ความหมายของคำว่า “เพื่อน”

ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่ทำให้โลกใบนี้หมุนเร็วราว “ลูกข่าง” ทุกอย่างต้องต่อสู้แข่งขันและช่วงชิง จนทำให้หลายคนอาจจะสะกดคำว่า “เพื่อน” ไม่เป็น หรืออาจจะลืมเลือนความหมายที่แท้จริงของคำนี้ไปกันหมด

พูดถึงคำนี้แล้วทำให้ผมนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งซึ่งตอนนี้กลายเป็น “ลุงโอม” ไปแล้ว เพราะมีหลานสาวน่ารักอยู่จังหวัดระยอง มีชีวิตที่น่าอิจฉา

“โอม” กับผมเป็นเพื่อนกันตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย ออกแนว “เพื่อนพึ่งพา” ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเสียด้วย เพราะมันแอบไปเล่นไพ่จน “หมดตูด” ก่อนกลับบ้านต้องมายืมเงินผม 100 บาท เพื่อเป็นค่ารถ ผมยังจำได้ว่าคิดอยู่ในใจตอนนั้นว่า “มึงกะกูนี่ท่าจะทำเวรทำกรรมกันมา เจอหน้าวันแรกก็ยืมตังค์กันเสียแล้ว” แต่วันต่อมา “โอม” ก็รีบแสดงความสุจริตใจด้วยการเอาเงินที่ยืมผมไปมาคืนในทันที

เมื่อจบจากมหาวิทยาลัย เส้นทางชีวิตและการทำงานระหว่างผมกับมันแตกต่างกันเหมือนทางแยก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็น “เพื่อน” นั้นไม่เคยจืดจาง

ขณะที่ผมตั้งแต่หน้าตั้งตาเข้าสู่ระบบการทำงานเหมือนคนทั่วๆไปในสังคม หลังจบใหม่ๆ “โอม” ดำรงตนเป็น “ฮิปส์เตอร์” รุ่นแรกๆของกรุงเทพมหานคร ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด เวลาที่เดินทางมาเมืองหลวงก็ใช้ชีวิตสิงอยู่ตามบ้านเพื่อนบ้าง บ้านรุ่นพี่บ้าง กลางวันนั่งร้านกาแฟมีพ็อคเก็ตบุ๊คเป็นเพื่อนหนึ่งเล่ม เป้เดินทางหนึ่งใบ แต่ไม่เคยมีโทรศัพท์มือถือเป็นของตัวเอง

ผมเคยถามมันเหมือนกันว่า “ทำไมมึงไม่ลองซื้อโทรศัพท์มือถือใช้บ้างวะ จะได้ติดต่อกันง่ายๆ เหมือนปุถุชนเขาทำกัน?”

จำได้ว่ามันบอกผมว่า “มีมือถือก็ไม่มีความเป็นส่วนตัวสิวะ ใครนึกจะตามตัวเราได้หมด แล้วชีวิตมันจะเหมือนเดิมได้อย่างไร” แน่นอนครับ..ปัจจุบันมันก็ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือเป็นของตัวเอง!!

พออายุขึ้นเลข 3 ชีวิตมันก็เริ่มนิ่งขึ้น กลับไปทำงานดูแลกิจการให้ญาติและครอบครัวที่จังหวัดระยองบ้านเกิด มีเวลาว่างก็จะมาหาเพื่อนๆที่กรุงเทพฯ มานั่งกินนั่งดื่ม คุยกันเฮฮาเหมือนสมัยเรียนไม่มีผิด พอมีเงินจากการค้าขายเหลือ บางทีมันก็จะเอามาฝากผมไว้ เหมือนเป็นการชดเชยตอนหนุ่มๆที่ชอบยืมเงินผมยังไงชอบกล

ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา ผมมานั่งตระหนักว่าตัวเองโชคดีที่มีเพื่อนหลงเหลือให้กอดคออยู่หลายคน เพราะเห็นตัวอย่างคนที่ฟาดฟันชิงดีชิงเด่นกันในสังคม เพื่อความเจริญเติบโตในหน้าที่การงานจนลืมคำว่า “เพื่อน” สุดท้ายกว่าจะรู้ว่า การประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองมันจากมุมไหน ก็สายไปเสียแล้ว

จนถึงเวลานี้วันที่ผมเติบโตเรื่องการงานระดับหนึ่ง ชีวิตของเพื่อนที่ชื่อ “โอม” ยังทำให้ผมมานั่งทบทวนว่า จริงๆแล้วก็ไม่อาจตัดสินเหมือนกันว่าชีวิตมันกับผม รูปแบบไหนที่ใครมีความสุขแท้จริงมากกว่ากันแน่

สรุปได้เพียงว่าเส้นทางของคนเรานั้นมันมีหลายรูปแบบ เหมือนแม่น้ำที่มีหลายสาย ทอดยาวใกล้ คดโค้งผิดกัน แต่สุดท้ายมันก็ยังพร้อมมารวมตัวกันด้วยความเป็น “เพื่อน” นั่นเอง.