เคล็ดลับขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน

หากพูดถึงการทำงาน คนทำงานทราบดีว่างานแต่ละชิ้นมีเวลาการทำงานที่จำกัด ในขณะเดียวกัน ระหว่างนั้นก็อาจจะมีงานเข้ามาให้รับผิดชอบพร้อมกันอีก เกิดภาวะงานล้นจนทำไม่ทัน เมื่อเกิดเหตุการณ์บีบบังคับเช่นนี้ เราจำเป็นต้องหาทางออกให้ได้ เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

เพราะถ้าทำงานไม่เสร็จ ทำงานไม่ทันเพราะงานล้นมือ หรือเพราะตัวเราเองไม่ได้ถนัดงานส่วนนั้นเท่าไรนัก บางทีการพยายามงมทำด้วยตัวเองอาจยิ่งทำให้เสียเวลา ซึ่งการทำงานเราไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น วิธีการเอาตัวและเอางานให้รอดก็คือ การขอความช่วยเหลือจากคนอื่น การขอให้พวกเขาช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราทำไม่ทันหรือเราไม่ถนัดที่จะพยายามในเวลาจำกัด เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องผิดบาปหรือน่าเกลียดอะไร ตราบเท่าที่อยู่บนพื้นฐานของความเกรงใจ ขอบเขตที่เหมาะสม และสถานการณ์บีบบังคับว่าเราไปต่อเองคนเดียวไม่ไหวแล้ว

ในที่นี้ จะหมายถึงการขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานในกรณีที่เราทำงานในความรับผิดชอบของตัวเองไม่ทัน ไม่ได้หมายรวมถึงงานที่ต้องทำเป็นทีม นั่นหมายความว่าเขาจะช่วยหรือไม่ช่วยก็ได้ ไม่ใช่ปัญหาของเขา แต่ถ้าเรากำลังมืดแปดด้าน ย่อมต้องการให้เขาช่วย ดังนั้น ก่อนที่จะขอความช่วยเหลือจากใคร ควรทำอย่างไรบ้าง

อยากได้น้ำใจ ต้องมีน้ำใจกับคนอื่นก่อน

มารยาทในการเข้าสังคมขั้นพื้นฐาน อยากได้อะไรจากใครก็ต้องรู้จักมอบให้เขาก่อน ฉะนั้น อยากได้น้ำใจหรืออยากขอความช่วยเหลือจากใคร ก็ต้องให้เขาก่อน การแสดงความเป็นมิตรเริ่มแรกนั้นสำคัญ มีสารพัดวิธีที่เราจะใช้ซื้อใจเพื่อนร่วมงาน หรือเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงาน ถ้าในสายตาพวกเขาเราเป็นคนน่ารัก น่าเอ็นดู น่าช่วยเหลือ ใคร ๆ ก็พร้อม (และเต็มใจ) ช่วย โดยเราอาจไม่ต้องร้องขอด้วยซ้ำ การเป็นคนมีน้ำใจไม่ใช่เรื่องยาก และเป็นประโยชน์กับตัวเองทั้งนั้น อย่างน้อยก็ดีกว่าการสร้างศัตรูแน่ ๆ สังคมการทำงานน่ะเราอยู่ตัวคนเดียวไม่รอดหรอก งานยังต้องทำเป็นทีมเลย

สังเกต/ถามความสะดวกจากเขาก่อน

จะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือ ต้องดูหน้าดูหลัง ดูทิศทางลมดี ๆ ก่อนจะเอ่ยปากขอให้ใครช่วย สังเกตดูว่าเขาเป็นคนที่ต้องเข้าหาแบบไหน เขาสะดวกไหม ยุ่งอยู่หรือเปล่า ที่สำคัญสังเกตอารมณ์ของเขาด้วย อย่าทะเล่อทะล่าเข้าไปโดยไม่ดูสถานการณ์ ถ้าคลื่นลมดีค่อยเริ่มต้น จะให้ใครช่วยต้องพูดดี ๆ หาคำที่เหมาะสม เราไปขอให้เขาช่วย ห้ามใช้การออกคำสั่งเด็ดาด ทำแบบนั้นใครจะอยากช่วย ยิ่งครั้งที่สองอย่าได้หวัง และอย่าขอให้ใครมาช่วยเหลือบ่อย ๆ จะดูขาดความรับผิดชอบ ขาดทักษะในการทำงาน ขาดความเกรงใจ ทำนู่นนั่นนี่ไม่เคยเสร็จ ต้องขอความช่วยเหลือตลอด

มีอะไรแลกเปลี่ยน

ของฟรีไม่มีในโลกหรอกนะ นี่คือสัจธรรม เพื่อนที่ทำงานด้วยกัน ต่างคนต่างก็มีหน้าที่การงานของตัวเองที่ต้องรับผิดชอบ การที่เขามีน้ำใจมาช่วย แปลว่าเขาต้องทิ้งอะไรบางอย่างมาเพื่อช่วยเราเหมือนกัน อาจเป็นงานของเขาที่ไม่เร่งด่วนเท่าไร หรือเวลาว่างของเขา กล้าขอให้ช่วยเขาก็ยินดีช่วยเหลือ แต่เพื่อเป็นมารยาท ก็ควรที่จะมีอะไรตอบแทนเขาบ้างเป็นสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ของกิน ของฝาก หรือช่วยเหลือพวกเขาบ้างตามโอกาสอำนวย อย่าเป็นคนที่เอาแต่ขอความช่วยเหลือ โดยไม่คิดที่จะช่วยเหลือใครเลย แบบนั้นก็คงจะไม่มีใครเต็มใจช่วยในครั้งต่อ ๆ ไป

ให้เขาช่วย ไม่ใช่โยนให้เขาทำ

การที่จะขอความช่วยเหลือก็เพราะตัวเรางานล้นมือจนทำไม่ทัน หรืออาจเป็นงานที่ไม่ถนัดจึงต้องการให้คนช่วย ฉะนั้น ช่วยก็คือช่วย ไม่ใช่โยนงานนั้นให้เขาเอาไปรับผิดชอบ ส่วนใหญ่ถ้าเราขอให้ใครช่วยก็มักจะเป็นงานเล็ก ๆ ที่สำคัญหรือเร่งด่วน ในกรณีที่เราติดงานอื่นจนทำไม่ได้ในเวลานั้น ก่อนจะขอให้ใครช่วยเหลือ พิจารณาให้ดีว่าจะให้พวกเขาช่วยอะไรที่จะแบ่งเบาจากเราไปมากที่สุด แต่ต้องไม่น่าเกลียดจนดูเหมือนยกงานให้พวกเขาทำแทน มันไม่ใช่หน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบ (คนละเรื่องกับงานที่ทำกันเป็นทีม) จะใช้เขาก็ต้องรู้จักเกรงใจเขาด้วย

สรุปงานให้รวบรัดชัดเจน 

ปัญหาอย่างหนึ่งของคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน คือสื่อสารไม่รู้เรื่อง ไม่ชัดเจน หรือพล่ามยาวจนจับประเด็นไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วเพื่อนร่วมงานเขาพร้อมช่วยเหลือหากมีคนเอ่ยปากขอร้อง ถ้าเขาสะดวก (เต็มใจไหมอีกเรื่อง) แต่คนที่ขอให้ช่วยเนี่ยสิ สื่อสารไม่เคลียร์ ต้องเข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้หยิบจับงานนั้นมาตั้งแต่แรก พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องไปเริ่มจากตรงไหน หรือไม่รู้ว่ามันไปถึงไหนแล้ว ถ้าสั่งงานไม่รู้เรื่องก็ยิ่งเสียเวลา เสียอารมณ์ไปกันใหญ่ ฉะนั้น ตั้งสติ สรุปงานที่จะให้พวกเขาช่วยอย่างเข้าใจง่าย รวบรัด ชัดเจน พวกเขาจะได้ประสานงานต่อได้ทันที