ไม่รู้ว่าช้าไปไหม? ตลาดวายไปหรือยัง? ที่จะเขียนถึงซีรีส์การแพทย์เรื่องดังจาก Netflix ที่กำลังเป็นกระแสมาแรงมาก ๆ ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนสาเหตุที่มาช้า (แต่มานะ) เป็นเพราะแพ็กเกจสมาชิก Netflix เพิ่งหมดอายุไป แล้วกำลังอยู่ในช่วงลังเลว่าจะต่อดีไหมด้วยเหตุของโรคทรัพย์จาง ใกล้เข้าสู่สภาวะกรอบที่ต้องเริ่มประหยัด แต่ก็ประจวบเหมาะกับที่มีเพื่อนเก่าท่านหนึ่งให้ความอนุเคราะห์แชร์จอ Netflix มาให้ 1 จอพอดีเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เลยรีบถือโอกาสดูซีรีส์เรื่องที่ว่าให้จบอย่างไวในคืนเดียว เพื่อที่จะได้เขียนคอลัมน์ชะนีติดซีรีส์ในสัปดาห์นี้ได้ทัน
The Trauma Code: Heroes on Call หรือหลาย ๆ คนอาจคุ้นกับชื่อที่สั้นกว่าอย่าง The Trauma Code มากกว่า ส่วนชื่อไทยนั้น Netflix ใช้ชื่อว่า ชั่วโมงโกงความตาย ณ เวลานี้เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์การแพทย์เรื่องล่าสุดของเกาหลีที่ประสบความสำเร็จแบบถล่มทลาย การันตีด้วยอันดับใน Netflix ในเวลาหนึ่งว่าเป็นซีรีส์ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษที่ดูคนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก (แซงหน้า Squid Game ไปแล้ว) เป็นอันดับ 2 ซีรีส์ทั้งหมดของ NETFLIX เป็นซีรีส์ที่ติดอันดับ 1 มากกว่า 13 ประเทศทั่วโลก (แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังคงเป็นอันดับ 1 ในไทย เพราะคนไทยดูซีรีส์เกาหลีเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก) และเป็นซีรีส์ที่ติด TOP10 มากกว่า 85 ประเทศทั่วโลกอีกด้วย
The Trauma Code: Heroes on Call เล่าเรื่องราวความวุ่นวายและน่าตื่นเต้นในการพยายามช่วยชีวิตผู้ป่วยเคสฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในศูนย์อุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยฮันกุก ซึ่งก่อนหน้าที่ศัลยแพทย์อัจฉริยะอย่าง “แพคคังฮยอก” จะมาประจำใหม่ที่แผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน ทีมอุบัติเหตุฉุกเฉินของโรงพยาบาลนี้เละเทะมาก ขาดแคลนหมอที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน ทำให้บางทีไม่สามารถรับเคสผู้ป่วยเข้ามารักษาได้ ซึ่งเมื่อผู้ป่วยฉุกเฉินต้องเทียวหาโรงพยาบาลไปทั่ว หลายครั้งจึงไม่สามารถรักษาผู้ป่วยได้ทันช่วง golden time จึงมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ต้องเสียชีวิตเพราะเข้ารับการรักษาไม่ทัน ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเขาเคยมีโอกาสรอดมาก่อน

หลังจากอาจารย์หมอ “แพคคังฮยอก” เข้ามา เขาเล่นปฏิรูปทุกสิ่งอย่างที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา เปลี่ยนวิกฤติชีวิตของผู้ป่วยจนสามารถรักษาชีวิตของใครหลายคนไว้ได้ เรียกได้ว่าพลิกสถิติจากอดีตให้มีอัตราการรอดชีวิตสูงขึ้นเยอะมาก รวมถึงการให้ความรู้หมอเฟลโล่ด้านทวารหนัก ที่มักจะโดนเวรอยู่ห้องฉุกเฉินตลอด แต่ดันไม่มีความรู้เรื่องอุบัติเหตุฉุกเฉิน ไม่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน ทำให้จากหมอที่ต้องช่วยชีวิตคน จึงเหมือนกับการพยายามฆ่าคนอย่างเอาใจใส่และทุ่มเทมากกว่า นอกจากนี้ การที่ “แพคคังฮยอก” รักษาชีวิตคนไข้ได้เพิ่มขึ้น มันไปกระทบกับผลประกอบการของโรงพยาบาล หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเงินนั่นแหละ ไม่ทำเงินแล้วยังทำขาดทุนด้วย
เพราะฉะนั้น นอกจากภาพการช่วยเหลือผู้ป่วยในห้องฉุกเฉิน ฉากผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตคนในห้องผ่าตัด ภาพชวนซึ้งและน่าประทับใจจากผู้ป่วยที่รอดชีวิต ฉากหดหู่ของผู้ป่วยที่ต้องจากไปคามือหมอที่พยายามกู้คืนสัญญาณชีพ ฉากตลกโปกฮาโบ๊ะบ๊ะของเหล่าทีมแพทย์แต่ละคนที่เวลาเจอกันแล้วเคมีฟิสิกส์ชีวะเข้ากันดี๊ดี ประเด็นหลักที่น่าสนใจอีกอย่างของซีรีส์เรื่องนี้ คือการนำเสนอภาพความขัดแย้งของฝ่ายบริหารที่ให้ความสำคัญกับผลประกอบการของโรงพยาบาล กับเหล่าบุคลากรทางการแพทย์จากศูนย์อุบัติเหตุฉุกเฉินที่พยายามสู้กลับทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้ชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉินทุกคนที่มีโอกาสรอดต้องดับไปด้วยข้อจำกัดทางการเงิน
ถ้ามีใครมาถามว่าซีรีส์เรื่องนี้สนุกไหม ควรค่าแก่การเสียเวลาดูไหม บอกเลยว่าโดยรวมคือสนุกมาก ดูเถอะ ดูเลย ไม่รู้สึกเสียดายเวลาชีวิตแน่นอน ซึ่งนี่ก็คือความคิดเห็นดาษดื่นแบบที่รีวิวแทบทุกรีวิวพูดตรงกัน ในแง่ของความบันเทิงในฐานะของซีรีส์คือสนุกจริง แต่ในฐานะของซีรีส์ทางการแพทย์ ก็ถือว่าทำได้ดี แต่อาจจะมีส่วนที่เห็นต่างจากหลาย ๆ คน เรายังเห็นถึงความอิหยังวะในหลาย ๆ ฉากที่มันไม่สมจริง จะบอกว่าซีรีส์มันตีแผ่ความจริง แต่สิ่งที่เล่าบางอย่างมันก็โอเวอร์เกินข้อเท็จจริงไปเยอะ เยอะจนแบบที่ว่าถ้ามันมีเคสแบบนี้เกิดขึ้นจริง อิโรงพยาบาลนี่โดนฟ้องปิดเจ๊งไปแล้วนะ อีกทั้งยังผิดหลักจรรยาบรรณแพทย์อย่างร้ายแรงเลยด้วยในหลาย ๆ กรณี

กรณีตัวอย่างก็คือ การทำสงครามภายในโรงพยาบาลระหว่างหมอที่ปฏิบัติหน้าที่จริงกับหมอฝ่ายบริหาร ที่แน่นอนว่าการหยุมหัวกันแบบนี้มันก็มีทุกที่แหละ องค์กรอื่น ๆ ที่ไม่ใช่โรงพยาบาลก็เป็น อันนี้เข้าใจได้ แต่ถึงขั้นที่ให้เจ้าหน้าที่บุกห้องฉุกเฉินมาขวางหมอไม่ให้ใช้ห้องเอกซเรย์เพื่อช่วยคนไข้ฉุกเฉินที่มีมีดปักคออยู่ สภาพจะตุยแหล่ไม่ตุยแหล่แบบนั้น ถ้าการตีกันมันจะกระทบไปถึงคนป่วยขนาดนั้น โรงพยาบาลนี้ควรโดนฟ้องปิดไปได้แล้ว มันน่ากลัวมาก ยิ่งถ้าบอกว่าเป็นการตีแผ่ความจริงยิ่งน่ากลัว ไม่กล้าเฉียดไปบาดเจ็บแถวโรงพยาบาลนั้นเลย กลัวตาย ซึ่งไอ้การมีคนมายืนขวางหมอไม่ให้รักษาคนเจ็บใกล้ตายเนี่ย ในสงครามเขายังไม่ทำกันเลยเด้อ! ห้ามหมอไม่ให้รักษาทหารคู่สงครามอะ
หรือการที่ตามท้องเรื่อง เล่าว่าโรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ เป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุด แต่จะกล้าเพิกเฉยกับแผนกฉุกเฉินมากขนาดนั้นเลยเหรอ เรื่องสำนึกของความเป็นหมอที่แต่ละคนมีไม่เท่ากันก็เรื่องนึง แต่คนเป็นหมอน่าจะต้องได้เรียนทุกคนนะความหมายของ “ฉุกเฉิน” อะ มันต้องรู้สิว่าห้องฉุกเฉินสำคัญและจำเป็นแค่ไหน จากฉากการประชุมต่าง ๆ เราจะเห็นว่าโรงพยาบาลนี้มีหมอเยอะมาก ร่วมร้อยชีวิตได้เลยมั้ง แต่หมอห้องฉุกเฉินมีคนเดียว ทำงานควงกะแบบ 24-7 จนป๊อก แล้วหลังจากนั้นก็ต้องให้หมอแต่ละแผนกมาเวียนกันเข้าเวรดูแลห้องฉุกเฉิน เฮ้ย! มันใช่เหรอ
แล้วขนาดมีหมออัจฉริยะมาประจำใหม่ ก็ยังวิ่งขาขวิดกัน 3-4 คนเหมือนเดิม แทบไม่เคยได้ออกเวรไปใช้ชีวิตส่วนตัว คือหมอก็คน ต้องกินต้องนอน ต้องพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุการแพทย์ แล้วนี่แบบแค่หมอปลีกตัวไปกินข้าวยังต้องรีบแว้นกลับมาช่วยคนไข้ ภาพความชุลมุนวุ่นวายกันอยู่ 3-4 คน มันชวนให้อนุมานจริง ๆ ว่าไม่มีหมอคนอื่นอีกแล้วจริง ๆ เหรอ ทั้งที่หมอในโรงพยาบาลมีเป็นร้อย ถึงจะขัดแย้งไม่ชอบหน้ากัน แต่มันจะไม่มีหมอที่มีจิตสำนึกในหน้าที่หมออีกแล้วจริง ๆ เหรอ มันไม่ใช่โรงพยาบาลเล็ก ๆ ตามถิ่นทุรกันดารสักหน่อยนะที่จะขาดแคลนหมอห้องฉุกเฉินขนาดนั้นอะ นี่แหละ รู้สึกอิหยังวะมากจริง ๆ
ไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นใคร ทำเรื่องอะไรมาก็ไม่สำคัญครับ ผมแค่ทำสิ่งที่ต้องทำในฐานะหมอคนนึงเท่านั้น
ใช่…เพราะมันเป็น “หน้าที่” ที่ต้องทำในฐานะของ “หมอ” ต้องช่วยชีวิตผู้ป่วยอย่างเต็มความสามารถ ไม่ปล่อยให้มีใครตายไปตรงหน้าทั้งที่ช่วยได้และช่วยทัน ไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นใคร ทำเรื่องอะไรมา จะเป็นคนดีหรือคนเลวก็ตามแต่ หน้าที่ของหมอคือช่วยชีวิตโดยไม่อคติ ไม่เลือกปฏิบัติ เพราะหน้าที่ตัดสินถูกผิดดีชั่วไม่ใช่หน้าที่ของหมอ แต่ถ้าทำเต็มความสามารถแล้ว ช่วยได้ไหมนั่นเป็นอีกเรื่อง มันคือสำนึกในหน้าที่ขั้นพื้นฐานที่สุดของคนที่คิดจะเป็นหมอ ถึงได้รู้สึกอิหยังวะมาก ๆ ไง ที่หมอกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของเรื่องนี้ดันขาดจิตสำนึกในหน้าที่หมอไป บางคนขาดไปแบบกู่ไม่กลับเลยด้วย ใครเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลนี้เหมือนเตรียมตัวตุยได้เลย ถ้าเจอหมอคนอื่นที่ไม่ใช่แก๊งหมอฉุกเฉิน

จริง ๆ แล้ว ถ้าจะบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้ตีแผ่ความจริง นำเสนออีกด้านเทา ๆ ของคนเป็นหมอ เราจึงได้เห็นภาพของพวกหมอที่เห็นแก่ตัว อันนี้ไม่แปลกเลย หมอแบบนี้มีจริง ๆ และทุกวิชาชีพก็มีคนแบบที่เห็นแก่ตัว นิสัยไม่น่ารักแบบนี้จริง ๆ แต่หมอในเรื่องนี้คือดูขาดจิตสำนึกในหน้าที่หมอไปไกลมาก ลองดูฉากวันแรกที่หมอแพคเข้ามารับตำแหน่งดูก็ได้ ฉากในห้องประชุมเพื่อแต่งตั้งหมอคนใหม่น่ะ ทั้งที่หมอแพคพูดข้อเท็จจริงทั้งหมด พูดถึงความสำคัญของห้องฉุกเฉิน การช่วยชีวิตคนไข้ และบอกว่าการทำหน้าที่หมอเพื่อช่วยชีวิตคนไข้นั้นสำคัญที่สุด สำคัญกว่าการจัดงานรับตำแหน่งอะไรนี่เสียอีก เขาที่มาถึงแล้วต้องวิ่งไปผ่าตัดคนไข้ก่อนถึงได้มางานนี้สาย
แต่…มีหมอกี่คนกันที่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด แล้วมีหมอกี่คนที่ดูเป็นห่วงเป็นใยคนไข้ของตัวเองตอนที่เข้ามานั่งรอในห้องประชุม เห็นมีแต่หมอที่หัวร้อนเพราะรอหมอแพคนาน ซึ่งจริง ๆ ถ้าเป็นห่วงคนไข้ของตัวเอง หรือมีเคสด่วนฉุกเฉิน คนเป็นหมอสามารถลุกออกจากที่ประชุมไปช่วยชีวิตคนไข้ของตัวเองได้อยู่แล้ว มันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ถ้าขาดประชุมเพราะไปช่วยชีวิตคน แล้วพิธีแต่งตั้งนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับตัวเองด้วยซ้ำ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าว่างจริง ๆ จะนั่งอยู่ก็ได้ แต่ถ้ามีเคสด่วนเกี่ยวกับคนไข้ จะลุกออกไปดูคนไข้ก่อนก็เป็นเรื่องที่ทำได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องนั่งรอแล้วมาบ่นหมอที่เพิ่งออกจากห้องผ่าตัดเคสฉุกเฉินว่ามาช้า ทำตัวเองเสียเวลารอ ตัวเองก็มีอะไรอย่างอื่นต้องทำเหมือนกัน

หรือในกรณีที่ให้เจ้าหน้าที่ไปขัดขวางการทำงานของหมอในห้องฉุกเฉิน นี่ก็ขาดสำนึกในหน้าที่หมอไปไกลเหมือนกัน คนกำลังจะขาดใจตายมีดปักโด่อยู่แบบนั้น เจ้าหน้าที่ที่มาขวางไม่มีวิจารณญาณ ไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนเจ็บใกล้ตายยังพอทน แต่หมอระดับผู้บริหารที่เป็นคนสั่งการไม่มีความเป็นหมอ ไม่มีความเป็นคนนี่พอเลย จะพักงานคนแต่ไม่มีใบเตือนก่อน เล่นส่งคนไปขวางคนทำงานในห้องฉุกเฉิน ซึ่งชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าฉุกเฉิน พอจะเข้าใจนะว่าทำฉากนี้ออกมาเพราะต้องการจะสื่อถึงสงครามภายในโรงพยาบาลที่หมอคนหนึ่งโดนกดดันสารพัดไม่ให้ทำหน้าที่ได้ และจะโชว์เท่พระเอกว่าหาวิธีกลับมาทำงานได้ทั้งที่โดนขวาง แต่มันก็น่ากลัวเกินไปอยู่ดี ลองคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงดูสิ
ก็นะ นอกจากจะสื่อถึงความขัดแย้งภายในและความเท่ของพระเอกแล้ว ฉากที่ว่ามันก็มีที่มาที่ไปที่น่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่นำพาไปสู่ฉากประทับใจในอีพีสุดท้ายก่อนเรื่องจะจบไม่กี่นาทีด้วยแหละมั้ง ฉากที่หมอแพคบุกไปเรียกสติท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลถึงที่บ้าน ว่าตัวของท่านนั่นแหละที่เป็นคนที่หลงลืม “สิ่งที่ต้องทำในฐานะหมอ” ไปจนหมดสิ้น หมอที่ช่วยคนไข้อย่างเต็มที่คนนั้น ตอนนี้หายไปไหนแล้ว แถมยังเป็นลาสบอสของความวุ่นวายทั้งหมดทั้งมวลในห้องฉุกเฉินด้วย ไม่ใช่คนลงมือเองแต่เป็นคนสั่งหรือใช้อำนาจกดดันจนคนอื่นต้องทำ พอได้อยู่ในที่สูงก็หลงระเริงไปกับอำนาจ ลาภ ยศ ชื่อเสียง เงินทอง จนลืมรากเหง้าและหน้าที่ “หมอ” ของตัวเองไป
ก็แค่…นายวิ่งเก่งดี ทุกครั้งที่ฉันเห็นนาย นายกำลังวิ่งอยู่เสมอ วิ่งไปช่วยชีวิตคนไข้

แก๊งวิ่งสู้ฟัด ก็ดูจะเป็นชื่อที่เหมาะกับแก๊งหมอห้องฉุกเฉินดี 555 เพราะวิ่งขาขวิดกันทั้งเรื่องไม่เกินจริง แล้วก็วิ่งกันอยู่ไม่กี่คนด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติที่หมอห้องฉุกเฉินต้องทำนั่นแหละถูกแล้ว เพราะคนไข้ทุกคนที่เข้ามาอยู่ในห้องฉุกเฉิน แปลว่ามีอาการปางตายมาทั้งนั้น จะมาเดินทอดน่องสวย ๆ ไปหาคนไข้ พอดีคนไข้ตายก่อน มันต้องวิ่งกันแบบนี้แหละ แต่ถ้าจะให้ดี จำนวนหมอในห้องฉุกเฉินควรจะมีเพิ่มมากกว่านี้ ไม่ใช่ให้แก๊งนี้ซึ่งก็เป็นคนเหมือนกันต้องวิ่งจนตัวเองทรุดตามคนไข้ไป
อย่างไรก็ดี “การวิ่ง” นี่แหละ ที่ทำให้เจ้าตูด หรือหมอเฟลโล่จากแผนกทวารหนักเข้าตาอาจารย์หมอแพค แต่เดิม เขาเองก็เป็นเพียงหมอเฟลโล่ หรือหมอผู้ช่วยที่กำลังศึกษาเฉพาะทางด้านทวารหนัก ที่ถูกสับเปลี่ยนให้มาเข้าเวรที่ห้องฉุกเฉินเป็นประจำ หลัง ๆ แทบจะสิงตัวอยู่ห้องฉุกเฉิน เพราะอาจารย์หมอคนเก่าป๊อกไปจากการที่วิ่งจนตาเหลือกช่วยชีวิตคนไข้นี่แหละ แต่สิ่งที่เขาแตกต่างจากหมอคนอื่น ๆ ก็คือ นางจะ “วิ่ง” อยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งหลังจากที่รับสายจากห้องฉุกเฉิน นางก็จะรีบวิ่งทุกที ถึงจะดูตื่น ๆ ดูลน ๆ ไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก็ยังวิ่งเหมือนเดิม เพื่อไปช่วยชีวิตคนไข้ บางทีไปถึงห้องฉุกเฉินแล้วยังต้องยืนตั้งสติด้วยซ้ำ เพราะไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง แต่ก็วิ่งอยู่ดี

จึงไม่แปลกใจที่อาจารย์หมอแพคจะเลือกเขามาเป็นทายาทอสูร สอนความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับห้องฉุกเฉินที่แทบจะใหม่ทั้งหมดให้เขารู้ โดยเฉพาะความรู้จากประสบการณ์จริงที่สั่งสมมานอกตำรา และความรู้จากอาการของคนไข้ที่อยู่ตรงหน้า ความรู้ความสามารถมันเรียนรู้กันได้ มันสอนกันได้ แต่จิตสำนึกในหน้าที่หมอ ไม่ใช่ว่าจะหาได้ขนาดนี้จากหมอทุกคน แค่ทุกครั้งที่หมอแพคเจอเขาแล้วเขากำลังวิ่ง มันก็ทำให้เห็นถึงความสำนึกในหน้าที่หมอของเขาแล้ว เขาอาจจะไม่ใช่หมอที่เก่งที่สุด เกือบเป็นหมอเถื่อนฆ่าคนไข้เพราะเจาะสารน้ำไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่เขามีความตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมที่จะไปให้ถึงเตียงของคนไข้ให้เร็วที่สุด และรักษาชีวิตของคนผู้นั้นไว้ให้ได้
เข้าใจหรือยังล่ะครับว่าทำไมต้องมีแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน อุบัติเหตุหนักเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ทั้งนั้นครับ อย่าหลับหูหลับตาคิดว่ามันเปฺ็นเรื่องไกลตัว
ต้องบอกว่านี่คืออีกหนึ่งจุดที่ขัดใจมาก ๆ ในซีรีส์เรื่องนี้ (แต่มันดันเป็นพล็อตหลักของเรื่อง ก็ต้องจัดการความรู้สึกของตัวเองเอง) คือการนำเสนอภาพความขัดแย้งของฝ่ายบริหารแบบที่ไร้เหตุผล ไร้จรรยาบรรณ และไร้มนุษยธรรมมาก ทั้งที่เป็นโรงพยาบาลใหญ่ แถมยังเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเรื่องด้วย (ไม่อยากจะคิดว่าดีที่สุดยังขนาดนี้ แย่ที่สุดจะขนาดไหน) แต่ดันมาทะเลาะกันเรื่องการทำงานของห้องฉุกเฉินว่ามันทำให้โรงพยาบาลขาดทุน แล้วหัวจะปวดมากกับทัศนคติของหมอระดับผู้บริหารที่อนุมานได้ว่าพวกเขารู้สึกว่าห้องฉุกเฉินมันเป็นอะไรที่ไม่จำเป็น เพราะมันขาดทุน!

คือมันไร้สติและไร้สามัญสำนึกมาก ๆ เลยนะ กับการข่มขู่ว่าจะยุบแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินของโรงพยาบาลอะ มันชวนตั้งคำถามมากเลยว่าสรุปคือเป็นหมอกันจริงไหม เข้าใจขอบเขตหน้าที่ของหมอจริงหรือเปล่า หรือแบบว่านี่มาเป็นหมอกันทำไมวะคะเนี่ยถ้าจะตั้งแง่กับการรักษาคนไข้ฉุกเฉินขนาดนั้นอะ โรงพยาบาลก็มีไว้เพื่อเหตุแบบนี้ไม่ใช่เหรอ เพื่อรักษาคนไข้น่ะ แล้ววัน ๆ ที่เปิดโรงพยาบาลเนี่ย ตั้งใจจะรับรักษาแต่คนป่วยไข้หวัด ป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ หรือไง ไม่คิดจะมีแผนกไว้รองรับคนไข้ที่มาจากอุบัติเหตุฉุกเฉินเลยเหรอ อุบัติเหตุชื่อก็ชัดเจนว่าไม่มีใครอยากให้เกิด แต่มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และเกิดกับใครก็ได้ ยังไงก็ต้องมีแผนกฉุกเฉินไว้รองรับ
แล้วทีนี้เป็นไงล่ะ ตั้งแง่กับคนไข้ฉุกเฉินคนอื่นเพราะเขาไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนรู้จักของตัวเอง ต้องประชุมก่อนนะห้ามรับโทรศัพท์ จะออกจากห้องประชุมไปรักษาคนไข้ไม่ได้นะ มันเสียมารยาท จะต้องทุ่มเทรักษาอย่างดีที่สุดขนาดนั้นไปทำไม มีแต่จะทำให้โรงพยาบาลขาดทุน แต่พอเป็นลูกของตัวเองที่บาดเจ็บเข้ามาจากอุบัติเหตุฉุกเฉิน ต้องคุกเข่า แทบจะกราบให้หมอห้องฉุกเฉินที่เพิ่งด่าเขาป่าว ๆ ช่วยชีวิตลูกของตัวเอง พอเจอกับตัวถึงได้คิดได้ขึ้นมาว่าคนไข้คนอื่นที่ถูกหามเข้ามาในสภาพปางตาย เขาก็เป็นลูก เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นญาติของใครสักคนเหมือนกัน มีคนที่รักและไม่อยากให้เขาตายรออยู่เหมือนกัน คนเป็นหมออะ ทำไมต้องรอให้เจอกับตัวเองถึงรู้ ทำไมไม่รู้ได้เองจากจิตสำนึก

โดยรวมแล้ว ถึงจะมีรีวิวจากผู้ชมหลาย ๆ คนที่บอกว่าซีรีส์ The Trauma Code: Heroes on Call เป็นซีรีส์ที่สมจริงมาก ทำดี ทำถึง ถึงขนาดว่าเป็นซีรีส์ (ทางการแพทย์) ที่ควรค่าแก่การยกขึ้นหิ้งอีกเรื่องเลยก็ว่าได้ แต่ส่วนตัว ขอพูดในฐานะของคนที่ถ่างตาดูจนจบ 8 อีพีในคืนเดียว ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด มันดีจริงแต่ก็มีหลายจุดที่ชวนให้รู้สึกอิหยังวะอยู่เหมือนกัน แบบว่ามองตาม common sense ปกติเลยนะ ไม่ได้อิงตามความรู้เฉพาะทางทางการแพทย์อะไรหรอก ถึงอย่างนั้นโดยรวมมันก็สนุกมากจริงอันนี้ไม่เถียงเลย ไม่มีช่วงไหนที่ชวนง่วงชวนหาว ขอหลบไปงีบสัก 15 นาทีเดี๋ยวตื่นมาดูต่อ ไม่มี สามารถเบิ่งเนตรดูได้ยาว ๆ ก็เลยไม่แปลกใจที่ส่วนที่อิหยังวะจะถูกมองข้ามไปง่าย ๆ
ก็นะ ถ้าดูเพื่อความบันเทิง ดูเพื่อเอามัน ดูสนุก ซีรีส์เรื่องนี้ก็ทำถึงจริงแหละ บทมันส่งให้คาแรกเตอร์ของนักแสดงแต่ละคนมันชัดเจน แต่ก็ต้องให้เครดิตนักแสดงแต่ละคนอีกเหมือนกันที่เล่นได้หลุดจากภาพจำเดิม ๆ ไปเลย และก้าวข้ามความเป็นธรรมชาติแบบก้อนหิน ต้นไม้ ใบหญ้า ขุนเขา จนได้ เหมือนแจ้งเกิดใหม่ทั้งที่ไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่ จูจีฮุน นี่ไม่ต้องพูดถึง เขาเลยจุดแจ้งเกิดไปนานโข ฝีมือนี่เป็นระดับตัวท็อปของวงการไปแล้ว (ไม่นับตอนที่เป็นเจ้าชายเย็นชานะ เพราะเป็นเรื่องแรก ชั่วโมงบินยังน้อย) แต่อย่าง ชูยองอู แล้วก็ ฮายอง เวลานี้คือติดลมบน ส่วนประเด็นทางการแพทย์ ที่แม้จะรู้สึกอิหยังวะบ้างบางฉาก ถ้าไม่คิดมากแบบจับผิด คิดว่ามันเป็นละคร ก็ตามนั้น🩺