เดือน “เมษายน” ปีนี้จะเป็นเดือนที่ยาวนานที่สุดในชีวิต

ภาพจาก freepik.com

ในตอนเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่ชวนให้อกสั่นขวัญแขวนอยู่หลายเหตุการณ์ และแม้ว่าในเดือนกุมภาพันธ์ เราจะรับรู้เรื่องโรคระบาดกันถ้วนทั่วแล้ว แต่ก็ยังคิดว่ารัฐคงจะเอาอยู่ แต่พอมาถึงกลางเดือนมีนาคม สถานการณ์เริ่มปะทุ กระจายไปตามภูมิภาคต่าง ๆ จนเป็นที่มาของพรก.ฉุกเฉิน

มาถึงเดือนนี้ เหมือนทุกอย่างต้องหยุดชะงัก หลายคนต้องเริ่ม work from home หลายกิจการไม่สามารถไปต่อได้ หลายกิจการต้องแก้ปัญหา หลายกิจการต้องปรับตัว กิจการไหนที่ยังไม่ได้รับผลกระทบก็ต้องเตรียมแผนรับมือในอนาคตเพราะยังไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นอีกบ้าง

ย้อนกลับไปในช่วงต้มยำกุ้ง ปี 2540 ถึงแม้ว่าจะเจอวิกฤติเศรษฐกิจ แต่อย่างน้อยทุกคนก็ยังสามารถไปไหนมาไหนได้โดยสะดวก ออกไปแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ ช่วงนั้นผมยังเรียนหนังสืออยู่ ก็ยังไม่รู้สึกว่าได้รับผลกระทบอะไรมากมายนัก มีหน้าที่เรียนก็รับผิดชอบไปตามนั้น

แต่เดือนเมษายน ปี 2563 นี่สิของจริง ได้รับผลกระทบทุกคน จะออกไปไหนมาตามอำเภอใจไม่ได้อีกต่อไป เพราะทุกคนต้องอยู่บ้านให้มากที่สุด เพื่อหยุดโรคระบาด มีธุระอะไรที่สำคัญจะต้องเดินทางไปทำที่นอกบ้านหรือต่างจังหวัดก็ลำบากใจ

หลายคนยังจำเป็นต้องไปทำงานที่องค์กร เพราะว่าบริษัทไม่มีนโยบายให้ทำงานที่บ้าน ยกตัวอย่างเช่น โรงงานต่าง ๆ ซึ่งการออกไปทำงานแต่ละครั้งนั้นก็สร้างความหวาดระแวงไม่มากก็น้อย ต้องพะวงกับสิ่งรอบข้างว่าจะมีเชื้อโรคมาใกล้ตัวเราหรือไม่

หลายคนต้องโดนหยุดงาน ซึ่งเชื่อว่าส่วนใหญ่ต้องหยุดแบบ without pay ยิ่งสร้างภาระในใจขึ้นมามากโข เพราะมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบอีกมากมายในครอบครัว

อยากจะไปพักผ่อนหย่อนใจก็ไม่ได้แล้ว เพราะทุกคนต้องรับผิดชอบต่อส่วนรวม พอหยิบมือถือขึ้นมาก็เจอแต่สถานการณ์โรคระบาด และพบกับการกักตุนสินค้าหลายรายการ พบการบริหารไม่ได้ดั่งใจ ยิ่งสร้างความมืดมนในใจของเรามากขึ้นไปอีก

กว่าทุกคนจะผ่านไปได้แต่ละวัน เชื่อว่าหนักหนาเอาการ ยิ่งตัวเลขเพิ่มขึ้นทุกวัน สถานการณ์ไม่มีทีท่าว่าจะจบอย่างรวดเร็ว ยิ่งสร้างมโนภาพอนาคตไปได้อย่างมากมาย และมักจะเป็นในทางลบซะส่วนมาก

ผมไม่อยากจะไปแนะนำอะไรมากมาย เพราะก็ยังไม่รู้ผมเองจะผ่านเหตุการณ์นี้ได้แบบดีหรือแบบสะบักสะบอมแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งสิ่งเดียวที่ผมอยากจะสื่อสารกับทุกท่าน และอยากให้จดจำสิ่งนี้ไปตลอด นั่นก็คือ “ทุกข์”

สิ่งเดียวเท่านั้นที่อยากให้ชัดเจนในจิตใจว่าช่วงนี้มันใช่ “ทุกข์” ใช่มั้ย  ถ้าใช่ก็ขอบอกว่าท่านโชคดีแล้ว ท่านรู้วาระจิตใจของท่านแล้ว ท่านได้รู้แล้วว่าทุกข์นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะหลายๆ คนอาจจะไม่เคยต้องประสบพบกับทุกข์มาก่อน เนื่องจากที่ผ่านชีวิตท่านอาจเพียบพร้อม ไม่เคยต้องตกระกำลำบาก

แล้วพอรู้ว่าทุกข์ปุ๊บ ทีนี้ก็ง่ายแล้ว ก็หยิบธรรมะ คำสอน หรือวิธีการต่างๆ จากผู้รู้ เข้ามาแก้ไขไปทีละข้อ แสงสว่างหรือช่องทางการแก้ปัญหาก็จะปรากฏขึ้นมา เพราะเราจะมีสติแล้วเริ่มเกิดปัญญา

ไม่ว่าจะต้องเจอปัญหาหนักแค่ไหน ถึงแม้ต้องถูกฟ้องล้มละลาย มันก็มีทางแก้ มีเส้นทางให้เดินไปตามกระบวนการคิดเสียว่า แค่ชีวิตไม่เหมือนเดิมเท่านั้นเอง เดี๋ยวมีปัญญา มีเวลาก็กลับมาสร้างใหม่ หรือสร้างให้ดีกว่าเดิมได้

ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆ ฝ่าย ให้ผ่านเรื่องนี้ไปไปด้วยกัน พบกันใหม่อาทิตย์หน้า สวัสดีครับ

อย่าลืมถามใจตัวเองด้วยว่า มันใช่ “ทุกข์” ใช่มั้ย