ฟื้นฟูสุขภาพใจให้มีความสุข ด้วยการ “ให้อภัยตนเอง”

เรื่องของความรู้สึกผิดหรืออับอายเวลาที่ตัวเองทำอะไรผิดพลาด มักจะเป็นความรู้สึกที่แย่และทุกข์ทรมานใจเสมอไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตาม หลายต่อหลายคนรู้สึกเหมือนเป็นตราบาปในใจที่ทำให้นึกตำหนิตัวเองซ้ำไปซ้ำมาจนไม่มีความสุข ยิ่งการที่ไม่มูฟออนไปข้างหน้า และจมอยู่กับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้โดยไม่ยอมตัดใจ ก็ยิ่งทำให้มีความรู้สึกด้านลบกับตัวเองมากขึ้นไปอีก นานวันยิ่งปวดร้าว กลายเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถ่วงใจไว้และหน่วงจนทำอะไรไม่ได้

ความรู้สึกที่ยังไม่ยอมตัดใจจากเรื่องที่ตัวเองทำผิดพลาด อาจเป็นเพราะว่าเรา “ไม่ยอมให้อภัยตัวเอง” ทำให้เรายังยึดติดอยู่กับความรู้สึกผิดและอับอายจนไม่ยอมก้าวข้ามมา นำไปสู่วังวนที่คิดลบ ๆ ต่อตนเองแบบไม่จบสิ้น ทั้งที่จริง ๆ แล้วการให้อภัยตนเองนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันคือการตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เราทำพลาดไป โดยปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเองไม่ให้ทำผิดซ้ำอีก

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังทุกข์ใจจากความรู้สึกเอาแต่โทษตัวเองถึงความผิดพลาดในอดีต ยังไม่ยอมให้อภัยตัวเองแม้เรื่องจะผ่านมานานมากแล้ว ลองมาดูวิธีคิดง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เราเข้าใจถึงความผิดพลาดได้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ก้าวออกมาทำสิ่งใหม่ ๆ ดีกว่าการจะจมปลักอยู่กับเรื่องในอดีตที่ย้อนเวลาไปแก้ไขไม่ได้ เพราะหากเรายังไม่ยอมยกโทษให้ตนเอง แล้วหวังว่าใครจะมายกโทษให้เรา เลือกเอาว่าเราจะมองหน้าตัวเองบนกระจกที่แตกไปแล้วบานนั้น หรือจะมองตัวเองบนกระจกใบใหม่ที่เห็นรอยยิ้มของตนเองได้เต็ม ๆ ตา

ความจริงที่ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์

แม้ว่าหลาย ๆ คนจะถวิลหาความสมบูรณ์แบบให้กับชีวิต แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่จะสมบูรณ์แบบได้ 100 เปอร์เซ็นต์หรอก เราต่างก็มีจุดบกพร่องหรือข้อด้อยด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะยอมรับแล้วเปลี่ยนให้เป็นแค่จุดธรรมดา ๆ ได้หรือเปล่าเท่านั้น อันที่จริงก็ไม่จำเป็นด้วยที่จะต้องสมบูรณ์แบบ คนที่มีความสุขคือคนที่รู้จักตนเองต่างหากว่ามีข้อเด่นข้อด้อยอะไร อยู่กับความเป็นจริงโดยที่รู้ว่าต้องพัฒนาอะไรให้ดีขึ้น แต่ไม่ใช่เพื่อให้เพอร์เฟกต์ หากพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วยังไม่ได้ก็คือไม่ได้ อย่าคิดมาก คิดเยอะ แล้วโทษตัวเองให้รู้สึกแย่เปล่า ๆ

ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด

เพราะว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบนี่เอง ทุกคนจึงสามารถทำผิดพลาดด้วยกันได้ทั้งนั้น คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนไม่เคยทำอะไรเลยต่างหาก ฉะนั้น ถ้าพูดกันตามจริงก็ไม่ใช่แค่เราหรอกนะที่ต้องเผชิญกับความผิดพลาดทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าใครก็เคยทำผิดพลาดและล้วนต้องก้าวข้ามจุดนั้นให้ได้มาแล้วทั้งนั้น ถ้าคนอื่นข้ามผ่านมาได้ ทำไมเราจะผ่านมาไม่ได้ ทุกอย่างอยู่ที่ใจเราเองล้วน ๆ ว่าจะให้โอกาสตนเองได้ก้าวข้ามความผิดพลาดแล้วเริ่มต้นใหม่ หรือจะยึดติดอยู่กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วและแก้ไขอะไรก็ไม่ได้ ความผิดพลาดหลาย ๆ อย่างไม่ได้ทำลายชีวิตเราให้พังทลาย มูฟออนมาเถอะ

บอกให้ตัวเองยอมรับความจริงว่าพลาดไปแล้ว

มันอาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเราจะยอมรับความล้มเหลว แต่ก็เป็นทางเดียวที่จะปลดล็อกความรู้สึกผิดในใจเราเอง ถ้าเราไม่กล้ายอมรับความจริงว่าทำผิดพลาดไปแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะมูฟออนไปได้เช่นกัน เพราะในใจจะหวนนึกถึงแต่สิ่งที่เกิดขึ้น หาคำตอบอยู่แต่กับสิ่งแก้ไขอะไรไม่ได้ หมกมุ่นอยู่แต่กับการโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้น การยอมรับความจริงว่าพลาดไปแล้วคือการตัดใจอย่างคนที่มีสปิริต จบเรื่องค้างคา ปลดพันธนาการทางใจมาเริ่มต้นใหม่ เมื่อสิ่งหนึ่งจบไปแล้ว เราถึงจะเริ่มสิ่งใหม่ได้อย่างเต็มศักยภาพโดยไม่มีอะไรเป็นหนามยอกอกอีกต่อไป

จำไว้เป็นบทเรียน

แม้ว่าความผิดพลาดจะเป็นเรื่องน่าอาย แต่มันก็เป็นบทเรียนราคาแพงด้วยเช่นกัน ดังนั้น คำที่บอกว่า “ผิดเป็นครู” หรือ “ผิดเป็นบทเรียน” ใช้ได้เสมอเมื่อต้องการเริ่มต้นใหม่ (ขอแค่อย่าผิดเรื่องเดิมบ่อย ๆ) ความผิดพลาดที่ผ่านมาจะทำให้เราได้เรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยเฉพาะสอนให้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา ช่วยให้เป็นคนที่ระมัดระวังมากขึ้น เพื่อที่จะไม่ทำผิดซ้ำสอง และสอนว่าเราต้องรับมือกับความรู้สึกแย่ ๆ อย่างไร ถ้าคิดได้แบบนี้ ความผิดพลาดหรือความล้มเหลวก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายหรือแย่อะไรขนาดนั้น ที่สำคัญ มันยังเป็นสิ่งที่ใช้พิสูจน์ว่าเราเติบโตขึ้นจากวันวาน

รู้จักที่จะแก้ไข

การ “แก้ไข” คือการที่เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำได้ดีกว่านี้ในครั้งต่อไปและจะไม่ผิดซ้ำในจุดเดิม ซึ่งเราสามารถใช้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นครูหรือเป็นบทเรียน เพื่อหาจุดพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นต่อ ๆ ไป อะไรที่ผิดก็อย่าทำมันอีกเป็นครั้งที่สอง อะไรที่ดีแล้วก็คงไว้ต่อไปหรือปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นไปอีก อะไรที่ควรเพิ่มให้มันสมบูรณ์มากกว่าเดิมก็หามาเติม ประสบการณ์ที่ล้มเหลวจะสอนให้เราได้รู้ทั้งหมดนี้ ฉะนั้น หากไม่มีความผิดพลาด เราก็ไม่มีทางรู้จุดบกพร่องทั้งหมดนี้ด้วยตนเอง และก็จะไม่รู้ด้วยว่าจะต้องแก้ไขมัน

ใจดีกับตัวเองให้มาก ๆ อย่าลืมขอโทษตัวเอง

บ่อยครั้งที่เราเป็นคนทำร้ายตัวเอง เนื่องมาจากกดดันตัวเองมากจนเกินไป ตั้งเป้าหมายความสำเร็จไว้สูงลิ่วโดยลืมคิดไปว่ายิ่งสูงมากหากตกลงมาก็ยิ่งเจ็บมาก ถ้าทำสำเร็จก็ดีไป แต่ถ้าล้มเหลวก็เสียศูนย์ทันที เกิดเป็นความเครียด รู้สึกแย่กับตัวเอง สูญเสียความเชื่อมั่น สูญเสียความเคารพในตัวเองจนอาจถึงขั้นด้อยค่าตนเองได้ เพื่อความปลอดภัยทางจิตใจ เราอาจต้องเตรียมเผื่อใจไว้บ้างในทุก ๆ กรณี กดดันตัวเองให้น้อยลง ใจดีกับตัวเองมากขึ้น พูดคำว่า “ไม่เป็นไร” กับตัวเองเสมอ ขอโทษตัวเองทุกครั้งเวลาที่รู้สึกผิด แล้วเราจะรู้สึกเบาขึ้นอีกเยอะทีเดียว

จมปลัก ยึดติด ไม่ได้ช่วยให้สิ่งที่ผิดพลาดหายไป

นี่คือสิ่งที่ต้องย้ำกับตัวเองเสมอเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความผิดพลาด ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วมันจบไปแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้ ต่อให้รู้สึกผิดแล้วจมปลักอยู่ที่เดิม เอาแต่ตำหนิตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งที่ผิดพลาดก็ไม่อาจหายไปหรือเปลี่ยนผิดเป็นถูกได้ ถ้าอยากจะแก้ไขให้ดีขึ้นก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่ดันทุรังจะเอาชนะอดีต บอกเลยว่าไม่มีประโยชน์ ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า เลิกยึดติดอยู่กับอดีตและความผิดพลาดที่ผ่านไปแล้วเพราะมันแก้ไขอะไรไม่ได้ ก้าวข้ามมาซะแล้วเริ่มต้นใหม่กับสิ่งใหม่ ใช้ความผิดพลาดให้เป็นประโยชน์ แบบนี้สิถึงจะได้แก้ไขจริง ๆ