เข้าใจกันใหม่ โรคอะไรบ้างที่ห้าม “ขับรถยนต์”

หลังจากที่มีข่าวออกมาว่า กรมการขนส่งทางบก เตรียมพิจารณาโรคที่ห้ามขับขี่รถเพิ่มเติม ตามเนื้อข่าวที่ปรากฏ มีโรคเพิ่มเติมที่อาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถ ได้แก่ โรคลมชัก โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคอารมณ์สองขั้ว โรคออทิสติก และโรคตัวเตี้ยผิดปกติ (ความสูงไม่ถึง 90 เซนติเมตร) จากการชี้แจงของนายยงยุทธ นาคแดง รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เนื่องจากกฎกระทรวงฉบับล่าสุด เรื่อง การขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. 2563 เผยแพร่เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563

แต่ถ้าเข้าไปอ่านรายละเอียดในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา จะพบว่า ยังไม่มีการประกาศห้ามผู้ป่วยโรคเหล่านั้นขับรถลงในกฎกระทรวงอย่างเป็นทางการ และที่สำคัญ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา ก็ออกมาชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Ittaporn Kanacharoen ในกรณีนี้ ว่าขณะนี้โรคที่ทาง “แพทยสภา” มีมติห้ามขับขี่รถ มีเพียงโรคเดียว คือ “สภาวะของโรคลมชักซึ่งยังปรากฏอาการภายใน 1 ปี”

ซึ่งแปลว่า ผู้ที่ป่วยเป็นโรคลมชัก จะต้องปลอดจากอาการโรคลมชักอย่างน้อย 1 ปี จึงจะสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ส่วนโรคอื่น ๆ ที่มีการกล่าวอ้าง ยังไม่มีมติจากทางแพทยสภา และทางแพทยสภาจะตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้ตามกฎกระทรวง

นอกจากนี้ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ ยังอธิบายต่อว่า ปัจจุบันการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก ดังนั้น ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาติดตามอาการ อยู่ในความควบคุมของแพทย์ และมีการกินยาอย่างสม่ำเสมอ ถึงจะป่วยเป็นโรคก็สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย อย่าเพิ่งชื่อข่าวลือใด ๆ เพราะหากมีการห้ามจริง จะต้องมีการประกาศอีกครั้งในภายหลัง ส่วนข้อความอื่น ๆ ที่ปรากฏในกฎกระทรวงฉบับนี้ จะมีกำหนดบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 120 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือ หากมีการห้ามจริง ก็จะใช้จริงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า และแพทยสภาจะประกาศอีกครั้ง

ส่วนความเป็นมาของเรื่องนี้เป็นอย่างไร Tonkit360 อาสามาเรียบเรียงให้ฟัง

ทำความเข้าใจข้อความตามกฎกระทรวง “โรคที่ห้ามขับรถ”

เนื่องจากกฎหมายทุกอย่างที่บังคับใช้ในประเทศไทย จะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อประกาศลงใน “ราชกิจจานุเบกษา” ดังนั้น จึงต้องอ้างอิงจากข้อความในราชกิจจานุเบกษาในการเรียบเรียง

กฎกระทรวง เรื่อง การขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. 2563 เผยแพร่เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 มีข้อความว่า ผู้ที่ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลชั่วคราว ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลชั่วคราว ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว หรือใบอนุญาตขับรถ
ชนิดอื่นตามมาตรา 43 จะต้องมีเอกสารใบรับรองแพทย์ “ซึ่งแสดงว่าไม่มีโรคประจำตัวหรือไม่มีสภาวะของโรคที่ผู้ที่ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเห็นว่าอาจเป็นอันตรายขณะขับรถ “ตามที่แพทยสภากำหนด” และไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน”

ส่วนผู้ที่ประสงค์จะขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ หรือใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ จะต้องมีใบรับรองแพทย์ที่แสดงว่า

  • ไม่มีโรคประจำตัวหรือไม่มีสภาวะของโรคที่อาจจะเป็นอันตรายต่อการขับรถตามที่แพทยสภากำหนด
  • ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน
  • ไม่เป็นผู้ที่ติดสุรายาเมาหรือยาเสพติดให้โทษ
  • ไม่เป็นผู้ที่เป็นโรคติดต่อ คือ โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการ และวัณโรคในระยะแพร่กระจายเชื้อ เนื่องจาก เป็นที่รังเกียจของสังคม

ดังนั้น การขอรับใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลชั่วคราว ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลชั่วคราว ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว กำหนดไว้เพียงต้องมีเอกสารใบรับรองแพทย์ว่า  “ไม่มีโรคประจำตัวหรือไม่มีสภาวะของโรคที่ผู้ที่ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเห็นว่าอาจเป็นอันตรายขณะขับรถ ตามที่แพทยสภากำหนด และไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน” เท่านั้น ซึ่ง ณ ขณะนี้ มีเพียงโรคเดียว คือ โรคลมชัก ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

ถึงกระนั้น นั่นหมายความว่าผู้ที่จะขอใบขับขี่สาธารณะ จะต้องไม่ป่วยเป็นโรคที่แพทยสภากำหนดด้วย เนื่องจากการขอมีใบขับขี่สาธารณะ ผู้ขอจะต้องมีใบขับขี่ส่วนบุคคลยื่นพร้อมใบรับรองแพทย์ หากเป็นแบบชั่วคราว (ที่ไม่ใช่ตลอดชีพ) ต้องได้รับมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี

โรคลมชักกับอันตรายในการขับรถ

โรคลมชัก เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้น จึงเกิดเอาการชักเกร็ง โดยโรคลมชักนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมีหลายสาเหตุ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม ความพิการแต่กำเนิด หรืออะไรก็ตามที่มีความผิดปกติต่อเนื้อสมอง เช่น เนื้องอกสมอง หลอดเลือดสมอง รวมถึงผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุกระทบกระเทือนต่อเนื้อสมอง

ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก จะแสดงอาการต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อสมองส่วนไหนที่ผิดปกติ แต่อาการชักที่เจอบ่อย คือ มีอาการเกร็ง หรือมีอาการกระตุกสามารถเกิดในบางส่วนของร่างกายก่อน เช่น หน้า แขน มือ แล้วจึงเกร็งกระตุกทั้งตัว ในบางรายอาจมีการเกร็งกระตุกทั้งตัวตั้งแต่เริ่มต้น

ส่วนอาการชักอื่น ๆ เป็นอาการในลักษณะที่ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัวว่ามีอาการชัก คือ การชักมือ ผู้ป่วยจะมีอาการเหม่อร่วมกับมีการเคลื่อนไหวผิดปกติของร่างกายบางส่วน เช่น เคี้ยวปาก เอามือจับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จับเสื้อผ้า จับสิ่งของ หรือจับคนรอบข้างโดยไม่รู้สึกตัว ปกติแล้วอาการชักจะใช้เวลาประมาณ 1-5 นาทีแล้วหยุดเอง (นานเกินกว่านี้ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล) ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการเตือนก่อนชัก เช่น รู้สึกใจสั่น แน่นลิ้นปี่ หรือการได้ยินเสียงผิดปกติ อาการเตือนจะอยู่ใช้เวลาสั้น ๆ ประมาณ 5-10 วินาที จากนั้นมีอาการชักโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว

เนื่องจากอาการของโรคลมชัก คือ มีอาการชักเกร็งของกล้ามเนื้อ และผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวกำลังชัก ทำให้ผู้ขับขี่สูญเสียความสามารถในการควบคุมรถ จึงเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ทุกเมื่อ เพื่อให้ปลอดภัยทั้งผู้ป่วยและผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น ผู้ป่วยโรคลมชักจึงไม่ควรขับขี่รถเมื่อยังไม่ปลอดอาการชักอย่างน้อย 1 ปี

สถิติการเกิดอุบัติเหตุของผู้ป่วยโรคลมชัก

ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต เผยว่าจากการศึกษาของต่างประเทศ ผู้ป่วยโรคลมชักมีอัตราเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถมากว่าคนทั่วไปถึง 1.8 เท่า ทำให้หลายประเทศ เช่น อเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย มีกฎหมายควบคุมผู้ป่วยโรคลมชักในการขับรถตั้งแต่ปี 1900 ส่วนในประเทศไทย การศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปีพ.ศ. 2559 พบว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ป่วยลมชักยังคงขับรถอยู่ และ 30 เปอร์เซ็นต์เคยเกิดอุบัติเหตุขณะขับรถ โดย 60 เปอร์เซ็นต์ของการชักเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุขณะขับรถ

ส่วนข้อมูลจากการศึกษาของสถาบันประสาทวิทยา ปีพ.ศ. 2562 พบว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยโรคลมชักยังคงขับรถ ผู้ป่วยจำนวน 56 เปอร์เซ็นต์มีอาการชักแบบไม่รู้ตัว และเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยที่ชักแบบไม่รู้ตัวก็ยังคงขับรถต่อ และประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มีอาการชัก เกิดอุบัติเหตุจากการชัก

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาถึงอาการชักที่สัมพันธ์กับอุบัติเหตุจากการขับขี่ คิดเป็น 0.1-1 เปอร์เซ็นต์ของอุบัติเหตุบนท้องถนนทั้งหมด อัตราการสูญเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยโรคลมชักอยู่ที่ประมาณ 4.2 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่สัมพันธ์กับโรค คิดเป็น 8.6 ต่อแสนของประชากรผู้ป่วยโรคลมชัก ดังนั้น โรคลมชักจึงอันตรายในการขับขี่รถมาก จึงไม่ควรที่จะฝ่าฝืน

ข้อมูล “กฎกระทรวง” จาก ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 137 ตอนที่ 88 ก

ข้อมูล “โรคลมชัก” จาก คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ข้อมูล “สถิติโรคลมชัก” จาก กรมสุขภาพจิต