัน 5 ตัวละคร คือ โออียอง อดีตแพทย์ประจำบ้านปี 2 ที่กำลังเผชิญหน้ากับความยากลำบากจากสภาวะขัดสนทางการเงินหลังครอบครัวล้มละลาย จนต้องกลับมาทำงานในฐานะแพทย์ประจำบ้านปี 1 พโยนัมกยอง หมอสาวหน้าตาสะสวยที่มีภาพลักษณ์เป็นเจ้าแม่แฟชั่น ออมแจอิล อดีตไอดอลที่มีเพลงดังเพลงเดียวแถมดังอยู่แค่ในกลุ่มแฟนคลับเล็ก ๆ ปัจจุบันผันตัวมาเป็นหมอ คิมซาบี แพทย์อัจฉริยะที่หนึ่งของประเทศ และ กูโดวอน แพทย์ประจำบ้านปีที่ 4 รุ่นพี่ของพวกปี 1 เขามีฝีมือในการรักษาที่เก่งกาจ สุขุม นุ่มนวล และการตัดสินใจอย่างเฉียบคม หากพวกรุ่นน้องตัวป่วนทั้ง 4 มีปัญหา เขาสามารถจัดการให้ได้ทั้งหมด
อ่านหนังสือ อ่านวิจัย เอาความรู้เข้าสมองอย่างเดียวไปเพื่ออะไร ในการปฏิบัติจริง การเรียนไม่ใช่ทุกสิ่งหรอก

เพราะจริง ๆ แล้วการเรียนรู้มันมีอยู่ทั้งในตำราและในชีวิตประจำวันทั่วไปของเรานี่แหละ แต่อย่าลืมว่าตลอดระยะเวลาของช่วงชีวิตจริงของคนเรา เราใช้ชีวิตนอกห้องเรียนมากว่าในห้องเรียนเสียอีก คนส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ในระบบการศึกษาราว ๆ 18 ปีเท่านั้น อนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา (แค่จบปริญญาตรี) เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาของชีวิตที่เราอยู่นอกห้องเรียน เราจะหยุดเรียนรู้ไม่ได้ โดยเฉพาะการเรียนรู้จากการได้เข้าสังคม พบปะกับผู้คนมากมายที่มีทั้งดีและไม่ดี ประสบการณ์จากแต่ละเหตุการณ์ และความผิดพลาดมากมายที่เจอมา

ที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด เพราะสนใจตัวละครของหมอ “คิมซาบี” ที่เธอเป็นพวกบุคลิกภาพกลุ่ม T หรือก็คือพวกที่ใช้เหตุผลและตรรกะในการตัดสินใจ นอกจากนี้เธอยังเป็นคนเก่ง ฉลาด เข้าขั้นอัจฉริยะเลยด้วยซ้ำมั้ง เพราะดีกรีของเธอไม่ธรรมดา เธอเป็นทั้งที่ 1 ของการสอบระดับประเทศและการสอบในคณะแพทย์ที่ทำให้หลายคนตื่นตะลึงกับการมาถึงของเธอ แต่คนเรามันไม่ได้เพอร์เฟกต์ไปซะทุกอย่างนี่เนอะ ภายใต้แว่นตาหนาเตอะและบุคลิกเนิร์ด ๆ ของเธอ เธอมีปัญหาด้านการเข้าสังคมอย่างรุนแรง เธอมองทุกอย่างด้วยหลักตรรกะและเหตุผลนู่นนี่นั่นเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็โยงเข้าหลักการทางวิทยาศาสตร์ไปซะทุกอย่าง ทั้งที่ความเป็นจริง เรื่องของจิตใจคนมันซับซ้อนมากกว่านั้น

จริง ๆ แล้ว การที่บุคลิกภาพของเธอเป็นแบบนั้นเธอไม่ได้ผิดอะไรเลยนะ แต่เธออาจถูกเลี้ยงดูมาแบบให้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง เคยชินอยู่แต่กับการฟังเสียงแค่ในหัวของตัวเองที่มันมีแต่หลักการมากไปหน่อยก็แค่นั้น มันทำให้เธอขาดทักษะที่จะเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น สิ่งที่เธอแสดงออกหรือพูดออกมา มันจึงเป็นไปในทางแข็งกระด้าง ทื่อ ๆ โผงผางแบบคนพูดไม่คิด ทั้งที่จริง ๆ ไม่มีอะไรเลย เธอไม่ได้คิดร้ายกับใคร แถมยังหวังดีมาก ๆ ด้วยซ้ำไป แค่ไม่รู้ว่าต้องแสดงออกยังไงให้มันไม่แข็งกร้าวแบบนั้น ที่สำคัญ เธออินอยู่แต่แค่กับตำราเรียนที่สอนว่าโรคนั้นโรคนี้เป็นอย่างไร ต้องรักษายังไง จนลืมคำนึงไปว่าเรื่องของการสื่อสารกับความรู้สึกของผู้อื่นนั้นมันไม่มีทฤษฎีตายตัว และมันไม่มีสอนอย่างละเอียดในตำรา เธอต้องเรียนรู้ทุกอย่างจากคู่สนทนาที่มากหน้าหลายตาของเธอ

นี่จึงเป็นอีกสิ่งที่เธอต้องค่อย ๆ เรียนรู้ในช่วง 12 ตอนของซีรีส์ ว่าการเป็นหมอแบบเต็มตัวนั้น นอกจากจะรักษาอาการเจ็บป่วยทางกายของผู้ป่วยแล้ว อีกทางหนึ่ง หมอยังต้องรักษาอาการไม่มั่นคงทางจิตใจทั้งของผู้ป่วยและของญาติผู้ป่วยด้วย เพื่อไม่ให้เรื่องมันแย่ลง เธอต้องเรียนรู้ว่าบางอย่างถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพูด เงียบเอาไว้แล้วทุกอย่างจะง่ายขึ้น หรือบางทีไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากมาย คนป่วยเขาไม่พยายามเข้าใจหรอก แค่รับปากในสิ่งที่ตัวเองทำได้ก็พอ เพื่อให้เรื่องมันจบ จะเห็นว่าที่เธอถูกผู้ป่วยร้องเรียนหรือถูกอาจารย์หมอดุเรื่องที่พูดจาไม่เข้าหูคนป่วย จริง ๆ เธอไม่ได้พูดอะไรผิด เธอแค่พูดในสิ่งที่คนฟังไม่ได้อยากจะฟังเท่านั้นเอง เธอต้องรู้ว่าบนโลกใบนี้ เรื่องของความรู้สึก บ่อยครั้งมันก็อยู่นอกเหนือเหตุผล เธอต้องรักษาอาการป่วยและจิตใจของคนป่วยไปพร้อม ๆ กัน

การอ่านหนังสือทำให้เราได้ความรู้อะไรมากมาย แต่การใช้ชีวิตก็ทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่ในหนังสือเรืยนไม่มีสอนเหมือนกัน คนเก่งแบบหมอคิมซาบีที่เคยชินกับการเป็นที่ 1 มาตลอด และเรียนรู้มาตลอดเช่นกันว่าการยึดติดกับหลักเกณฑ์ ทฤษฎี หรือตรรกะ ทำให้เธอเป็นที่ 1 ในด้านการเรียนและทำให้เธอโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ แต่ต่อจากนี้มันคือชีวิตการทำงาน ที่เธอไม่จำเป็นจะต้องยึดติดกับการเป็นที่ 1 จะทำไปเพื่ออะไรในเมื่อมันไม่ได้สำคัญอะไรเลย การเข้าใจคนป่วยและญาติคนป่วยมันไม่มีวิธีที่ในหนังสือจะสอนได้ และเธอต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของคนป่วยมากที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่ทำเพราะอยากทำ นี่คือสิ่งที่เธอต้องค่อย ๆ เรียนรู้จากการปฏิบัติจริงที่หนังสือเรียนไม่มีสอน
ช่วยพูดว่าเธอจะไม่เป็นอะไรทีได้ไหมคะ ช่วยบอกว่าต่อไปเธอจะไม่เป็นอะไรที จะบอกว่าไม่รู้อะไรสักอย่างแบบนี้ไม่ได้นะคะ

การพูดคุยกับคนป่วยหรือญาติของคนป่วยให้เข้าใจถึงสถานการณ์ของอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ น่าจะเป็นงานที่ยากที่สุดอีกอย่างหนึ่งของคนเป็นหมอเลยก็ว่าได้ มันเป็นความลำบากใจที่จะต้องพูดความจริงเกี่ยวสถานการณ์ปัจจุบันของคนป่วยที่มันอาจจะเลวร้ายมากจนคนฟังรับไม่ได้ มันเป็นความยากที่จะต้องสรรหาคำพูด เลือกใช้วิธีการสื่อสาร รวมทั้งการแสดงออกทางภาษากายให้มันกระทบกระเทือนจิตใจคนฟังน้อยที่สุด เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่คนฟังฟังแล้วจะยิ้มออกมาได้ ต้องระมัดดระวังเรื่องของข้อมูลเชิงการแพทย์ที่จะต้องแจ้งให้คนป่วยและญาติเข้าใจแบบที่ไม่เข้าใจผิดไปกันคนละเรื่อง และที่สำคัญ จะต้องวิเคราะห์ผู้ฟังด้วยว่าเป็นคนแบบไหน ด้วยคนป่วยและญาติมีหลายประเภท

ในกรณีที่เป็นเรื่องเลวร้ายมากจริง ๆ ส่วนตัวเชื่อว่าลึก ๆ แล้วทั้งตัวคนป่วยและญาติน่ะ พวกเขารู้ว่าสุดท้ายสถานการณ์นี้มันจะไปจบลงที่ตรงไหน แต่พวกเขาก็อยากได้ยินอะไรที่ฟังแล้วมันไม่ชวนหดหู่ลงไปมากกว่าเดิม อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้พวกเขาได้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไปในช่วงเวลาที่แม้ว่าจะมีอยู่อย่างจำกัด แต่ในกรณีที่มันก้ำกึ่งแบบในซีรีส์ตอนที่ 3 เราจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจสุด ๆ ทั้งตัวหมอเองที่จะต้องแจ้งอาการป่วยให้คนป่วยกับญาติได้เข้าใจว่าอาการป่วยที่คนป่วยเป็นอยู่ มัน “อาจจะ” ลุกลามไปเป็นอาการป่วยอีกโรคที่เลวร้ายกว่า แต่หมอยังไม่อาจฟันธงได้ในเวลานั้น เพราะมันต้องผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อส่วนที่มีปัญหาออกไปตรวจก่อน ถึงจะรู้ว่าต้องกังวลกับมันมากน้อยแค่ไหน

แต่ในขณะที่ทางผู้ป่วยและญาติ ฟังแล้วเขาก็เข้าใจแหละว่ามันต้อง “รอ” คำตอบหลังจากที่ลงมือผ่าตัดไปแล้ว แต่ด้วยความที่ความเข้าใจของคนทั่วไป การผ่าตัดเป็นเรื่องใหญ่ เป็นอาการป่วยขั้นที่ค่อนข้างไม่ดีเท่าไร มันถึงจำเป็นต้องขึ้นเตียงผ่าตัด พวกเขาอาจรู้สึกกลัวเพราะการผ่าตัดเกี่ยวข้องกับเครื่องมือแพทย์ที่ซับซ้อน และที่สำคัญมันมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะอาการเจ็บปวด ภาวะแทรกซ้อน ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามคาด ความไม่แน่ใจ เนื่องจากมันไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะเข้าใจในรายละเอียดของขั้นตอนการผ่าตัดได้ง่าย ๆ เช่น วิธีการรักษา ผลกระทบ หรือระยะเวลาฟื้นตัว ส่งผลให้เกิดความลังเลหรือสับสน รวมถึงความเชื่อใจในทีมแพทย์ด้วย ถ้าหมอทำผิดพลาดขึ้นมาล่ะ บลา ๆ

แล้วหลังจากที่หมอลงมือผ่าตัดไปแล้ว ก็ยังต้องรอฟังคำตอบในขั้นต่อไปอีกว่าผลลัพธ์นั้นแค่ไม่ดีแต่ไม่น่ากังวล หรือถึงขั้นเลวร้าย มีโรคร้ายที่ต้องรักษาต่อเนื่อง และต้องนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดนานออกไปอีก และความกลัวก็ยิ่งเพิ่มเข้าไปอีก คนป่วยถึงจะนอนสลบไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงผ่าตัด แต่พวกเขารู้สถานการณ์แล้วล่วงหน้า พวกเขาก็กลัวที่จะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเหมือนกัน ส่วนญาติที่ทำได้แค่รออยู่หน้าห้องยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาจะสติแตกตรงที่ช่วยอะไรคนที่ตัวเองรักไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ยาก ในกรณีที่มันต้องแบ่งออกเป็นสองทาง แถมหมอยังแสดงอาการแบ่งรับแบ่งสู้ ด้วยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่อยู่ในตัวคนป่วยมันเลวร้ายแค่ไหน ถ้ายังไม่ได้ลงมือผ่าออกดู

ตอนดูซีรีส์ คนที่ไม่เคยอยู่จุดนั้นอาจจะรู้สึกว่าญาติคนป่วย (ในเรื่องคือแม่) จะร้องห่มร้องไห้อะไรขนาดนั้น เข้าใจนะว่ารักลูกห่วงลูก ถึงงั้นก็แอบรำคาญนิด ๆ อยู่ดี เพราะเอาแต่เรียกร้องที่จะรู้ในสิ่งที่หมอก็ยังบอกไม่ได้ (หมอบอกไปแล้วว่าต้องผ่าเอาชิ้นเนื้อไปตรวจดูก่อน ถึงจะบอกได้ว่าเนื้องอกธรรมดาหรือมะเร็ง) แบบว่าคุณแม่ไม่เข้าใจที่หมอพูดเหรอคะ แต่ถ้าเอาตัวเองเข้าไปนั่งตรงนั้นหรือเคยมีประสบการณ์เดียวกันกับตัวละคร จะรู้เลยว่าเข้าใจทุกอย่างที่หมอพูดแต่แค่รับไม่ได้มันเป็นยังไง มันมีแต่ความกลัวไปหมด ถ้ามันไปในทางที่แย่ คนที่เรารักเป็นโรคร้าย ต้องผ่าตัดนานขึ้น ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ความกลัวก็มากขึ้น ดังนั้น เราก็แค่อยากได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องการคำยืนยัยซ้ำ ๆ ว่าคนที่เรารักจะไม่เป็นอะไร ไม่อยากได้ยินคำว่าไม่รู้จากปากหมอ เพราะมันจะยิ่งทำให้ความกลัวทวีคูณ
หลังจากที่ดูจบไป 3 ตอน ส่วนตัวค่อนข้างแน่ใจว่าซีรีส์เรื่อง Resident Playbook จะเป็นซีรีส์อีกเรื่องที่น่าจะได้ตามดูไปจนจบ ไม่เททิ้งกลางทาง เพราะมันไม่ได้มีแค่เรื่องราวของการถ่ายทอดชีวิตของเหล่าแพทย์ประจำบ้าน ที่ช่วยสนองนี้ดของคนที่เคยอยากเรียนหมอให้ได้ลองลิ้มรสชาติของการเป็นหมอผ่านตัวละครต่าง ๆ เท่านั้น แต่มันก็ยังให้ความสนุกกับเคสฉุกเฉินตามมาตรฐานของละครการแพทย์เกาหลี ที่มักจะมีอะไรให้เราได้ลุ้นจนนั่งไม่ติดตลอด และที่สำคัญ มันคือการถ่ายทอดมิตรภาพที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นของคน 4 คนที่ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง ซึ่งมันจะต้องผ่านบททดสอบอะไรอีกเยอะ กว่าที่พวกเขาจะสามารถเป็นทีมเดียวกัน และจับมือกันผ่านไปเป็นแพทย์ประบ้านปี 2 🩺