กลไก manual รถยุคใหม่ถวิลหา

ขึ้นชื่อว่าเทคโนโลยี มองดูโดยรวมแล้วต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่ ๆ ใช่ไหมครับ แต่หากว่าในการใช้งานจริงแล้วมันไม่เวิร์ก บางทีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ต่อให้คิดค้นมาดีแค่ไหน หากมีจุดบอดแม้แต่นิดเดียวแล้วนำมาซึ่งความสูญเสีย บางทีก็ไม่รู้จะเรียกเจ้าระบบอัตโนมัติต่าง ๆ นี้ว่าเทคโนโลยีได้เต็มปากหรือไม่นะครับ

ก่อนขึ้นต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ในบ้านเรา ที่รถไฟฟ้าแบรนด์ดังจมน้ำและผู้ขับขี่ต้องเสียชิวิตด้วยนะครับ ซึ่งหากใครตามข่าวมาตลอด เคสแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในต่างประเทศ ทั้งในกรณีจมน้ำ รวมถึงไฟฟ้า และเกิดความสูญเสียต่อคนในรถถึงขั้นกลายเป็นข่าวเศร้า

งานนี้ทำให้ผมนึกได้ถึงกลไลของรถยนต์แบบ manual ที่เราเองคุ้นเคยมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป เทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนยุคผมอดหงุดหงิดไม่ได้ กับออปชันในรถยนต์ยุคใหม่หลาย ๆ อย่าง ที่เน้นความล้ำยุคจนลืมความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ โดยเฉพาะคนชอบขับรถ

โดยหากคุณเริ่มต้นขับรถคันแรกด้วยรถเกียร์ออโต้หรือรถไฟฟ้าที่ไม่มีความรู้สึกของระดับเกียร์ คุณอาจไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ผมก็เชื่อว่าบางคนที่เริ่มต้นขับรถด้วยเกียร์ธรรมดา ย่อมต้องถวิลหาฟิลลิ่งการเข้าเกียร์ จริงอยู่ครับเกียร์ออโต้ตอบโจทย์สำหรับการขับรถในเมือง แต่เมื่อขับทางไกล หลายคนน่าจะอยากเข้าเกียร์เองบ้างไม่มากก็น้อย

แม้เขาจะมีการคิดค้นระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ manual เป็นออปชันในรถเกียร์ออโต้ แต่มันก็ไม่เหมือนกับเราเหยียบคลัตช์เข้าเกียร์เอง หรือกระทั่งฝาท้ายในรถยุคใหม่ ๆ ที่เป็นแบบกดปุ่ม เวลารีบ ๆ หรือฝนจะตก ต้องกดปุ่มแล้วรอให้มอเตอร์ทำงานค่อย ๆ ปิดลงมา ใช้เวลา 3-5 วินาที แต่ถ้าเป็นรถรุ่นเก่า เราแค่ใช้มือปิดโครมลงไป จบ!

หรือกระทั่งการสตาร์ตรถแล้วขับออกไป จากที่รถยุคก่อนบิดกุญแจ เข้าเกียร์ ออกไปได้เลย แต่ในรถยุคดิจิทัล โดยเฉพาะ EV บางรุ่น อาจต้องเสียเวลากับปุ่มมากมายที่หน้าจอ บางรุ่นต้องรอให้ซอฟต์แวร์โหลด ต้องกดเมนูเพื่อหาฟังก์ชันพื้นฐานที่จำเป็นก่อนจะออกตัวได้ สำหรับผม มันคือความล่าช้าทางดิจิทัลที่ไม่ทันใจเอาเสียเลย

มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะแย้งว่าระยะเวลาที่ต่างกันในหลัก 3-5 วินาที ทำไมจะรอไม่ได้ คำตอบของผมคือ ไม่ใช่รอไม่ได้นะครับ เพราะอย่างไรเราก็ต้องใช้งานมันอยู่ดี แต่มันอดรำคาญไม่ได้ รวมไปถึงคำว่าไม่กี่วินาทีเนี่ยล่ะครับ ที่บางทีก็ส่งผลต่อความเป็นความตายได้เหมือนกัน

อย่างในเคสของรถจมน้ำ จริงอยู่ครับ เรารู้ธรรมชาติของความดันหากรถจมลงไปทั้งคันแล้ว ไม่ว่าจะรถยุคไหนก็เปิดประตูได้ยาก เนื่องจากแรงดันน้ำภายนอกสูงกว่า แต่ก็ยังพอที่จะเปิดกระจกได้หากระบบไฟฟ้ายังทำงานอยู่ หรือทุบกระจกเพื่อหนีออกทางหน้าต่างได้ ซึ่งนี่เป็นแนวทางที่หาได้ในกูเกิล แต่ในทางปฏิบัติก็มีเงื่อนไขต่างกันไป

ว่าแต่ทำไมรถไฟฟ้าแบรนด์ดังถึงมีเคสแบบนี้อยู่เรื่อย คหสต. นะครับ หรือว่าทุกสิ่งที่ดูล้ำยุคภายใต้ซอฟต์แวร์และระบบไฟฟ้า กลับกลายเป็น “จุดบอด” ที่ช้าและซับซ้อนเกินไป จริง ๆ แล้วเว็บไซต์ของรถยี่ห้อนี้ เขามีวิธีเปิดประตูฉุกเฉินด้วยกลไลแบบ manual แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาฉุกเฉินจริง ๆ มันจะเรียกใช้งานได้ง่ายแค่ไหน

รวมไปถึงระบบกระจกไฟฟ้า ไม่รู้ว่ามันพอจะทำงานอย่างไรได้บ้างในสถานการณ์จมน้ำ ก่อนนี้มีกระแสข่าวว่ามีการพัฒนาเซ็นเซอร์เปิดกระจกทั้ง 4 บาน รวมถึงฝาท้ายอัตโนมัติ หากรถเริ่มจมน้ำ ผมเชื่อว่าถ้าระบบนี้ถูกนำมาติดตั้งได้จริง ก็ย่อมจะมีส่วนช่วยคนให้รอดชีวิตได้แน่นอน

ฉะนั้น จากเคสรถไฟฟ้าจมน้ำ เป็นสัญญาณที่บอกว่าต่อให้เทคโนโลยีจะล้ำหน้าไปแค่ไหน บางทีในวินาทีสำคัญ “ความทันใจ” จากกลไกที่เรียบง่าย ก็ยังจำเป็นอยู่สำหรับรถทุกคันนะครับ