สัปดาห์ที่แล้ว ผมเพิ่งจะนำรายงานด้านสิ่งแวดล้อมของฟอร์มูล่า วัน มาสรุปให้ฟังแบบรวดรัด ว่ามอเตอร์สปอร์ตเบอร์หนึ่งของโลกมุ่งมั่นพัฒนาเครื่องยนต์ต่อไปภายใต้เชื้อเพลิงชีวภาพหมาด ๆ สัปดาห์นี้ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานแถลงข่าว TOYOTA GAZOO Racing Thailand ซึ่งเป็นการแถลงนโยบายมอเตอร์สปอร์ตและเปิดตัวทีมแข่งชุดใหญ่ปี 2024
หนึ่งในเนื้อหาสำคัญในการแถลงข่าวครั้งนี้ ทั้งการแข่งขัน One Make Race ของโตโยต้า และความเคลื่อนไหวของทีมแข่งโรงงาน TOYOTA GAZOO Racing Thailand คือการเดินหน้าใช้พลังงานทางเลือกมาใช้ในรถแข่งมากขึ้น เริ่มจาก Yaris e-fuel และ Ativ e-fuel ที่จะเข้าร่วมรายการ Yaris One Make Race
รวมถึงยังมี Yaris e-fuel ที่จะร่วมรายการ Thailand Super Series และ Altis e-fuel ที่จะใช้ลงแข่งรายการ Idemitsu Super Endurance มาราธอน 25 ชั่วโมงช่วงปลายปีนี้ที่บุรีรัมย์ นั่นหมายความว่าเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสังเคราะห์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ (เชื้อเพลิงที่ไม่ได้ผลิตจากน้ำมันดิบ) กำลังจะถูกนำมาใช้งานมากขึ้นบนสนามแข่งปีนี้
หนึ่งในประโยคเด็ดของ “โมริโซะ” อากิโอะ โตโยดะ ประธานใหญ่โตโยต้าที่พูดผ่านวิดีโอวอลล์จากญี่ปุ่นมายังงานแถลงข่าวครั้งนี้คือ “บางคนก็ว่า EV ดีที่สุด บางคนบอกไฮบริดดีกว่า บางคนไปทางปลั๊กอิน และยังมีไฮโดรเจน พลังขับเคลื่อนอาจเป็นอะไรก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นจริงอยู่เสมอ นั่นคือ ศัตรูเพียงหนึ่งเดียวของเราคือ คาร์บอน!”
นั่นคือเหตุผลที่ทำไมค่ายรถยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างโตโยต้าถึงไม่หยุดยั้งการพัฒนาเครื่องยนต์สันดาป เพราะพวกเขาเชื่อว่าพลังงานทางเลือกจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เครื่องยนต์ได้ไปต่อ และเดินเคียงข้างกันไปกับรถไฟฟ้า (EV) รวมไปถึงรถติดแก๊สไฮโดรเจน เพียงแต่ว่าเชื้อเพลิงทางเลือกของโตโยต้า (e-fuel) ที่มีการพัฒนาขึ้นมาสำเร็จแล้ว จะต่อยอดสู่รถบ้านได้เมื่อใด
ย้อนกลับไปปี 2023 ผมสืบทราบราคาของ e-fuel ที่มีการเริ่มนำมาใช้ในสนามแข่งบ้านเรา เป็นเชื้อเพลิงนำเข้าจากเยอรมนี สนนราคาลิตรละประมาณ 300 บาท อย่างไรก็ดีการที่วงการมอเตอร์สปอร์ตเริ่มหันมาสนับสนุน e-fuel มากขึ้น ก็ยิ่งส่งผลดีต่อการที่จะนำเชื้อเพลิงนี้ไปใช้งานกับรถยนต์ทั่วไปที่วิ่งกันตามท้องถนน ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น “ราคา” จะต้องถูกลงมาเทียบเท่าเชื้อเพลิงในปัจจุบัน
คำถาม คือ ตอนนี้รถ EV ติดตลาดไปแล้ว แล้วเมื่อไรที่จะถึงเวลาของ e-fuel รายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า พลังงานสังเคราะห์จะเริ่มถ่ายทอดสู่รถบ้านในยุโรปเป็นทวีปแรก และอย่างเร็วที่สุดคือในปี 2025 ขณะที่เป้าหมายสูงสุดที่วางเอาไว้คือ เครื่องยนต์สันดาปที่เติมเบนซินและดีเซลจะหมดไปในปี 2050 และถูกแทนที่ด้วยเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (e-fuel) และเชื้อเพลิงชีวภาพ (แบบที่ F1 เตรียมนำมาใช้)
ทั้งหมดก็คือคำตอบที่หลายคนมักจะถามว่า “แข่งรถไปเพื่ออะไร” เหตุผลก็คือ ทีมงานจะต้องเก็บข้อมูล วิจัย และพัฒนารถจากสนามแข่งต่อยอดไปสู่รถบ้าน เพราะสภาพแวดล้อมที่สุดทรหดทั้งทางเรียบและทางฝุ่นในมอเตอร์สปอร์ต คือความท้าทายที่รถแข่งต้องวิ่งผ่านเส้นชัยให้ได้ ยิ่งรถแข่งที่วิ่งแล้วเจอปัญหา ยิ่งต้องหาสาเหตุและแก้ไข เพื่อให้เป็นรถที่มีสมรรถนะสมบูรณ์แบบที่สุด นั่นเองครับ
งานนี้ใครที่อยากจะไปสัมผัสสมรรถนะรถแข่งโตโยต้าหลากหลายรุ่น สามารถไปชมติดขอบสนาม TOYOTA GAZOO Racing Thailand 2024 กันได้ เริ่มสนามแรกบางแสนกรังด์ปรีซ์ 5-7 ก.ค. นี้ ส่วนแฟนทีมแข่งโรงงานอย่าง TOYOTA GAZOO Racing Thailand บิ๊กบอส “อาร์โต้” สุทธิพงศ์ สมิตชาติ จะนำทีมลงแข่งสนามแรกใน TSS ที่บุรีรัมย์ 3-5 พ.ค. นี้ครับ