การขับขี่ยานพาหนะในขณะมึนเมา ยังคงเป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลอย่างปีใหม่และสงกรานต์ ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์แม้เพียงหนึ่งหรือสองแก้ว ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ทั้งนั้น สาเหตุหลัก ๆ คือทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลง ความมึนเมาทำให้ขาดสติ คึกคะนอง ประมาท ฯลฯ และเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาก็ย่อมส่งผลให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งจากสถิติในแต่ละปี จะพบว่าตัวเลขของอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์มีแต่จะสูงขึ้น ทำให้ปัญหานี้ถูกผลักดันให้เป็นวาระสำคัญแห่งชาติตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม อัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนน การบาดเจ็บและเสียชีวิตยังห่างไกลจากเป้าหมายในการรณรงค์เรื่องเมาไม่ขับที่ทำกันมาโดยตลอด นอกจากนี้ นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ยังเคยออกมาให้ข้อมูลว่า สาเหตุที่คนไทยไม่กลัวโทษเมาแล้วขับ รวมถึงยังคงละเมิดกฏหมายต่อไป เป็นเพราะบทลงโทษไม่น่ากลัว ไม่มีความชัดเจนในบทลงโทษ การที่จะทำให้คนไทยกลัวโทษเมาแล้วขับได้ จะต้องไม่ใช่แค่มีมาตรการเป็นตัวหนังสือ แต่การปฏิบัติต้องมีความชัดเจน ให้ได้เห็นกันชัด ๆ ว่า “จับจริง ปรับจริง” ดังนั้น เพื่อยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนน ประเทศไทยจึงได้ปรับปรุงกฎหมายเมาแล้วขับฉบับใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมานี้เอง
บทลงโทษตามกฎหมายฉบับใหม่นี้ค่อนข้างรุนแรงและน่ากลัวขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับสถิติการเกิดอุบัติเหตุที่สูงขึ้น และบทลงโทษก็จะขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของผลที่เกิดขึ้นต่อผู้อื่น แต่…ในทางปฏิบัติ เมาแล้วขับก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนอยู่เสมอ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ฐานความผิดเมาแล้วขับ โทษน่ากลัวแค่ไหน
พ.ร.บ. จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เป็นกฎหมายฉบับล่าสุดที่มีการปรับเปลี่ยนสาระสำคัญของฐานความผิดเมาแล้วขับ โดยมีการเพิ่มโทษให้หนักขึ้น เพื่อหวังยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่ถือว่าผิดกฎหมาย (เท่าไร = เมาแล้วขับ)
- 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ขับขี่บุคคลทั่วไป
- 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี, ผู้ที่ไม่มีใบขับขี่, ผู้ที่มีใบขับขี่ชั่วคราว (แบบ 2 ปี), ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกพักหรือถูกเพิกถอนใบขับขี่ หรือผู้ที่มีใบขับขี่รถประเภทอื่น ซึ่งใช้แทนกันไม่ได้
กรณีเมาแล้วขับ โดยไม่มีอุบัติเหตุ
- ทำผิดครั้งแรก จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
- ทำผิดซ้ำอีกภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรกซึ่งอยู่ในช่วงคาดโทษ เพิ่มโทษจำคุกเป็นไม่เกิน 2 ปี ปรับตั้งแต่ 50,000-100,000 บาท และถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
เมาแล้วขับ จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ ทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย
- ได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ จำคุก 1-5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่ต่ำกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
- ได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัส จำคุก 2-6 ปี หรือปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่ต่ำกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
- ถึงแก่ความตาย จำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ทันที
การปฏิเสธการเป่าวัดแอลกอฮอล์ แค่ไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ก็มีโทษเท่าเมาแล้วขับ โดยกฎหมายจะถือว่าเป็นการยอมรับว่าเมาแล้วขับโดยปริยาย และมีบทลงโทษคือ
- ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานที่สั่งทดสอบ ปรับครั้งละไม่เกิน 1,000 บาท
- ฝ่าฝืนไม่เป่า ให้สันนิษฐานว่าเมาแล้วขับ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
กฏหมายน่ากลัว แต่คนกลับไม่ค่อยกลัว
หากพิจารณาบทลงโทษในฐานความผิดเมาแล้วขับแล้ว จะเห็นว่าค่อนข้างรุนแรงเลยทีเดียว อย่างไรก็ดี ทั้งที่บทลงโทษหนักหน่วงขนาดนี้ แต่ข้อสังเกตก็คือ “คนไม่ได้รู้สึกกลัว” เท่าไรนัก ทุกคนรู้ว่ามีกฎหมายลงโทษในความผิดนี้ แต่แล้วยังไงล่ะ? คนอาจจะดูกลัวมากขึ้นเล็กน้อยในช่วงที่มีข่าวประกาศใช้กฎหมายใหม่แรก ๆ เท่านั้น ดังที่เราจะเห็นว่าปัญหาเมาแล้วขับในประเทศไทยยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหลายครั้ง ผู้กระทำความผิดเป็นคนดัง เป็นคนมีชื่อเสียงในสังคมด้วย
จริง ๆ ถ้าเราพยายามหาสาเหตุว่าทำไมคนถึงไม่ค่อยกลัวโทษเมาแล้วขับ ทั้งที่อัตราโทษค่อนข้างรุนแรง จะพบว่ามีสาเหตุที่อธิบายได้หลายข้อ แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือ “ตัวกฎหมายเข้มข้น แต่การบังคับใช้ไม่เข้มเท่า” บทลงโทษน่ากลัว แต่การบังคับใช้จริงไม่ได้ทำให้คนรู้สึกกลัวจนไม่กล้าทำผิด สำหรับคนบางกลุ่ม กฎหมายก็เป็นแค่กระดาษ ยิ่งถ้าบุคคลนั้นไม่ได้มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม แถมยังเป็นคนมีอำนาจ มีอิทธิพล เรื่องมันอาจลุกลามไปกันใหญ่ได้ เพราะนั่นจะเกี่ยวข้องกับผู้ที่ต้องทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายทันที หากไม่ทำให้กฎหมายถูกบังคับใช้กับทุกคนอย่างแท้จริง
นี่เป็นสาเหตุคร่าว ๆ ที่พอจะอธิบายได้ว่า ทำไมคนถึงไม่ค่อยเกรงกลัวโทษเมาแล้วขับเท่าไรนัก
- การบังคับใช้กฎหมายยังไม่เข้มข้นพอ ตั้งแต่การตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ ที่การสุ่มตรวจอาจหลุดบางคันที่เมาเล็กน้อยไป และที่สำคัญที่สุด คือการที่คนบางกลุ่มสามารถหลีกเลี่ยงการจับกุมได้ด้วยอิทธิพลหรืออำนาจบางอย่าง โดยได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่บางคน ถึงจะส่วนน้อย แต่ก็มีอยู่จริง หรือการใช้ระบบบันทึกคะแนนความประพฤติของผู้ขับขี่ (ระบบเก็บแต้มใบขับขี่) การหักแต้มหลังกระทำความผิดก็ยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรมมากนัก โดยฐานความผิดเมาแล้วขับ จะมีการตัด 4 คะแนน (จากทั้งหมด 12 คะแนน) ทว่าคะแนนที่ถูกตัดไปในแต่ะครั้ง จะได้รับคืนเมื่อครบกำหนด 1 ปี นับแต่วันกระทำผิดครั้งนั้น ๆ
- การบังคับใช้กฎหมายไม่ต่อเนื่อง/ไม่จริงจัง การตรวจวัดแอลกอฮอล์และการจับกุมคนเมาแล้วขับนั้น มักจะเข้มงวดเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ เช่น ปีใหม่และสงกรานต์ แต่ในช่วงเวลาปกติการบังคับใช้กฎหมายอาจไม่เข้มข้นเท่าที่ควร ด่านตรวจไม่ได้มีบ่อย โดยที่ด่านตรวจหลายด่านก็อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเดิมหรือเดิม ๆ ถึงจะมีการสับเปลี่ยนตำแหน่งบ้าง แต่ก็เดาได้ไม่ยากถ้าวางแผนมาก่อน แค่รู้ทางหนีทีไล่ก็ไม่เจอด่านตรวจ ทำให้ผู้ขับขี่บางส่วนเห็นว่ามีโอกาสที่จะรอดพ้นจากการเจอด่าน
- ความมั่นใจแบบผิด ๆ ของบุคคล มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองแบบผิด ๆ ว่าแอลกอฮอล์แค่นี้ไม่เมา ที่ดื่มเข้าไปนั้นยังห่างไกลจุดเมาของตัวเอง ในเมื่อไม่เมาก็หมายความยังมีสติมากพอที่จะควบคุมการขับขี่ได้ หรือแม้แต่คิดว่าระยะทางมันไม่ได้ไกล ด่านตรวจแถวนี้ก็ไม่เคยเห็น คงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก ซึ่งความเชื่อที่ว่าตัวเองไม่เมา สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย และไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องอันตรายร้ายแรงอะไรหากขับขี่ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น คือความประมาทที่สร้างความสูญเสียมานักต่อนักแล้ว
- ความรับผิดชอบต่อสังคมต่ำ คนจำนวนไม่น้อยยังขาดจิตสำนึกร่วมกันในสังคม ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ว่าการเมาแล้วขับนั้นไม่ใช่แค่ผิดกฎหมาย แต่ยังเป็นภัยต่อผู้อื่นที่ร่วมใช้ท้องถนนอย่างร้ายแรง
- วัฒนธรรมการดื่ม การดื่มสังสรรค์ในสังคมไทยเป็นเรื่องปกติและมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของหลาย ๆ คน เป็นกิจกรรมที่สร้างความบันเทิงหลังเลิกงานได้เป็นอย่างดีในทุก ๆ วัน และนั่นก็ทำให้การหลีกเลี่ยงที่จะขับรถหลังดื่มเป็นเรื่องยากสำหรับคนบางกลุ่ม ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็มักจะมีความมั่นใจแบบผิด ๆ และมีความรับผิดชอบต่อสังคมต่ำด้วย แถมที่ผ่านมาก็ไม่เคยเจอด่านเลยสักครั้ง จึงไม่มีจิตสำนึกว่าถ้าดื่มเมื่อไรต้องไม่ขับ ต่อให้ดื่มไปแค่นิดเดียว หรือยังไม่ถึงจุดที่เรียกว่าเมาของตัวเองก็ตาม





























