ในช่วงชีวิตหนึ่ง ๆ นั้น คนเราทุกคนเกิดมาแล้วท้ายที่สุดก็ตายไปโดยไม่มีใครที่จะอยู่ค้ำฟ้าได้ โดยเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิต มีลมหายใจ เราต่างก็เป็นที่รักของใครสักคน ในระหว่างนั้นหลาย ๆ คนอาจได้สร้างบุญกุศล สร้างคุณงามความดี สร้างเกียรติยศ ฯลฯ ให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้จดจำและระลึกถึงว่าครั้งหนึ่งที่เรามีชีวิต เราเองก็เคยเป็นบุคคลที่มีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ไม่ได้เกิดมาใช้ทรัพยากรต่าง ๆ บนโลก แล้วตายจากไปอย่างสูญเปล่า
ไม่ว่าตอนที่มีชีวิตอยู่เราจะเป็นใคร จะยากดีมีจน เคยสร้างสิ่งดี ๆ ไว้ให้ผู้อื่นจดจำหรือไม่ เราก็ล้วนแล้วแต่สร้างคุณประโยชน์ได้เมื่อหมดลมหายใจไปแล้ว ด้วยร่างกายและอวัยวะที่ “ไม่ได้ใช้แล้ว” บริจาคเพื่อส่งต่อให้กับผู้อื่นที่ต้องการ ดังที่มีข่าวการเชิดชูเกียรติแก่บุคคลผู้ล่วงลับ ที่แสดงเจตนารมณ์บริจาคอวัยวะหรือบริจาคร่างกายหลังจากที่ตนเองเสียชีวิต แม้ว่าตอนที่พวกเขามีชีวิตอยู่เราอาจจะไม่เคยรู้จักพวกเขาเลย แต่สิ่งที่พวกเขาอุทิศไว้หลังจากตนเองหมดลมหายใจและจากโลกนี้ไปแล้ว มันยิ่งใหญ่มากจนน่ายกย่อง เพราะอวัยวะที่พวกเขาไม่ได้ใช้แล้ว หรือร่างกายที่ปราศจากวิญญาณ ยังมีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ มากมาย
อย่างไรก็ดี หลายคนมีความเชื่อว่าการบริจาคอวัยวะของตนเองหลังสิ้นอายุขัยในชาติภพนี้ อาจทำให้ชาติหน้าเกิดมามีอวัยวะไม่ครบ พูดง่าย ๆ ก็คือเชื่อว่าบริจาคอะไรไป ชาติหน้าก็จะพิการอวัยวะนั้น (เพราะถูกตัดให้คนอื่นไปแล้ว) ทั้งที่เรื่องนี้ยังพิสูจน์กันไม่ได้เป็นที่ประจักษ์เลยว่าชาติที่แล้วมีจริงไหม และชาติหน้าจะมีหรือเปล่า แต่ที่รู้แน่ ๆ ก็คือ ชาตินี้มีอยู่จริง เมื่อเสียชีวิตแล้วก็ถือว่าจบไป การตายของเราจะมีประโยชน์ต่อคนอีกมากมาย หากลองวางแผนจัดการร่างกายให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ด้วยการบริจาคร่างกาย และบริจาคอวัยวะ รวมถึงบริจาคเลือด สำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ คุณก็สามารถทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกได้เช่นกัน
โครงการ #โอนอวัยวะกันYOUNG เป็นโครงการที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ ทรู คอร์ปอเรชั่น ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ และศูนย์ดวงตา สภากาชาดไทย หนึ่งในโครงการที่ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญของการให้ร่างกายของตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เป้าหมายสำคัญก็คือ “อวัยวะและดวงตาที่วันหนึ่งเราไม่ได้ใช้แล้ว เราสามารถโอนให้คนอื่นใช้ต่อได้”
ข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์ Let Them See Love ระบุว่า วันนี้มีผู้ป่วยที่รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตา 23,138 คน แต่มีผู้บริจาคเพียง 360 คนต่อปีเท่านั้น ดงนั้น ตับ ไต หัวใจ ปอด และดวงตาของเราอยู่ในสภาพดีขนาดไหน วันหนึ่งที่ไม่ได้ใช้แล้ว จะดีกว่าไหมหากโอนให้คนอื่นไปใช้ต่อชีวิต มอบโอกาสให้ผู้ป่วยเหล่านั้นได้กลับมาสัมผัสการมีชีวิตแบบคนปกติและความรักอีกครั้ง “ความรักที่ให้ได้ไม่สิ้นสุด คือ การให้ชีวิตใหม่กับเพื่อนมนุษย์”
การบริจาคร่างกายกับบริจาคอวัยวะนั้นแตกต่างกัน
การบริจาคร่างกาย ≠ การบริจาคอวัยวะ เนื่องจากการบริจาคร่างกาย คือการอุทิศร่างกายทั้งร่างเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้ศึกษาเพื่อเป็นประโยชน์ในการรักษาชีวิตของผู้อื่นตามวิชาชีพแพทย์ โดยจะเรียกกันว่า “อาจารย์ใหญ่” ผู้บริจาคจะเสียชีวิตจากสาเหตุธรรมชาติ และมีอวัยวะครบ จะทำเรื่องบริจาคผ่านคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยทุกแห่ง ซึ่งแต่ละแห่งมีเกณฑ์การรับอุทิศร่างกายต่างกัน หลังจากนำร่างกายมาใช้ศึกษาเป็นเวลา 2 ปี ทางคณะแพทยศาสตร์ของโรงพยาบาลนั้น ๆ จะประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลให้
ส่วนการบริจาคอวัยวะ เป็นการมอบอวัยวะเพื่อนำไปปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยที่อวัยวะนั้น ๆ เสื่อมสภาพ ผู้บริจาคต้องเสียชีวิตจากภาวะสมองตายเท่านั้น (ยกเว้น ไต 1 ข้าง, ตับ, ไขกระดูก เป็นต้น ที่สามารถบริจาคได้ตอนยังมีชีวิตอยู่) หลังจากผ่าตัดเพื่อนำอวัยวะไปให้ผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะตกแต่งร่างกายของผู้บริจาคให้เรียบร้อย ก่อนมอบให้ญาติไปประกอบพิธีทางศาสนา เราสามารถแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะได้ทั่วประเทศ โดยติดต่อได้ที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย เหล่ากาชาดจังหวัดทุกแห่ง หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัด
การบริจาคร่างกาย
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น การบริจาคร่างกายคือการอุทิศทั้งร่างกายให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้ศึกษา ผู้บริจาคเจ้าของร่างจะอยู่ในสถานะ “อาจารย์ใหญ่” ซึ่งหลังจากเสียชีวิต ญาติจะต้องแจ้งให้คณะแพทยศาสตร์ไปรับร่างภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนจุดประสงค์ของการบริจาคร่างกาย ก็เพื่อการศึกษาโดยเฉพาะ ถือว่าเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน เพราะเป็นการสละร่างกายของตนเเองเพื่อให้วงการแพทย์ได้นำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษา วิจัย และการรักษาทางการแพทย์ ปรารถนาที่จะให้ร่างกายที่หมดลมหายใจแล้วเป็นอาจารย์ในการศึกษา
แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือแม้ว่าจำนวนผู้แสดงเจตจำนงบริจาคร่างกายนั้นจะเหยียบหลักหมื่นรายต่อปีนั้น แต่กลับมีร่างกายที่พร้อมสำหรับการใช้ศึกษาทางการแพทย์ของนักศึกษาแพทย์ ปีละไม่ถึง 300 รายเท่านั้น! ทั้งนี้ เป็นเพราะว่าศพของผู้เสียชีวิตที่จะนำมาใช้ในการศึกษานั้น จะต้องมีคุณสมบัติที่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาด้วย รวมถึงในการบริจาคร่างกาย ผู้แสดงเจตจำนงจะต้องระบุให้ชัดเจนว่าประสงค์อุทิศร่างกายเพื่อกรณีใด ดังนี้
- เพื่อการศึกษากายวิภาคศาสตร์ของนิสิต นักศึกษาแพทย์
- เพื่อการฝึกอบรมหัตถการต่าง ๆ และงานวิจัยทางการแพทย์
- เพื่อการศึกษาของนักศึกษาด้านการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุขอื่น ๆ
- เพื่อเก็บเนื้อเยื่อบางส่วนสำหรับการรักษาทางการแพทย์
- เพื่อให้แพทย์เฉพาะทางฝึกผ่าตัด
- เพื่อเก็บโครงกระดูกเพื่อการศึกษา
การบริจาคอวัยวะ
จริง ๆ แล้วการบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะไม่ใช่เรื่องใหม่ของสังคมไทย แต่การรับรู้บางอย่างยังไม่กว้างขวางและมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอยู่มาก โดยเฉพาะความเชื่อที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ เกี่ยวกับอวัยวะที่อาจอยู่ไม่ครบของผู้เสียชีวิตตามความเชื่อชีวิตในโลกหน้า ที่ถ้าหากว่าเราได้บริจาคอวัยวะของเราเมื่อสิ้นสุดชาตินี้ ชาติหน้าก็อาจเกิดมาแบบที่อวัยวะไม่ครบนั่นเอง
อย่างไรก็ดี ในทางพระพุทธศาสนา เชื่อว่าการบริจาคอวัยวะถือเป็นทานบารมีขั้นสูงสุด (ทานปรมัตถบารมี) ได้แก่ การบริจาคชีวิตให้ผู้อื่น โดยไม่ใช่การสาปแช่งตนเองให้เสียชีวิตเร็ว ๆ หรือทำให้ตนเองเป็นคนพิการในชาติภพหน้า ไม่ได้ทำให้คนตายต้องเจ็บปวดอีกครั้ง เพราะคนตายไปแล้วไม่เจ็บปวดแล้ว และไม่ทำให้จากโลกนี้ไปแบบศพไม่สวย เมื่อดับขันธ์แล้ว สาระของร่างกายก็ไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไป มีแต่จะถูกนำไปฝังหรือเผาตามความเชื่อเท่านั้น ซึ่งถ้าต้องทิ้งขว้างให้สูญเปล่าแบบนั้น ก็ไร้ประโยชน์เกินไป
การบริจาคอวัยวะ คือการมอบอวัยวะบางชิ้นส่วน เพื่อนำไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยอื่นที่อวัยวะนั้น ๆ ไม่สามารถใช้การได้ โดยผู้บริจาคจะต้องเสียชีวิตจากภาวะสมองตายเท่านั้น (ยกเว้น ไต 1 ข้าง, ตับ, ไขกระดูก ที่สามารถบริจาคได้ตอนยังมีชีวิตอยู่) ซึ่งสำหรับในประเทศไทย จะรับอวัยวะของผู้บริจาคไปปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยได้เพียง 2 กรณีเท่านั้น คือ การรับบริจาคจากผู้ที่สมองตายแล้ว (ตามกฎหมายและทางการแพทย์) และจากผู้บริจาคที่ยังมีชีวิต ตามข้อบังคับของแพทยสภา จะต้องเป็นญาติโดยสายโลหิต หรือสามีภรรยา
บริจาคอวัยวะ ช่วยเหลือใครได้บ้าง
เนื่องจากอวัยวะที่สามารถนำไปปลูกถ่ายได้ ได้แก่ ไต 2 ข้าง, ปอด 2 ข้าง, หัวใจ, ตับ, ตับอ่อน นอกจากนี้ยังมีเนื้อเยื่อที่ปลูกถ่ายได้ ได้แก่ ลิ้นหัวใจ, หลอดเลือด, ผิวหนัง, กระดูก, เส้นเอ็น และกระจกตา หากเราคิดจะเป็นผู้บริจาคอวัยวะ เราเพียงคนเดียว จะสามารถช่วยชีวิตผู้อื่นได้มากถึง 8 ชีวิต ด้วยอวัยวะ 8 ชิ้น คือ หัวใจ ปอดซ้าย ปอดขวา ตับ ตับอ่อน ลำไส้เล็ก ไตซ้าย และไตขวา นอกจากนี้เนื้อเยื่ออย่างลิ้นหัวใจ หลอดเลือด ผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น และกระจกตา ที่สามารถนำไปปลูกถ่ายให้กับผู้อื่นได้อีกเช่นกัน
ความดีที่ไม่สิ้นสุด ก็คือการอุทิศอวัยวะเมื่อยามตนเองสิ้นสูญไปแล้ว ข้อมูลจากศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย ระบุว่าอวัยวะที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในประเทศไทย 3 อันดับ ได้แก่ ไต ตับ และหัวใจ โดยสถิติพบว่าประเทศไทยมีความต้องการปลูกถ่ายไตมากที่สุด เฉลี่ยอยู่ที่ 95 เปอร์เซ็นต์
ผู้ที่ประสงค์จะบริจาคอวัยวะ
ผู้ที่ประสงค์จะบริจาคอวัยวะ โดยทั่วไปมีคุณสมบัติดังนี้
- อายุไม่เกิน 65 ปี
- เสียชีวิตจากภาวะสมองตาย
- ปราศจากโรคติดเชื้อ และโรคมะเร็ง
- ไม่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, หัวใจ, โรคไต, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ และไม่ติดสุรา
- อวัยวะที่จะบริจาคต้องทำงานได้ดี
- ปราศจากเชื้อที่ถ่ายทอดทางการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี, ไวรัสเอดส์ ฯลฯ
- ควรแจ้งเรื่องการบริจาคอวัยวะให้บุคคลในครอบครัวหรือญาติรับทราบด้วย เพราะหากเสียชีวิตและสามารถบริจาคอวัยวะได้ ญาติจะต้องเซ็นยินยอมบริจาคอวัยวะเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงจะเป็นผู้แจ้งให้ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยทราบว่าผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะเสียชีวิตแล้ว ซึ่งถ้าหากญาติไม่ยินยอมที่จะบริจาค จะถือว่าการบริจาคนั้นเป็นโมฆะ
การบริจาคเลือด
สำหรับบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ประสงค์ที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การบริจาคอวัยวะอาจจะมีเงื่อนไขบางอย่างที่ยังทำไม่ได้ เพราะตัวคุณเองก็ต้องเก็บไว้ใช้งาน แต่คุณสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยการบริจาคเลือดได้ การบริจาคเลือดก็เป็นการทำทานเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นเช่นเดียวกันกับการบริจาคอวัยวะ เนื่องจากเลือด เป็นสิ่งจำเป็นและมีความสำคัญมากในการใช้รักษาผู้ป่วย หากมีไม่เพียงพอ ก็จำเป็นต้องรับบริจาคเลือดจากผู้อื่น โดยเราสามารถบริจาคเลือดได้ทุก ๆ 3 เดือน ช่วยได้ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เท่านี้ก็สามารถต่อชีวิตให้กับผู้ป่วยที่รอรับการรักษา หรือผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุได้แล้ว
การบริจาคเลือด 1 ถุง เราจะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างน้อย 3 ชีวิต โดยเลือด 1 ถุง จะประกอบด้วยพลาสมา เกล็ดเลือด และเม็ดเลือดแดง
- เกล็ดเลือด นำไปรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ โรคไข้เลือดออก มะเร็งเม็ดเลือดขาว
- เม็ดเลือดแดง นำไปรักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจาง (ธาลัสซีเมีย) ไขกระดูกฝ่อ ผู้ป่วยที่สูญเสียเลือดจากการ ผ่าตัดหัวใจ อุบัติเหตุ หรือตกเลือดจากการคลอดบุตร
- พลาสมา นำไปรักษาผู้ที่มีอาการช็อกจากการขาดน้ำ ผลิตเซรุ่มป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์โลหิต 3 ชนิด ได้แก่ แฟกเตอร์ 8 (Factor VIII) รักษา
โรคฮีโมฟีเลียเอ อิมมูโนโกลบูลิน (IVIG) รักษาโรคภูมิคุ้มกันต่อต้านตัวเอง อัลบูมิน (Albumin) รักษาไฟไหม้น้ำร้อนลวก และโรคตับ
บริจาคอะไรได้ที่ไหนบ้าง
การบริจากร่างกาย สามารถแสดงความจำนงได้ที่คณะแพทยศาสตร์ทุกแห่ง (มหาวิทยาลัยที่มีคณะแพทยศาสตร์) ซึ่งแต่ละแห่งมีเกณฑ์การรับอุทิศร่างกายต่างกัน การบริจาคอวัยวะ สามารถแสดงความจำนงบริจาคอวัยวได้ที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย เหล่ากาชาดจังหวัดทุกแห่ง หรือที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ส่วนการบริจาคเลือด บริจาคได้ที่ศูนย์บริจาคโลหิตเท่านั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพมหานคร ส่วนต่างจังหวัด สามารถติดต่อบริจาคได้ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงภาคบริการโลหิตแห่งชาติ และงานบริการโลหิต





























