Blood Free ซีรีส์เล่าเรื่องเทคโนโลยีอนาคตที่หาได้ไกลตัวเรา

สัปดาห์ที่ผ่านมา มีโอกาสได้ดูซีรีส์เรื่องใหม่ที่ตัวโปสเตอร์ไม่ค่อยดึงดูดเลย การโปรโมตก็ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการได้ระดับตัวพ่อตัวแม่แบบแพ็กคู่มาเล่น พระเอก จูจีฮุน ถ้าเป็นติ่งรุ่นเก๋าที่เคยแหกขี้ตาตื่นมาดูซีรีส์เกาหลีในวันหยุดช่วงเช้า จะรู้จักว่าเขาเป็นพระเอกซีรีส์ในตำนานอย่าง Princess Hours แต่ถ้าติ่งวัยละอ่อน จะรู้จักว่าเขาเป็นพระเอกเรื่อง Kingdom ส่วนนางเอก ก็คือคุณแม่ของบงซอก ฮันฮโยจู ถึงแม้ว่าจะหาซีรีส์เรื่อง Moving ในคอลัมน์ชะนีติดซีรีส์ไม่เจอ แต่ถ้าบอกว่านางเอก Happiness ก็น่าจะพอนึกออก ย้ำได้เลยว่าการโปรโมตเงียบเกินไปจริง ๆ

Blood Free เป็นซีรีส์แนวไซไฟที่นำเอาความล้ำสมัยของวิทยาศาสตร์ใส่เข้าไปผสมผสานกับปมปริศนาและความระทึกขวัญ เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2025 (เรื่องราวต่าง ๆ ดำเนินอยู่ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2025 เตรียมเข้าปี 2026) ก็นะ มันเป็นเรื่องราวของอนาคตแหละ เพราะในชีวิตจริงของพวกเราตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเปิดปฏิทินปี 2025 ใช้กันเลยด้วยซ้ำไป

แต่ถึงอย่างนั้น ความเป็นอนาคตของซีรีส์เรื่องนี้มันก็ดันอยู่ใกล้ตัวเรามาก ๆ ทั้งในแง่ของช่วงเวลา ซึ่งปัจจุบันปี 2024 นี้หมดไปหนึ่งไตรมาสแล้ว หายใจเข้าหายใจออกเพลิน ๆ ไม่กี่ทีเดี๋ยวก็หมดปี 2024 ละ อีกเรื่องคือในแง่ของเทคโนโลยี ความก้าวหน้าของนวัตกรรมและวิทยาการต่าง ๆ สิ่งที่เห็นในซีรีส์มันทั้งล้ำทั้งว้าวก็จริง (พูดในฐานะของคนที่รู้ว่ามันมีของแบบนี้อยู่บนโลก แต่ยังไม่มีโอกาสได้ลองสัมผัสสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง) ทว่าเทคโนโลยีพวกนั้นมันไม่ใช่สิ่งใหม่แบบที่ซีรีส์จินตนาการขึ้นมาเองอะนึกภาพออกปะ แทบทุกอย่างมันมีใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันของเราอยู่แล้ว เราคุ้นเคยมันดีจากการติดตามข่าวสารด้านนวัตกรรม วิทยาการ ไม่ใช่เทคโนโลยีสมมติที่ซีรีส์ทำขึ้นมา

ภาพจาก FB: Disney+ Hotstar Thailand

อีกอย่างที่น่าสนใจก็คือตัว product ชูโรงและเป็นที่มาของปมปริศนาต่าง ๆ ในซีรีส์เรื่องนี้ ซึ่งก็คือ “เนื้อสัตว์เทียม” ที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อลดการทำลายทั้งชีวิตของสรรพสัตว์ที่นำมาเป็นอาหารของมนุษย์ และลดการทำลายโลกจากการทำปศุสัตว์ คอนเซปต์นี้มีสินค้าจริงที่เป็นผลิตภัณฑ์พืชทดแทนเนื้อสัตว์ นำเอาพืชมาปรุงแต่งเป็นเนื้อสัตว์ แต่งกลิ่น ปรับปรุงเนื้อสัมผัส และใส่สารอาหารต่าง ๆ ลงไปให้คล้ายเนื้อสัตว์ เพียงแต่ในซีรีส์มีความล้ำกว่านั้น ตรงที่เป็นเนื้อสัตว์ที่สังเคราะห์ขึ้นจากห้องแล็บ นำเอาเนื้อเทียมมาเพาะเลี้ยงด้วยสารอาหารจนเติบโตสมบูรณ์พอที่จะกลายมาเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์บนโต๊ะอาหาร ไม่ต้องทำเกษตรกรรมก่อนแล้วมาดัดแปลงอีกที

กลับมาที่ซีรีส์เรื่อง Blood Free ที่มีคอนเซปต์ตรงตามความหมายของคำเลย ก็คือ “ปราศจากการนองเลือด” ในซีรีส์นั้น มันเป็นแนวคิดของนักธุรกิจสาวคนหนึ่งที่อยากให้มวลมนุษยชาติได้กินเนื้อสัตว์เกรดพรีเมียมโดยที่ไม่ต้องไปเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตด้วยกันเพื่อนำมาทำเป็นอาหารของตัวเอง เกิดจากคำถามที่ว่า “มันจะไม่มีหนทางไหนเลยเหรอที่มนุษย์เราจะบริโภคเนื้อโดยที่ไม่ต้องสังเวยชีวิตสัตว์”

ดังนั้น จึงมีการเริ่มโครงการทำเนื้อสัตว์เทียมเพาะเลี้ยงจากการสังเคราะห์ในห้องแล็บออกจำหน่ายภายใต้แบรนด์ BF หรือบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพบีเอฟ ซึ่งนอกจากจะย่อมาจาก Blood Free แล้ว เวลาที่เราออกเสียงพูด BF เร็ว ๆ มันก็ยังออกเสียงใกล้เคียงกับ beef ที่แปลว่าเนื้อไปโดยปริยาย บริษัทนี้จึงประสบความสำเร็จในการขายเนื้อเทียมเพาะเลี้ยงที่ไม่จำเป็นต้องไปเข่นฆ่าวัวจำนวนมากมาทำเป็นอาหาร การมาของเนื้อเทียม BF ทำให้ภาพของโรงเชือดที่เคยคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดหายไป แต่ผู้บริโภคก็ยังได้กินเนื้อระดับพรีเมียมอยู่ดี

ภาพจาก FB: Disney+ Hotstar Thailand

ความสำเร็จจากเนื้อเทียมเพาะเลี้ยงนี้ ผู้บริหารสาวจึงไม่ต้องการจะหยุดเพียงแค่การลดการฆ่าวัวมาทำอาหาร แต่เริ่มมองไปถึงการทำเครื่องนุ่งห่มทั้งหลายที่ไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนสัตว์เพื่อเอาหนังเอาขนของมันมาใช้ BF จึงริเริ่มทำขนเทียมเพาะเลี้ยงได้สำเร็จอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์

และเรื่องราวในซีรีส์ เปิดตัวขึ้นด้วยงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ BF ในคืนวันที่ 24 ธันวาคม 2025 สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ คือการขยายขอบเขตการทำเนื้อสัตว์เทียมให้ครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์อาหารจากท้องทะเล ซึ่งก็คือสัตว์ทะเล 4 ชนิดที่มีผู้บริโภคสูงสุดอย่างทูน่า แซลมอน แมกเคอเรล และกุ้ง นอกจากจะไม่ต้องล่าสัตว์ทะเลเหล่านี้แล้ว เนื้อของสัตว์ทะเลทั้ง 4 นี่ยังปราศจากการปนเปื้อนสารพิษจากท้องทะเลด้วย ไม่มีพยาธิ ไม่มีไมโครพลาสติก และไม่มีปรอท นอกจากนี้ ผู้บริหารสาวยังมีความฝันใหม่ที่จะเพาะเลี้ยงพืชอาหารทุกชนิดจากห้องแล็บ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำลายผืนแผ่นดินของโลกเพื่อผลิตอาหารอีกต่อไป และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตัวการที่ทำให้โลกร้อน

ซึ่งเราจะเห็นว่าวัตถุประสงค์ของการทำผลิตภัณฑ์แต่ละตัวของ BF นั้นอยู่ภายใต้เหตุผลที่น่าสนับสนุน มันคือสิ่งที่สร้างสรรค์กับโลกดี ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศหรือสภาพแวดล้อม ที่สำคัญเรายังควบคุมคุณภาพ ควบคุมความปลอดภัยได้เอง ทำให้ผู้บริโภคส่วนหนึ่งสนับสนุนธุรกิจของ BF แต่…มีคนเชียร์ก็ย่อมมีคนชังเป็นธรรมดา กับมุมต่อต้านที่ว่าวิทยาการสุดล้ำนี้กำลังจะดับอนาคตของผู้ที่ประกอบอาชีพในภาคปศุสัตว์และอุตสาหกรรมอาหารพื้นฐาน การผลิตเนื้อสัตว์เทียมที่ BF จะผลิตมันออกมาขายเท่าไรก็ได้ กำลังฆ่าเกษตรกรผู้เพาะปลูกและทำปศุสัตว์ให้ตายลงช้า ๆ พวกเขาจะไม่สามารถประกอบอาชีพของตนเองได้อีก

ภาพจาก FB: Disney+ Hotstar Thailand

เพราะเมื่อผู้บริโภคจำนวนมากหันไปสนับสนุนแนวคิดการกินอาหารที่ไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่น มันจะกลายเป็นว่า BF กำลังเบียดเบียนมนุษย์ด้วยกันเอง ตัวเองผลิตได้ขายได้อยู่คนเดียว แต่เนื้อสัตว์จริง ๆ เริ่มขายไม่ออกเพราะผู้บริโภคไม่เลือก เนื้อสัตว์มากมายที่วางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตก็มีแต่ของ BF จึงนำมาซึ่งเหตุการณ์การประท้วงที่หน้าบริษัท และผู้บริหารของ BF เริ่มโดนขู่ฆ่า โดนโจมตีจากผู้ที่ต่อต้านและเสียผลประโยชน์ แถมยังไปเกี่ยวข้องกับภาคการเมืองที่อยากมีส่วนได้ส่วนเสียในผลประโยชน์ จนเกิดกรณีการลอบวางระเบิดสังหารประธานาธิบดีคนเก่าในอดีต ทั้งชีวิตและธุรกิจกำลังถูกปองร้าย ผู้บริหารสาวจึงต้องการบอดี้การ์ดคนใหม่ที่ทั้งเก่งและไว้ใจมาอยู่อารักขาข้างกาย

ไม่มีหนทางไหนเลยเหรอที่จะบริโภคเนื้อโดยที่ไม่ต้องสังเวยชีวิตสัตว์

ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองกำลังนอนแผ่สองสลึงดูซีรีส์อยู่นะ แต่บรรยากาศงานเลี้ยงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ BF ในช่วงเปิดซีรีส์ก็ดันทำถึงมาก ทำเอารู้สึกอินตามราวกับได้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องประชุมนั้นด้วยเลย โดยเฉพาะลูกเล่นเทคโนโลยี AR ที่บริษัทของนางเอกนำมาใช้ในการสตั๊นใจผู้บริโภคได้อย่างแรง ด้วยการเล่าถึงกระบวนการปศุสัตว์ที่เลี้ยงสัตว์เพื่อเศรษฐกิจ และการใส่ฉากเลือดสาดในการฆ่าสัตว์วัว ขั้นตอนที่เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนที่ชิ้นส่วนของวัวตัวนั้นจะขึ้นมาอยู่บนโต๊ะอาหาร แว่บแรกเลยนะ คือมีความคิดที่จะเลิกกินเนื้อสัตว์เลยดีไหมวะ สงสารเวลาที่พวกมันโดนฆ่า

ภาพจาก FB: Disney+ Hotstar Thailand

และพอตอนหลังที่นางเอก ซึ่งเป็นนักธุรกิจสาวเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ BF ออกมาพูดถึงวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจ ที่เธอแนะนำว่าธุรกิจผลิตเนื้อเทียมจากการเพาะเลี้ยงนี้ มันเริ่มต้นมาจากการตั้งคำถามที่ว่า “ไม่มีหนทางไหนเลยเหรอที่จะบริโภคเนื้อโดยที่ไม่ต้องสังเวยชีวิตสัตว์” ไอ้เราก็พลอยคล้อยตามคิดตามไปด้วยจริง ๆ ว่าสิ่งที่นางเอกทำอยู่มันก็ตอบคำถามที่ว่านั่นได้อยู่นะว่า “มีสิ! หนทางที่จะบริโภคเนื้อโดยไม่ต้องเบียดเบียนชีวิตสัตว์ชนิดอื่น” และในใจก็เห็นดีเห็นงามตามแนวคิดนี้อยู่เหมือนกัน ว่าถ้าในอนาคตอันใกล้ มนุษย์เราจะอัปเกรดวิธีการทำเนื้อสัตว์เทียมสำหรับการบริโภคให้มันเหมือนของจริงยิ่งกว่าที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดในเวลานี้ มันก็จะดีมาก ๆ เลยทีเดียว

ภาพจาก FB: Disney+ Hotstar Thailand

ต้องบอกว่าสำหรับโลกจริง ๆ ของเราในเวลานี้ มันไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลยกับการผลิตเนื้อสัตว์เทียม เพราะที่ผ่านมาเราเห็นผลิตภัณฑ์ทั้งที่ได้จากเทคโนโลยีการผลิตเนื้อสัตว์เทียมจากส่วนผสมที่ได้จากพืช (Plant-Based) หรือเทคโนโลยีอาหาร 3 มิติ ที่สร้างอาหารต่าง ๆ ขึ้นมาจากเครื่องพิมพ์อาหาร 3 มิติ หรือ 3D Food Printer แต่การนำเอาสิ่งที่ว่านี้ใส่เข้ามาในซีรีส์ มันยิ่งทำให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าทำไมถึงมีคนที่คิดจะทำเนื้อสัตว์เทียมขึ้นมาแทนของจริง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปฆ่าสัตว์จริง ๆ มาทำอาหาร เพราะถ้าพูดกันตามตรง สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เนี่ยก็เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อยู่ร่วมโลกเดียวกันมากเกินไปจริง ๆ มนุษย์เราเอาแต่ได้

ภาพจาก FB: Disney+ Hotstar Thailand

เท่าที่เคยได้ลองพูดคุยกับคนรู้จัก ว่าคิดว่าเนื้อสัตว์เทียมมันจะมาแทนที่เนื้อสัตว์จริงได้จริงไหม ก็ทำให้พอเห็นภาพนะว่ามีคนจำนวนมากยังไม่อินที่จะกินเนื้อสัตว์เทียมเหล่านี้แทนเนื้อสัตว์จริง เพราะด้วยเนื้อสัมผัสที่ไม่เหมือน รสชาติก็ยังไม่มีความใกล้เคียงของจริงสักเท่าไร ทว่ามันก็ไม่ได้แย่แบบกินไม่ได้เลย ถ้าให้ลองกินแบบชิม ๆ พอเป็นพิธีก็ได้อยู่ แต่ถ้าให้กินจริงจังทดแทนเนื้อสัตว์จริง 100 เปอร์เซ็นต์ หลายคนก็คงปฏิเสธ เพราะมันคงทดแทนจริง ๆ ไม่ได้ในความรู้สึก ถึงอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับว่ามีผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ทีเดียวที่พร้อมจะสนับสนุนธุรกิจเนื้อสัตว์เทียม อาจด้วยเหตุผลที่ว่าเห็นแก่ชีวิตของสิ่งมีชีวิตด้วยกันที่ต้องสูญเสียเพื่อมาเป็นอาหารของเรา หรือด้วยประโยชน์อื่นก็ตามที

เพราะบอดี้การ์ดอาจกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่ที่สุดของคุณ

อีกอย่างที่ยอมรับว่าจึ้งจริงเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้ คือการเขียนบทที่ทำให้ธุรกิจผลิตเนื้อเทียมของนางเอกนั้นดูมีคอนเซปต์ที่ยิ่งใหญ่และดูเป็นองค์กรที่ทำเพื่อโลกจริง ๆ ชวนให้รู้สึกอยากสนับสนุน เพราะมันคงดีไม่น้อยถ้าเราจะได้กินเนื้อสัตว์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนโดยเฉพาะโปรตีน โดยที่เราไม่ต้องฆ่าสัตว์อื่น ๆ อีกต่อไป ถึงจะเป็นสัตว์ในกลุ่มปศุสัตว์ที่มันต้องกลายเป็นอาหารเราอยู่แล้ว แต่สัตว์ทุกตัวมันก็มีชีวิตและรักตัวกลัวตายเหมือนกับมนุษย์เรานี่แหละ เรากินเนื้อสัตว์กันอย่างเอร็ดอร่อยในทุกมื้อ มีเสื้อผ้าหนัง-ขนสัตว์ที่สวมใส่กันสวย ๆ แต่ถ้าวันไหนได้ลองไปดูตอนที่พวกมันถูกเลี้ยงดูอย่างดีเพื่อรอวันถูกเชือดเพื่อประโยชน์ของมนุษย์เรา ก็คงได้มีสะเทือนใจกันบ้างไม่มากก็น้อย

ภาพจาก FB: Disney+ Hotstar Thailand

หรือมันคงดีไม่น้อยที่การบริโภคเนื้อสัตว์เทียม จะมีส่วนได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลายล้านตัน เพราะถ้าใครได้ลองศึกษาเกี่ยวกับการทำปศุสัตว์ กระบวนการผลิตอาหารในอุตสาหกรรมอาหาร เรื่องของ Food Waste หรือลองหาอ่านผลเสียต่อโลกของอุตสาหกรรม Fast Fashion ก็จะได้รู้ว่าก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนดุจดั่งอยู่ในขุมนรกเยี่ยงทุกวันนี้ ถูกปล่อยมาจากอุตสาหกรรมที่กล่าวถึงเกินครึ่ง ซ้ำยังต้องใช้พื้นที่มหาศาลในการดำเนินธุรกิจเหล่านี้ ต้องทำลายป่า ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก ต้องทำลายผืนดิน ต้องใช้น้ำมากมาย การปล่อยของเสียทำให้อากาศเสีย มันคือการทำลายโลกในรูปแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อน

นอกจากนี้ เนื้อสัตว์เทียมที่ว่า ถ้าเราไม่ได้โฟกัสที่มาของมันว่าไม่ได้มาจากธรรมชาติ แต่มาจากการเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ เราจะเห็นว่ามนุษย์เราสามารถควบคุมคุณภาพเองได้ทุกขั้นตอน แบบที่นางเอกพูดว่าตอนนี้บริษัทของเธอสามารถผลิตเนื้อสัตว์อาหารทะเลได้ 4 ชนิดโดยที่เนื้อสัตว์ทะเลเหล่านี้จะไม่มีพยาธิ ไม่ปนเปื้อนไมโครพลาสติก และไม่ปนเปื้อนปรอท ซึ่งเป็นโลหะหนักที่พบจากการปล่อยของเสีย ทิ้งขยะต่าง ๆ ลงทะเล และสัตว์ทะเลก็ต้องใช้ชีวิตกันอยู่ในนั้นก่อนที่จะขึ้นมาเป็นอาหารของมนุษย์ ดูเหมือนว่าสิ่งที่ BF กำลังทำนี้ จะเป็นประโยชน์แก่โลกมหาศาล

ภาพจาก FB: Disney+ Hotstar Thailand

ในมุมผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ก็อาจจะเห็นดีเห็นงามกับการทำธุรกิจที่ทำลายโลกให้น้อยที่สุดใช่ไหมล่ะ แต่…มันก็มีคนที่ต้องเสียหายจากการทำธุรกิจแบบ BF เหมือนกัน หลัก ๆ ก็คือ ถ้าทุกสิ่งอย่างสามารถเพาะเลี้ยงขึ้นมาได้จากในห้องแล็บ ทั้งเนื้อสัตว์เทียม (ทั้งสัตว์บกและสัตว์ทะเลที่เป็นอาหาร) หนังสัตว์-ขนสัตว์เทียม ธัญพืชและข้าว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเกษตรกรปลูกพืชผักหรือเลี้ยงสัตว์ และไม่จำเป็นต้องมีชาวประมง นั่นก็เท่ากับว่า BF กำลังค่อย ๆ ฆ่าคนเหล่านี้ให้ตายลง เพราะไม่สามารถประกอบอาชีพที่ทำมาเนิ่นนานได้ ทุกอย่างกำลังจะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่ ที่สร้างของเทียมขึ้นมาแทนที่ของจริงชนิดที่ผู้บริโภคเองก็ไม่อยากหันกลับไปหาของจริง

ซึ่งนี่น่าจะเป็นสาเหตุอันดับแรก ๆ ที่ทำให้นางเอกของเราไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขอีกต่อไป การทำธุรกิจของเธอทำให้เธอกลายเป็นภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมขั้นพื้นฐานและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่ทำให้คนจำนวนมากเสียผลประโยชน์ ที่หน้าบริษัท BF มีคนมาปักหลักชุมนุมชี้หน้าว่าเธอคือฆาตกรที่ทำให้เหล่าเกษตรกรให้อดตาย ร้ายแรงถึงขนาดมีคนกระโดดฆ่าตัวตายจากบนสะพานลงมาบนรถที่เธอนั่งอยู่กลางถนน ไหนจะถูกขู่ฆ่า ถูกลอบทำร้าย และธุรกิจของเธอโดนโจมตีไปในทางเสียหาย ระบบคอมพิวเตอร์ถูกแฮกข้อมูล เจอมัลแวร์เรียกค่าไถ่ 8 หมื่นล้านวอน เจอข่าวลือว่าอาหารสำหรับเพาะเลี้ยงเนื้อเทียมนั้นมีแบคทีเรีย และแล็บบริษัทเธอเป็นแล็บที่ผิดกฎหมาย

ภาพจาก FB: Disney+ Hotstar Thailand

มันเห็นภาพจริง ๆ ว่าความสำเร็จของ BF และนางเอกได้กลายเป็นอันตรายไปแล้ว มาถึงขั้นนี้มันก็ไม่แปลกที่คนอย่างนางเอกจะต้องมีบอดี้การ์ดข้างกายเก่ง ๆ สักคนหนึ่ง แต่ปัญหาคือเวลานี้เธอเชื่อใจใครไม่ได้เลย ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มสูงว่าอาจเป็นฝีมือคนใน โดยเฉพาะทีมบอดี้การ์ดที่จะรู้กิจกรรมของเธอทุกอย่างว่าเธอจะไปไหนเมื่อไร เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะเจาะจึงต้องมีคนในรู้เห็น เวลานี้เธอจึงต้องเลือกบอดี้การ์ดคนใหม่ที่มั่นใจว่าเชื่อใจได้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นบอดี้การ์ดนี่แหละที่จะเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของเธอ เพราะบอดี้การ์ดจะรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดและอยู่ใกล้ตัวเราเกินไป ถ้าเป็นศัตรูแฝงตัวเข้ามา นางเอกก็จะยิ่งอันตราย

พวกเขาเหมือนกันหมด ยิ่งใกล้ยิ่งอันตราย

อย่างที่บอกว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับบริษัทของนางเอกในช่วงเวลาเดียวกันหมดมันช่างเหมาะเจาะเหลือเกิน ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่าหรือนี่จะเป็นฝีมือของคนใน และที่เลวร้ายกว่าก็คือ น่าจะเป็นคนที่อยู่ใกล้ตัวกับเธอมาก ๆ ด้วย ถึงได้รู้ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับตัวเธอแทบทุกอย่าง ซึ่งเธอก็ฉลาดมากพอที่เริ่มเอะใจคนใกล้ตัวแต่ละคนว่าถ้ามีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องล่ะก็ คนคุ้นเคยแค่ไหนก็ไว้ใจไม่ได้

ภาพจาก FB: Disney+ Hotstar Thailand

นางเอกจึงได้เริ่มคิดประมวลผลเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าคนใกล้ตัวเธอแต่ละคนมีใครบ้างที่มีอำนาจในการรู้เรื่องราวในระดับสูงได้ ในวันที่เกิดเหตุการณ์เลวร้าย คนเหล่านั้นมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้างเพื่อที่เธอจะได้เตรียมรับมือถูก แต่อีกนัยหนึ่ง มันก็เสี่ยงอยู่ไม่น้อยที่นั่นจะเป็นแค่แผนที่ทำให้เธอระแวงคนใกล้ตัวจนไม่เชื่อใคร เมื่อมีความไม่เชื่อใจเข้ามาแทรกกลาง คนที่ซื่อสัตย์กับเธอดี ๆ อาจรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะร่วมงานด้วย และคงรู้สึกแย่ที่ถูกสงสัยทั้งที่ทุ่มเทให้ BF ตั้งมากมาย คนเหล่านั้นอาจหันหลังให้เธอในที่สุด

นี่คือสิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้ทำให้คนดูอย่างเรารู้สึกอึ้ง ทึ่ง ในการผูกปมปริศนาต่าง ๆ ขมวดปมเข้าไว้เป็นก้อนใหญ่ ๆ ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ตอน บางซีนนี่ลุ้นตามถึงขั้นกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เพราะมันชวนระแวงไปหมดเลยจริง ๆ ว่าใครกันแน่คือลาสบอส แต่ละคนก็เป็นระดับหัวหน้าทีมที่เข้าใกล้นางเอกได้แบบประชิดตัวทันทีเวลาที่มีเรื่อง ความในยังไม่กระจ่าง ความนอกก็ประดังประเด ทุกคนที่เข้าหานางเอกล้วนมีจุดประสงค์บางอย่างไม่เว้นแม้แต่พระเอก โชคดีที่พระเอกนางเอกฉลาดทั้งคู่ เพียงแค่ใครคนหนึ่งเกิดสงสัยขึ้นมา อีกฝ่ายจะเริ่มคิดตามและปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน จนนางเอกเริ่มจับจุดได้แล้วว่าคนรอบตัวเธอ ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งอันตราย เป็นเหมือนกันหมด

นอกจากนี้ มันไม่ใช่แค่คนใกล้ตัวนางเอกที่ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งอันตราย แต่คนใกล้ตัวพระเอกแต่ละคนก็ดูแปลก ๆ เหมือนกัน และเป็นไปได้ว่าจุดหนึ่ง เรื่องน่าจะสร้างจุดพีกให้ตัวละครคู่นี้ไม่ไว้ใจกันเองได้เลยนะ ยิ่งทำให้เห็นว่าเมื่อคนเราเริ่มขึ้นสู่ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ มันยิ่งมีปัจจัยต่าง ๆ เข้ามามีบทบาทให้ความสัมพันธ์ที่ดี ๆ กันอยู่ของเรากับคนใกล้ตัวยิ่งไม่เหมือนเดิม ยิ่งสนิทเรายิ่งเผยจุดอ่อน ซึ่งเราก็ไม่รู้เลยว่าคนใกล้ตัวที่เคยเข้าใจว่าไว้ใจได้จะเป็นคนที่หยิบเอาจุดอ่อนเราขึ้นมาเล่นงานเราเมื่อไร แต่ก็นะ มารไม่มีบารมีไม่เกิด ซีรีส์เรื่องนี้มันสนุกตรงนี้แหละ ตรงที่ได้ติดตามตัวละครวิ่งวุ่นเข้าแก้ปมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และลุ้นว่าธุรกิจของนางเอกมันจะถึงฝั่งฝันได้จริงไหมด้วย ในเมื่อมันเป็นดาบสองคมแบบนี้

ภาพจาก FB: Disney+ Hotstar Thailand

หลัง ๆ มายอมรับเลยว่า Disney+ ทำคอนเทนต์ซีรีส์ได้น่าสนใจและปูเรื่องมาได้สนุกมาก ๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้ซีรีส์เรื่องนี้จะเคยมีข่าวว่าถูกชะลอการผลิตและงดจัดสตรีมลงแพลตฟอร์ม Disney+ แต่เรื่องก็จบสวยจนลงสตรีมได้ในที่สุด ทำให้ซีรีส์เรื่อง Blood Free ที่เปิดดูแบบไม่คาดหวัง ดันให้ความหวังคนดูถึงนอกจอ กับพล็อตอนาคตล้ำ ๆ แต่ไม่ไกลตัว แถมยังใส่เรื่องราวที่มันน่าจะมีผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติจริง ๆ หากสิ่งที่เกิดขึ้นในซีรีส์เกิดขึ้นจริงบนโลกอย่างเต็มรูปแบบ ไม่รู้เลยว่าเรา ๆ จะไปทางไหนได้บ้าง ต่างจากในซีรีส์มีแนวทางของมันตามบทอยู่แล้ว 🍽