ในยุคที่หน้าฟีดโซเชียลมีเดียเต็มไปด้วย Food Influencer, Food Youtuber หรือแม้แต่ Food Blogger อยากจะถามคุณผู้อ่านค่ะว่า ได้ “กิน” อาหารไทยรสชาติแท้ ๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อไรคะ
สำหรับยุคนี้ “ขนมหวาน กลับหวานน้อย แต่อาหารคาว กลายเป็นหวานนำ” ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในร้านกาแฟ เราจะได้ยินคำถามติดปากพนักงานที่ถามระดับความหวาน และจะมีคำตอบที่ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 80 ว่า “หวานน้อย” หรือ “ไม่หวาน” แต่สำหรับอาหารไทยหลายอย่าง กลับไม่มีรสชาติอย่างที่ควรจะเป็น และเกือบจะทุกเมนูเมื่อแตะลิ้นครั้งแรกก็กลายเป็น “หวานนำ” ไปเสียอย่างนั้น
ผู้เขียนเคยมีโอกาสนั่งคุยกับพ่อครัวร้านอาหารไทยท่านหนึ่ง ว่าอาหารไทยเรามีความเข้าใจว่า “หวาน” คืออร่อย ตั้งแต่เมื่อไรกัน พ่อครัวท่านนั้นให้ความกรุณาอธิบายว่า “รสหวานเป็นรสชาติที่กินง่าย และปัจจุบันอาหารไทยเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ ขณะที่ลิ้นคนรุ่นใหม่ก็ไม่คุ้นเคยกับอาหารไทยดั้งเดิมที่รสชาติจัดจ้าน คนทำก็เลยต้องปรับเปลี่ยนจากที่เคยเผ็ดนำ เปรี้ยวนำ หรือเค็มนำ มาเป็นหวานนำ ทั้งหมด”
ซึ่งการปรุงรสตามกระแสนิยม ทำให้ดีเอ็นเอของอาหารไทยเปลี่ยนไปมาก จากยำที่ควรจะมีรสชาติเปรี้ยว เค็ม เผ็ด กลับกลายเป็นยำที่มีรสชาติหวานนำ หรือแกงเขียนหวาน แกงพะแนง หรือแม้แต่มัสมั่น เมนูติดอันดับโลกของไทยที่จัดโดย CNN ควรจะมีรสชาติของเครื่องแกงอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง กลับกลายเป็นว่า แกงไทย มีรสชาติหวานนำเกือบจะทั้งหมด
แต่ถ้าหันไปมองเพื่อนร่วมทวีปที่มีเมนูอาหารติดอันดับโลกเช่นกัน อย่างอาหารญี่ปุ่น ที่คนไทยหลายคนพึงใจนั้น ยังคงรสชาติแบบดั้งเดิมของตนเอง เน้นชูรสชาติของวัตถุดิบมากกว่าใช้เครื่องปรุงรส หรือแม้แต่อาหารจีน ที่มีหลายเมนูที่คนทั่วโลกนิยม ก็ยังคงความเป็นตัวของตัวเอง มากกว่าจะปรับรสชาติจนทำให้ ดีเอ็นเอ ของอาหารเปลี่ยนไป
อาหารไทยมีเอกลักษณ์ตรงที่เรามีกับข้าวตรงกลางแล้วรับประทานอาหารร่วมกัน ในหนึ่งสำรับ อาหารแต่ละจานจะมีรสชาติเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม แตกต่างกันไปเมื่อรวมกันในหนึ่งคำ รสชาติจะเกื้อกูลกันให้เกิดความอร่อยยิ่งขึ้น แต่ถ้าทุกอย่างในสำรับมีรสชาติหวานไปหมด มื้อนั้นอาจจะไม่ได้กินง่ายอย่างที่หลายคนคิด แต่จะกลายเป็นมื้อที่ออกเลี่ยน และพาลจะกินข้าวไม่อร่อย
ถึงบรรทัดนี้ ลองกลับไปหารสชาติดั้งเดิมของอาหารไทยในเมนูที่คุณชอบดูนะคะ แล้วคุณจะได้รู้ว่ารสชาติที่ใช้วัตถุดิบดีเอ็นเอความอร่อยมากกว่าใช้เครื่องปรุงรสหรือสาดน้ำตาลลงไปกลบทุกสิ่งนั้น จะทำให้คุณกินข้าวได้มากกว่าเดิม
แล้วพบกับใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ
หมายเหตุ : คำว่า “กิน” เป็นคำสุภาพเหมือนกับคำว่า “รับประทาน” คำว่า “ทานข้าว” เป็นการตัดคำ และไม่ได้มีความหมายเหมือนคำว่า “กินข้าว” หรือ “รับประทานข้าว” แต่อย่างใด