จรรยาบรรณสื่อ ในยุคฐานันดรที่ 5 

บรรทัดต่อจากนี้ คุณผู้อ่านกำลังจะได้อ่านเนื้อหาคอลัมน์ที่ผู้เขียนเปลี่ยนกะทันหัน ชนิดที่ต้องขอบคุณน้องเตย บรรณาธิการของ Tonkit360 ที่พร้อมเสมอสำหรับเรื่องแบบปัจจุบันทันด่วนของคอลัมนิสต์คนนี้

การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของคอลัมน์ประจำวันนี้ เกิดขึ้นเพราะได้เห็นเนื้อหาที่ทางสำนักข่าวใหญ่จากสหรัฐอเมริกาส่งแถลงระบุรายละเอียดเรื่องที่นักข่าวหญิงวัย 43 ปีและช่างภาพวัย 35 ปีเข้าไปในสถานที่เกิดเหตุที่หนองบัวลำภู และถ่ายทำตัดต่อเป็นรายงานพิเศษ (หรือสกู๊ปข่าว) ที่มีภาพของความโหดร้ายภายในสถานที่เกิดเหตุหลงเหลืออยู่

โดยในแถลงฉบับล่าสุดนั้นระบุว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของนักข่าวและช่างภาพ ไม่ได้มีความตั้งใจ และในช่วงท้ายได้ระบุว่า “We deeply regret any distress or offense our report may have cause, and for any inconvenience to the Thai police at such a distressing time for the country” ก่อนจะลงชื่อผู้บริหารสูงสุดของสำนักข่าว

ถ้าอ่านแล้วจะพบว่าข้อความสุดท้ายที่มีคำว่า Regret อันหมายถึงเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีคำว่า Apologize ที่แปลว่า ขอโทษ (อย่างเป็นทางการ) นับเป็นแถลงที่ให้ความรู้สึกว่าต้นสังกัดก็ไม่ต่างจากนักข่าว เพราะใช้คำขอโทษที่ไม่ได้เป็นการขอโทษจริง ๆ

เหตุการณ์ที่หนองบัวลำภูนั้น เป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยอย่างน้อยก็ในรอบกว่าสามสิบปีที่ผู้เขียนเองทำงานอยู่ในแวดวงสื่อ การรับมือของสำนักข่าวไทย ทั้งเล็กและใหญ่ต่างทำไปตามสัญชาตญาณ บางที่ก็รู้จักความพอดี แต่บางที่ก็ใช้วิธีที่มีอยู่ชนิดล้นเกิน จนทำให้คนที่เสพข่าวต้องถามหาจรรยาบรรณสื่อ

แต่สำหรับสำนักข่าวต่างชาติ เหตุการณ์สังหารหมู่นั้นเรียกว่าเป็นสถานการณ์ที่ต้องเกาะติดของพวกเขา เพราะไม่ว่าจะเกิดที่ไหนในโลก ข่าวแบบนี้สำนักข่าวต่างชาติให้ความสำคัญเสมอ ที่ผ่านมามีตัวอย่างให้เห็นมากมาย รวมไปถึงการนำเสนอภาพเหตุการณ์ที่จะไม่มีสำนักข่าวไหนนำเสนอสถานที่เกิดเหตุแม้ว่าพวกเขาจะมีฟุตภาพอยู่ในมือก็ตาม

ประเด็นของนักข่าวต่างประเทศที่ทำให้ผู้คนต้องตั้งคำถามจรรยาบรรณสื่อของเธอ เพราะด้วยวัยวุฒิของการเป็นนักข่าวในภูมิภาคนี้ รวมไปถึงปลอกคอที่สวมใส่อยู่ ก็เป็นสำนักข่าวที่ได้รับความเชื่อถือไปทั่วโลก “ทำไมถึงปล่อยให้รายงานในลักษณะดังกล่าวถูกเผยแพร่ได้” การนำเสนอรายงานที่ติดภาพความรุนแรงในที่เกิดเหตุไปเผยแพร่ต่อชาวโลก ไม่เพียงแต่สร้างความโศกสลด แต่ยังเป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดไปยังครอบครัวของเหยื่อ

จรรยาบรรณาสื่อ หรือ Media Ethic นั้น เป็นการรับรู้และเป็นข้อตกลงร่วมกันของสื่อสากล จรรยาบรรณที่ว่าไม่ใช่แค่เพียงนักหนังสือพิมพ์ นักข่าวโทรทัศน์ หรือนักข่าวออนไลน์ แต่จรรยาบรรณสื่อยังครอบคลุมการทำงานของสื่อทั้งหมด ตั้งแต่นักข่าวสงคราม ไปจนถึงคนทำภาพยนตร์โฆษณา

แต่ทั้งนี้จรรยาบรรณสื่อมักจะถูกใช้กับผู้สื่อข่าวมากกว่าสื่อในประเภทอื่น โดยจรรยาบรรณสื่อของนักข่าว 12 ข้อที่ยึดถือในระดับสากลนั้นประกอบไปด้วย

  1. ประพฤติ ปฏิบัติหน้าที่ให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม
  2. ไม่สร้างข่าวหรือเขียนข้อมูลขึ้นมาเอง
  3. ข่าวและข้อมูลที่นำเสนอทั้งหมดต้องเป็นความจริง
  4. ไม่นำเสนอข้อมูลแล้วไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น
  5. นำเสนอข่าว ข้อมูลโดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
  6. ไม่ปิดบังอำพรางข่าวที่ควรนำเสนอ  
  7. ไม่ขายข่าว เพื่อเอาไปใช้หาเงินในทางไม่ชอบ
  8. ไม่เข้าร่วมกับพรรคการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
  9. นำเสนอข่าวและข้อมูลสำหรับคนทุกภาคส่วนในสังคม ไม่ใช่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ
  10. ไม่เหยียดเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ของบุคคล
  11. พร้อมที่จะแก้ไขความผิดพลาดเสมอ
  12. การเสนอข่าวและข้อมูล ต้องคำนึงถึงว่ายังมีเยาวชนที่จะได้รับรู้เรื่องราวเหล่านั้นอยู่ด้วย

มาถึงบรรทัดนี้ หากคุณผู้อ่านพิจารณาจรรยาบรรณสื่อจากทั้ง 12 ข้อ คงเห็นแล้วว่านักข่าวและช่างภาพ จากสำนักข่าวต่างประเทศแห่งนั้นได้ละเมิดเรื่องใดไปบ้าง ขณะเดียวกันนักข่าวไทยจากบางสำนักฯ ได้นำเสนอข่าวที่ผิดจากจรรยาบรรณสื่ออย่างไร

ทั้งหมดนี้คือข้อปฏิบัติของวิชาชีพสื่อ ไม่ใช่สิ่งที่ขอความร่วมมือ แต่เป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติตาม เพราะในฐานะสื่อไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เราขายความน่าเชื่อถือ และความน่าเชื่อถือของสื่อต้องไม่ทำร้ายสังคม

เพราะจรรยาบรรณคือการรับรู้ว่า “แม้จะมีสิทธิในการลงมือทำ แต่ถ้าทำลงไปแล้วส่งผลเสียในการรับรู้ต่อสังคมยังจะทำต่อไปไหม หากเป็นเช่นนั้นคงต้องใช้ตราชั่งในใจนักข่าวชั่งใจตนเอง” 

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ