เป็นมิตรมากไป พาใครไหวหวั่น

คนเราเกิดมาแตกต่างไม่เหมือนกัน การแสดงออก นิสัยใจคอ ความชอบ ล้วนมีมากมายหลายหลากปะปนกันอยู่ในสังคมกว้างใหญ่แห่งนี้ แล้วยิ่งต่างเพศด้วยแล้วขั้นตอนความคิดก็ยิ่งต่างขั้วกันออกไป ซึ่งถ้าจับเอาแต่ละเพศมาถกเถียงกันด้วยเหตุผลกับโจทย์สักข้อหนึ่ง รับรองเถียงกันได้ไม่จบไม่สิ้นอย่างแน่นอน

กับการกระทำและการแสดงออกก็เช่นกัน ที่ทำให้ใครต่อใครคิดไปไกลกันมาแล้ว และเหตุนี้มาจากความ เฟรนลี่ ที่มากเกินไปนั่นเอง เอ้า เฟรนลี่แล้วไม่ดียังไง การเป็นมิตรต่อคนรอบข้างใคร ๆ ก็ชอบไม่ใช่เหรอ? ก็ใช่ แต่ถ้าความเฟรนลี่นั้นไปกระทบถูกจุดอ่อนไหวของใครเข้าโดยบังเอิญล่ะก็ งานอาจจะเข้าได้โดยไม่รู้ตัว

การหยอกล้อ ถึงเนื้อถึงตัว สนุกสนาน โดยที่เจ้าตัวนั้นไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ แต่มันดันไม่จบแค่นั้น เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งดันคิดไปไกล “เอ..เขาเข้ามาแบบนี้คิดอะไรกับเราหรือเปล่าหว่า”

ด้วยเพราะคนเรามันคิดอะไรไม่เหมือนกันอยู่แล้ว การกระทำบางอย่างที่บางคนมองว่าธรรมดาไม่หวือหวาอะไร แต่กับบางคนดันเป็นการกระทำที่ทัชความรู้สึกลึก ๆ สะกิตใจจบด้วยความหวั่นไหวกันไปตามระเบียบ หลังจากนี้ถ้ามีเปิดใจก็คงต้องเคลียร์กันยาว ซึ่งก็คงจะดีหากความเห็นตรงกันในท้ายที่สุด แต่ถ้าไม่ ก็คงต้องมีคนน้ำตาเช็ดหัวเข่าคอตกกลับไปฟื้นฟูหัวใจตัวเองใหม่

นี่แหละเลยจะบอกว่า บางทีนะบางที การจะเข้าหาใครก็ควรจะรักษาระยะกันไว้สักนิดหนึ่ง ประเมินอีกฝ่ายสักนิดว่าขอบเขตของกันและกันมันได้มากน้อยแค่ไหน เพราะการรับรู้และการตอบสนองต่อความรู้สึกที่ได้รับของเรามันไม่เท่ากัน