ถ้าคุณอยู่ในควอเตอร์สุดท้ายของชีวิต คุณจะเลือกมีร่างกายแบบไหน


ถ้าคุณอยู่ในควอเตอร์สุดท้ายของชีวิต คุณจะเลือกมีร่างกายแบบไหน

ว่ากันว่า ตื่นเช้ามาเราควรเริ่มต้นวันด้วยอารมณ์ที่เบิกบาน ยิ่งเป็นเช้าวันแรกของการทำงานแล้วยิ่งต้องยิ้มให้กว้างที่สุดเพราะตลอดทั้งสัปดาห์ต้องสู้กันทั้งงาน การเรียน และ เรื่องราวรอบตัวที่สามารถหมุนเวียนมาทักทายกันได้ไม่ซ้ำหน้า สัปดาห์นี้เลยอยากชวนคุณผู้อ่านมาคุยกันเรื่องเบาๆ อย่างเรื่องลดความอ้วนกัน (อิอิ)

ส่วนตัวผู้เขียนนั้น มีเพื่อน มีน้อง มีพี่ มีผู้ใหญ่ที่รู้จัก คุยเรื่องการลดความอ้วนให้ฟังมาตลอดตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นมาจนถึงปัจจุบัน แต่ละคนก็มีสูตรต่างกันไป อย่างตอนวัยรุ่นเมื่อสามสิบปีที่แล้ว (แหม..เขียนแล้วก็ใจหาย) เพื่อนร่วมโรงเรียนหญิงล้วน ต่างกังวลใจในพุงของตนเองเป็นอันมาก อย่างว่ากำลังเริ่มเป็นสาวกัน แต่ละคนก็มีวิธีลดแตกต่างกันไป บางคนใช้วิธีกินแต่สัปปะรด เป็นมื้อเย็น บางคนใช้วิธีอดอาหาร บางคนกินยาลดความอ้วนจากศูนย์ความงาม ซึ่งก็ได้ผลแตกต่างกันไป แต่น่าแปลกใจไม่มีใครใช้วิธีออกกำลังกายเลย แล้วก็กลายเป็นภาวะอ้วนซ้ำซากวนลูปกันไป

พอเข้าสู่วัยนักศึกษามหาวิทยาลัย จนถึงวัยทำงาน ก็มีคนรอบข้างทั้งหญิงชาย ที่ให้ความสำคัญกับรูปร่างกันเยอะขึ้น ใช้ยา อาหารเสริม กันเป็นล่ำเป็นสัน จนตัวคนเขียนเองรู้สึกไม่เข้าพวก เพราะความที่เป็นคนไม่ได้เจ้าเนื้อ แล้วก็ออกกำลังมาโดยตลอด แต่พอมาช่วงวัยปลายเลขสาม ขึ้นเลขสี่ งานการเริ่มนั่งโต๊ะมากขึ้น ประชุมมากขึ้น กินมื้อดึกบ่อยขึ้นแถมไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ก็เลยมายืนอยู่ในสถานะคนอวบระยะสุดท้ายแบบไม่รู้ตัว จนทำให้ต้องเริ่มหันมาสนใจในการลดความอ้วนอย่างคนอื่นเขาบ้าง

แต่การลดความอ้วนของผู้เขียนนั้นต้องเรียนว่า “อยู่ในระยะลดน้ำหนักเรื่อยๆ”มาตลอด 5 ปีที่ดัชนีบนตาชั่งมีแต่ขึ้นไม่มีลง ถ้าเป็นหุ้นต้องบอกว่าติดยอดดอยตลอด จนกระทั่งได้มีโอกาสไปนั่งคุยกับ ผู้ใหญ่ที่เคารพอย่างคุณนฤมล ศิริวัฒน์ ที่ปัจจุบันมีรูปร่างงดงาม ชนิดที่ไม่บอกนี่ไม่รู้เลยว่าอยู่ในควอเตอร์สุดท้ายของชีวิตแล้ว

พี่มล เล่าให้ฟังว่าที่ผ่านมา รู้ตัวมาตลอดว่าน้ำหนักมากเกินไป และเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วเราจะอยู่กับร่างกายแบบนี้ไม่ได้ เพราะมันจะอุดมไปด้วยโรค ที่สำคัญที่สุดคือพี่มลมองว่า นี่คือชีวิตในช่วงควอเตอร์สุดท้าย ถ้าต้องเดินขึ้นลงบันได้แล้วเหนื่อยหอบ ปวดหัวเข่า หรือ จะทำงานก็รู้สึกไม่คล่องตัว จะเดินทางไปไหนก็ลำบาก เราควรจะปรับร่างกายและนิสัยเสียใหม่ ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของการลดความอ้วน ด้วยวิธีทางการแพทย์ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร และทำให้วันนี้คนในวงสังคมได้เห็นคุณนฤมล ศิริวัฒน์ ที่เคยอวบอิ่ม กลายเป็นคุณนฤมล ศิริวัฒน์ ที่รูปร่างงดงาม และดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย

วันที่เจอกันนั้น นอกจากพี่มลจะคุยให้ฟัง ถึงความมีวินัย ในการเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่แล้ว พี่มล ยังพูดถึงการกินขนมหวานซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของความอ้วนด้วยว่า “อย่างชีสเค้กถ้าพี่อยากกิน พี่จะกินแค่ครึ่งหนึ่งให้หายอยากแล้วก็พอ” ส่วนการออกกำลังนั้นพี่มล บอกว่า “ต้องทำให้เป็นนิสัย เพราะเราจะต้องอยู่กับร่างกายแบบนี้ไปจนสิ้นอายุขัย เราต้องรักษามันให้ดีที่สุด”

การได้คุยกับพี่มลในวันนั้นผู้เขียนรู้สึกได้ถึงใบหน้าที่บอกถึงสุขภาพที่ดีของพี่มล (นฤมล ศิริวัฒน์) แล้วพอย้อนกลับมาดูพุงตัวเอง ก็ให้สะท้อนใจเพราะแม้จะไม่ได้อยู่ในช่วงอายุที่เป็นควอเตอร์สุดท้ายของชีวิต แต่ร่างกายภายในนั้น ดูจะล้ำหน้าไปไกลแล้ว ซึ่งการได้พูดคุยกับพี่มลกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนเขียนเองเริ่มหันมาใส่ใจกับการลดน้ำหนักมากขึ้น ไม่ใช่ “อยู่ในระยะลดน้ำหนักเรื่อยๆ” เหมือนแต่ก่อน

ซึ่งวิธีควบคุมน้ำหนักก็ใช้วิธีสามัญทั่วไป ไม่ต้องเสียเงิน เริ่มต้นด้วยการลดความหวานในชีวิต จากบรรดาเครื่องดื่มสีสวยทั้งหลาย ก็เปลี่ยนมาเป็นน้ำเปล่าแทน ตามด้วยการเดินเร็วผสมกับวิ่งเบาๆในทุกเช้า วันละ 30 นาที ซึ่งทั้งสองอย่างก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก และยังคงกินอาหารสามมื้อเช่นเดิม ส่วนขนมหวานที่ชอบกิน ก็เปลี่ยนมาเป็นผลไม้แทนซึ่งวิถีการกินแบบนี้ อาจไม่คุ้นเคยนักแต่เมื่อทำไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร บอกกับตัวเองว่ายังได้กินเหมือนเดิมแหละน่า(ฮา)

อันที่จริงแล้วการรักษาน้ำหนักให้เหมาะสมนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือปรับวิถีการกินควบคู่ไปกับการออกกำลัง ส่วนคนที่เลือกใช้ตัวช่วยอย่างยาลดความอ้วน ยาดักไขมัน ที่มีขายกันให้เกลื่อนทั้งในโลกออนไลน์นั้นแม้จะเห็นผลจริง แต่มันก็เหมือนคุณกำลังหลอกตัวเอง เพราะชีวิตจริงคุณไม่ได้ปรับเปลี่ยนนิสัย อย่างไรก็ต้องกลับไปอ้วนอยู่ดี และจะกลายเป็นวงจรอ้วนซ้ำซาก เพราะคุณผอมได้เพราะยา พอหยุดยา แล้วก็กลับไปอ้วนใหม่เนื่องจากไม่ได้ปรับวิถีการกิน สุดท้ายก็ต้องจบด้วยสภาพร่างกายที่หัวใจ ตับ ไต ต้องทำงานอย่างหนัก

ลดความอ้วน ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ แค่คุณต้องเอาชนะใจตนเองให้ได้ การลุกขึ้นมาออกกำลังกายนั้น เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดใช้เวลาเดินหรือวิ่งเพียงแค่ 30 นาทีต่อวัน ไม่ได้เสียเวลาอะไรเลย และยังใช้เวลาน้อยกว่าที่คุณๆนั่งแชทไลน์ หรือส่องไทม์ไลน์เฟซบุ๊คคนอื่นที่บางครั้งใช้เวลากันคนละสามสี่ชั่วโมงกันเลยทีเดียว…..ขอให้ใช้ชีวิตด้วยร่างกายที่มีสุขภาพดีกันค่ะ