หมอเก๊เกลื่อนโซเชียล ทำไมใคร ๆ ก็ชอบแอบอ้างเป็นหมอ

เป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก เมื่อเรากำลังอยู่ในยุคที่ “หมอจริง” หลายคนเก็บตัวเงียบ ใช้ชีวิตนอกโรงพยาบาลประหนึ่งคนทั่วไปคนหนึ่ง ปกติและธรรมดาที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นหมอ ส่วนอีกหลายคนก็ทำตัวเหมือนไม่ใช่หมอ จนคนไข้บอกไม่กล้าป่วย ถ้าป่วยจะรีบหาย (แซว) ในขณะเดียวกัน บรรดา “หมอปลอม” ทั้งหลาย กลับตะโกนอย่างเต็มที่เพื่อบอกคนทั้งโลกว่าฉันเป็นหมอ หลัก ๆ แล้วก็เช่น โพสต์รูปใส่ชุดกาวน์หรือชุดสครับในทุก ๆ สถานที่ลงโซเชียลมีเดียบ่อย ๆ หลายครั้งมาพร้อม steth ห้อยคอ โชว์บัตรแพทย์ เช็กอินโรงพยาบาล โพสต์เรื่องเล่าเคสคนไข้ที่น่าประทับใจ เล่าเรื่องการรับมือความวุ่นวายในโรงพยาบาล บ้างก็ให้คำแนะนำทางการแพทย์ผิด ๆ ถูก ๆ

แต่ยิ่งประโคมใส่ “สัญลักษณ์ของความเป็นแพทย์” ลงไปในโปรไฟล์มากเท่าไร ก็ยิ่งดูมีพิรุธมากเท่านั้น ถึงกับมีคนทำตำราสำหรับ “จับโป๊ะหมอปลอม” เล่น ๆ ว่าพวกหมอปลอมมักมีลักษณะแบบไหน หรือหมอจริงมักสนุกกับการทำอะไรเพื่ออำพรางตัวบ้าง ซึ่งจริง ๆ ถ้าเรามองมันในเชิงขำขันมันก็สนุกดี แต่ที่น่ากังวลก็คือ ถ้าหมอปลอมพวกนี้ไม่ได้แค่สนุกสนานกับการอุปโลกน์ตัวเองเป็นหมอเพื่อสนองปมด้อยของตัวเอง ที่อาจจะอยากเป็นหมอแต่ชีวิตจริงเป็นไม่ได้เฉย ๆ (แต่จริง ๆ การปลอมเป็นหมอก็ผิดกฎหมาย) แต่ดันมีจุดประสงค์เพื่อหลอกลวงชาวบ้านจนเกิดความเสียหายด้วย เรื่องมันจะยิ่งบานปลาย เพราะการโกหกว่าเป็นหมอทั้งที่ไม่ได้เป็น มันคือการล้อเล่นกับชีวิตคน!

ทำไมจะต้องอยากเป็นหมอ อวดอ้างในโซเชียลมีเดีย

ต้องบอกว่าเรื่องราวของบรรดาหมอเก๊ หมอปลอม มีปรากฏขึ้นในโซเชียลมีเดียมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว และมีให้พบเห็นได้ทั่วโลก ไม่ใช่แค่เฉพาะในไทย ในไทยส่วนใหญ่เราจะเห็นหมอปลอมที่ปลอมแบบจับโป๊ะง่าย อ้างว่าตัวเองเป็นหมอขำ ๆ แต่หลายครั้งที่เราได้ยินข่าวจากต่างประเทศ มีกรณีที่คนปลอมเป็นหมอเปิดคลินิกรักษาคนไข้จริงจัง ปลอมเป็นหมอวินิจฉัยโรคแบบมั่วซั่ว มีแม้กระทั่งปลอมเป็นศัลยแพทย์เข้าห้องผ่าตัดทั้งที่ไม่มีวุฒิ ไม่มีใบประกอบวิชาชีพด้วยซ้ำ แต่สามารถผ่าตัดให้คนไข้ได้ประสบความสำเร็จก็มี นี่จึงไม่ใช่ครั้งแรกและจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่คนปลอมเป็นหมอ แต่ทำไมล่ะ ทำไมคนถึงชอบปลอมเป็นหมอกัน

  • หมอ เป็นอาชีพที่ถูกยกระดับให้มีเกียรติและมีความน่าเชื่อถือสูง (และเข้าใจว่าหางานง่าย รายได้ดี)

อย่างในไทย เห็นได้จากการที่ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อย “คาดหวัง” และ “บังคับ” ให้บุตรหลานเรียนหมอ ทั้งที่ตัวเด็กอาจจะไม่ชอบ ไม่อยากเรียน ไม่อยากเป็น บางครอบครัววางแผนปูทางให้ตั้งแต่ยังเด็กมาก ๆ ด้วยการยัดเยียดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหมอเข้าหัว หวังให้เด็กค่อย ๆ ซึบซับจนกลายเป็นอาชีพในฝัน บางบ้านก็ส่งเสริมให้เด็กเรียนเข้มข้นด้านวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ตั้งแต่สมัยเรียนแค่ชั้นประถม บางบ้านแค่ลูกหลานเรียนเก่ง ก็เปรย ๆ ว่าควรเรียนหมอ จะได้มีอนาคต หรือบางบ้าน ผู้ปกครองแค่มีความคิดแบบผิวเผินว่าจบหมอหางานง่าย รายได้ดี สังคมยกย่อง มีหน้ามีตาให้อวดข่มกับลูกของป้าข้างบ้านได้ ผู้ใหญ่ที่ทัศนคติแบบนี้ก็มีเหมือนกัน และมีไม่น้อยด้วย

เพราะกว่าจะเป็นหมอได้นั้น ตัวคนเรียนจะต้องผ่านการศึกษาเฉพาะทางอย่างหนักนานหลายปี ต้องผ่านระบบการควบคุมที่เข้มงวด มันคือการได้พิสูจน์คุณค่าในตัวเองไปในตัวว่าทั้งหัวดี มีความสามารถ อดทนเก่ง พ่อแม่ก็สู้ นั่นทำให้บ้านไหนที่ลูกเรียนจบหมอ พ่อแม่ก็จะมีหน้ามีตา ได้รับการชื่นชมว่าเลี้ยงลูกมาดี ลูกรักดี ลูกใฝ่ดี ส่วนตัวคนที่เรียนจบหมอ ก็จะมีภาพลักษณ์ที่สังคมมองว่าเป็นคนเก่ง ฉลาด มีวินัย มีความอดทนสูง น่าเชื่อถือ ทำให้หมอกลายเป็นอาชีพที่มีมูลค่าสูง ทั้งสถานะทางสังคมและผลตอบแทน

  • เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการหาผลประโยชน์บางอย่าง

อยากที่เราทราบกันว่า “หมอ” เป็นอาชีพที่มีความน่าเชื่อถือสูงในสังคม การแอบอ้างเป็นหมอจึงช่วยสร้างภาพลักษณ์ของความน่าเชื่อถือและดึงดูดผู้คนให้มาสนใจได้ง่ายขึ้น เมื่อมีผู้คนสนใจมาก ก็ใช้ภาพลักษณ์ที่ดูน่าเชื่อถือนี้แสวงหาผลประโยชน์บางอย่าง เช่น ขายอาหารเสริม ขายคอร์สลดน้ำหนัก ขายครีมแบรนด์ตัวเอง เปิดคลินิกผิดกฎหมายรักษาคนไข้ทั้งที่ตัวเองไม่ใช่หมอก็มีมาแล้ว หรือขายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความงาม แค่พูดให้เก่ง พูดเรื่องยาก ๆ เรื่องวิชาการให้คนรู้สึกว่าเข้าถึงง่าย พูดในสิ่งที่ตาสียายสาคนทั่วไปในสังคมไม่ค่อยรู้ จะพูดผิดหรือพูดถูกก็ได้ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ความจริง แค่นี้คนทั่วไปเชื่อถือ “หมอ” มากกว่าพ่อค้าแม่ค้าทั่ว ๆ ไป อยู่แล้ว

  • หวังยอดวิว ยอดไลก์ ยอดผู้ติดตาม

ด้วยคอนเทนต์ที่อ้างว่าเป็นคำ “หมอเตือน” หรือ “หมอแนะนำ” มักจะได้ความสนใจสูง เพราะดูน่าเชื่อถือ ดูน่าแชร์ต่อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องสุขภาพใกล้ตัว แต่เป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จริง เนื่องจากเป็นเรื่องเฉพาะทาง ตัวคนที่แอบอ้างเป็นหมอก็ไม่ได้รู้จริง แต่อาศัยว่าพอจะรู้ศัพท์เฉพาะทางบางคำ รู้เรื่องทางวิชาการที่เป็นเรื่องที่คนทั่วไปก็ไม่ได้มีความรู้มากพอจะมาจับผิดได้ จึงแอบอ้างเพื่อให้ได้ยอดวิว ยอดไลก์ หรือยอดผู้ติดตามเยอะ ๆ หลังจากนั้นค่อยเอาเพจไปขายต่อ เปลี่ยนชื่อเพจไปเป็นเพจอื่น แล้วนำไปทำเพจหลอกลวง เพจปลอมต่อไป

  • สร้างเพจ/บัญชีปลอม แอบอ้างชื่อหมอที่มีตัวตนจริง/โรงพยาบาลจริง เพื่อหลอกลวง

เพราะเพจ/บัญชีปลอมทุกวันนี้มันไม่ได้สร้างยากขนาดนั้น แถมยังแยกแยะลำบากเข้าไปอีก เมื่อเพจ/บัญชีปลอมที่มีเครื่องหมาย Verified Badge (เครื่องหมายเครื่องหมายติ๊กถูกสีน้ำเงินที่อยู่ด้านหลังชื่อ) มีเกลื่อนไปหมด ทำให้บางครั้งเราอาจเจอเข้ากับบัญชีที่แอบอ้างด้วยชื่อหมอที่มีตัวตนจริง หรือเพจที่ตั้งเป็นชื่อโรงพยาบาลที่มีอยู่จริง แล้วจัดกิจกรรมอะไรบางอย่างขึ้นมาให้คนเข้าไปมีส่วนร่วม หลอกลวงให้โอนเงินค่ารักษา ค่ายา ค่าอบรม ทำบุญ หรือขายนั่นขายนี่ที่เกี่ยวกับสุขภาพ เมื่อคนเห็นในฟีดโซเชียลมีเดีย ก็เข้าใจผิดว่าเป็นหมอจริง หลงโอนเงินไปให้ก็มี

  • สร้างชื่อเสียงและอิทธิพล แสวงหาการยอมรับ

ต้องทำความเข้าใจก่อนกว่าหมอปลอมเองก็มองว่าอาชีพของหมอนั้นเป็นภาพของคนเก่ง คนที่ได้รับการยอมรับในสังคม คนที่สังคมให้ความเชื่อถือและยกย่องจนแทบจะเป็นอีกชนชั้นหนึ่งเลย หมอปลอมบางคนมีปมในเรื่องนี้ มีปัญหาทางบุคลิกภาพ ที่แม้ว่าชีวิตจริงจะเป็นหมอไม่ได้ แต่การสร้างตัวตนของตัวเองขึ้นมาเป็นหมอ และอวดอ้างไลฟ์สไตล์ของตนเองประหนึ่งเป็นหมอจริงให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้ผ่านโลกในจินตนาการ มันทำให้พวกเขามีชื่อเสียงหรือได้รับการยอมรับจากผู้อื่นในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง การมีผู้ติดตามจำนวนมากทำให้รู้สึกว่าตนเองมีอิทธิพลบางอย่าง ที่ทำให้ผู้อื่นเชื่อฟัง หรือต่อให้คนอื่น ๆ จับโป๊ะได้ง่าย อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็ยังได้รับความสนใจจากคนอื่น

แยกให้ออก ใคร “หมอจริง” ใคร “หมอปลอม”

เนื่องจากหมอปลอมมักจะโพสต์โอ้อวดไลฟ์สไตล์ความเป็นหมอแทบทุกอย่างเท่าที่จะหามาอวดได้ เราจึงสามารถใช้เบาะแสจากต่าง ๆ จากโพสต์ของหมอปลอมเองในการตรวจสอบดูในเบื้องต้นได้ ว่าบุคคลที่โอ้อวดว่าเป็นหมออยู่ในโซเชียลมีเดียนั้น เป็นหมอจริง หมอปลอม หรือหมอปลอมที่แอบอ้างเอาข้อมูลของหมอจริงมาใช้

1. นำชื่อ-นามสกุล ไปตรวจสอบหาใบประกอบวิชาชีพในแพทยสภา

เพราะแพทย์ทุกคนในประเทศไทยต้องมี ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม และมีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของแพทยสภา โดย “ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม” คือเอกสารที่ออกโดยแพทยสภา ซึ่งเป็นองค์กรที่ควบคุมและกำกับดูแลการปฏิบัติงานของแพทย์ เอกสารฉบับนี้จะรับรองความสามารถของแพทย์ในการปฏิบัติงานทางการแพทย์ในประเทศไทย จึงมีความสำคัญในการแสดงถึงคุณภาพ ความเชี่ยวชาญ และมาตรฐานวิชาชีพของแพทย์ ผู้ที่ต้องการปฏิบัติงานในสายงานแพทย์จำเป็นต้องมีใบประกอบวิชาชีพนี้ บุคคลทั่วไปสามารถนำเอาชื่อ-นามสกุลของหมอไปตรวจสอบรายชื่อแพทย์จากฐานข้อมูลของแพทยสภาพ ได้ที่เว็บไซต์แพทยสภา ว่ามีใบประกอบวิชาชีพหรือไม่

2. สังเกตจากโปรไฟล์ในโซเชียลมีเดีย

หมอเป็นเพียงอาชีพหนึ่งเหมือนกับอาชีพอื่น ๆ ดังนั้นนอกเหนือจากบทบาทหน้าที่การเป็นหมอ หมอทุกคนก็คือคนธรรมดาที่มีชีวิตนอกห้องตรวจ นอกโรงพยาบาล สวมเสื้อผ้าลำลองทั่ว ๆ ไป เล่นโซเชียลมีเดีย ซึ่งหากเป็นบัญชีส่วนตัว ก็จะมีกิจกรรมแบบคนปกติ (แต่หมอจริงมักหลีกเลี่ยงการแสดงตัวว่าเป็นหมอในบัญชีโซเชียลมีเดียส่วนตัว) โพสต์เที่ยว โพสต์ของกิน ร้องเล่นเต้นรำ ทำกิจกรรมแบบคนปกติ มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง ไม่ใช่ว่าวัน ๆ จ้องจะโพสต์แต่ไลฟ์สไตล์การทำงานของตัวเอง มีชีวิตวนเวียนอยู่แค่การทำงาน คนไข้ ห้องตรวจ โรงพยาบาล ถ้าบัญชีส่วนตัวของหมอคนไหนวนเวียนอยู่แค่เรื่องทำงานเป็นหมอล่ะก็ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าเป็นหมอปลอม

แต่ถ้าเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง หรือมีการทำเพจให้ข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพ โดยส่วนใหญ่แล้วโปรไฟล์ในโซเชียลมีเดียก็จะมีข้อมูลที่ชัดเจน เช่น เป็นหมอแผนก สาขา ภาควิชา คณะ โรงพยาบาลที่สังกัด อย่างครบถ้วน รวมถึงอาจเป็นบัญชีหรือเพจที่ได้รับเครื่องหมาย Verified Badge ยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้วด้วย

3. สังเกตจากคอนเทนต์และภาษาที่ใช้

หมอจริงมักจะให้ข้อมูลอย่างระมัดระวังและใช้ภาษาที่ถูกต้องเหมาะสม อาจไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาทางการเสมอไป เพราะจะเข้าถึงได้ยาก แต่ที่แน่ ๆ จะอธิบายด้วยข้อมูลเชิงลึกทางการแพทย์ ข้อมูลวิชาการที่ย่อยมาให้เข้าใจง่าย ๆ มักมีการอ้างอิงงานวิจัย/สถาบัน/โรงพยาบาล ไม่ใช้คำพูดเกินจริงหรืออวดอ้างสรรพคุณเกินไป ไม่พูดอะไรลอย ๆ ตามความเชื่อส่วนตัว และมักจะแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมเสมอ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับยา อาหารเสริม คอร์สดูแลสุขภาพ หมอจริงส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยง เพราะอาจผิดจรรยาบรรณหรือจริยธรรมแพทย์ แต่ถ้าหมอคนไหนมุ่งเน้นแต่รีวิวขายของ ก็มีโอกาสที่จะเป็นหมอปลอมสูงมาก

เกร็ดน่าสนใจ “หมอจริง จะไม่ค่อยอยากให้ใครรู้ว่าเป็นหมอ”

ปรากฏการณ์แปลกแต่จริง! ที่ “หมอจริง” จะพยายามใช้ชีวิตแบบเงียบ ๆ ทำตัวให้กลมกลืนไปกับคนทั่วไป ไม่เปิดเผยอาชีพของตนเองอย่างโจ่งแจ้งในที่สาธารณะ โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย ไม่ใส่กาวน์เดินอวดไปทั่วหรือโพสต์รูปตอนใส่กาวน์ รูปภาพในโซเชียลมีเดียก็มักจะมีแต่รูปถ่ายทั่วไป ไม่ค่อยมีรูปที่เกี่ยวกับการทำงานสักเท่าไร ในขณะที่ “หมอปลอม” จะพยายามอย่างหนักที่จะประกาศให้โลกรู้ว่าตัวเองเป็นหมอ ประโคมใส่ทุกอย่างที่เป็นเครื่องแบบของหมอ รูปถ่ายในโซเชียลมีเดียมีแต่ข้อมูลที่ระบุซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ว่าตัวเองเป็นหมอ เช็กอินโรงพยาบาล โพสต์เล่าเรื่องเคสคนไข้ ฯลฯ ปรากฏการณ์นี้มีที่มาจากหลายปัจจัยทางสังคมและวิชาชีพ

1. หมอจริงจะหลีกเลี่ยงภาระทางอารมณ์และวิชาชีพ

สิ่งที่อาจเกิดขึ้นเมื่อคนรอบข้าง (ที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว) รู้ว่าคุณเป็นหมอ คุณอาจถูกขอคำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพ หรือเล่าอาการนั่นนี่เพื่อให้วินิจฉัยโรคได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งหมอหลายคนก็ต้องการที่จะมีพื้นที่ส่วนตัวที่ชัดเจนระหว่างการทำงานกับการพักผ่อน (เหมือนกับคนทำงานทุกคน) เพื่อที่จะหลีกหนีจากหน้าที่รับผิดชอบอันหนักอึ้งบ้างในเวลาส่วนตัว นอกจากนี้ ยังเป็นเรื่องของความรับผิดชอบทางกฎหมายและจริยธรรม เพราะการให้คำแนะนำทางการแพทย์นอกเหนือจากการปฏิบัติงานในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต มีความเสี่ยงสูงต่อข้อผิดพลาดและการตีความที่ผิดเพี้ยน หมอจะรู้ว่าคำพูดของตนมีผลกระทบต่อชีวิตคนอื่น หากมีใครนำคำแนะนำสั้น ๆ ไปใช้แล้วเกิดผลเสีย ทำให้คนเข้าใจผิดหรือคาดหวังเกินจริง หมออาจต้องเผชิญกับปัญหาทางกฎหมายหรือจริยธรรม

2. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวว่าคุณเป็นหมอ คุณอาจถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัว อาจทำให้ถูกผู้ป่วยหรือบุคคลอื่น ๆ ที่มีปัญหาเข้ามาติดตามหรือติดต่อในช่องทางส่วนตัว เช่น ถูกเพิ่มเป็นเพื่อนใน Facebook หรือถูกส่งข้อความขอคำปรึกษาที่ไม่ใช่เรื่องด่วน ความคาดหวังผิด ๆ หรือการพึ่งพาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นการรบกวนพื้นที่ส่วนตัว หรืออาจมีความเสี่ยงต่อการถูกคุกคาม เพราะในบางกรณีที่หมอต้องรักษาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง หรือมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ก็อาจมีผู้ไม่หวังดีใช้ข้อมูลสาธารณะของหมอนำมาชี้เป้าในการคุกคามหรือติดตามหมอ แบบที่สามารถเห็นได้ในหลาย ๆ กรณี

3. ความถ่อมตนและจริยธรรมวิชาชีพ

เป็นเรื่องของความเป็นมืออาชีพและจรรยาบรรณทางวิชาชีพ เพราะหน้าที่ของหมอ จะเน้นการทำงาน “เพื่อผู้ป่วย” ไม่ใช่การสร้างภาพลักษณ์ “เพื่อตัวเอง” โดดเด่น งานของหมอคือรักษาและให้คำปรึกษา ไม่ใช่ประชาสัมพันธ์ตัวเอง อีกทั้งการป่าวประกาศบอกทุกคนว่าเป็นหมอโดยไม่จำเป็น อาจถูกมองว่า โอ้อวดหรือไม่สุภาพ ขัดกับความรู้สึกเรื่อง ความถ่อมตนและจริยธรรม ที่เน้นสร้างความน่าเชื่อถือจากการปฏิบัติหน้าที่จริง การทำงานในสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรอง การยอมรับจากเพื่อนร่วมงานและผู้ป่วย และใบประกอบวิชาชีพที่เพียรพยายามอย่างหนักกว่าจะได้มา ไม่ใช่การโฆษณาแบบที่หมอปลอมต้องทำเพื่อสร้างความเชื่อถือทันที เพราะไม่มีผลงาน