เมื่อโซเชียลมีเดีย เผชิญกับวิกฤติ Post Zero

ปัจจุบันคุณผู้อ่านเสพข่าวสารจากสื่อประเภทไหนกันบ้างคะ เชื่อว่าเกินครึ่งจะตอบว่าจากเพจเฟซบุ๊ก เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด ส่วนจะเป็นเพจเฟซบุ๊กที่สร้างขึ้นมาเล่าข่าวหรือเพจเฟซบุ๊กของสำนักข่าว คงสุดแท้แต่ความชอบส่วนตัว สำหรับผู้เขียนที่ทำงานอยู่ในแวดวงสื่อ ขออ่านข่าวมากขึ้นหน่อยจากแอปพลิเคชันของสำนักข่าวต่างประเทศ ทั้งบีบีซี ซีเอ็นเอ็น และอัลจาซีรา เพื่อให้มิติของสถานการณ์ข่าวที่ได้รับนั้นมีมุมมองที่หลากหลาย ขณะเดียวกัน แอปพลิเคชันของสำนักข่าวต่างประเทศเหล่านี้ยังอัปเดตสถานการณ์ได้รวดเร็วทันใจพอสมควร

ทีนี้ทำไมผู้เขียนถึงได้ถามถึงวิธีการเสพข่าวของคุณผู้อ่าน ประการแรก เพราะผู้เขียนอยากรู้ว่าคุณผู้อ่านสังเกตกันบ้างหรือไม่ ว่าปัจจุบันนี้บนหน้าฟีดในโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม เราเริ่มเห็นเนื้อหาของคนที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนน้อยลง แต่กลับเห็นคอนเทนต์จากแบรนด์สินค้าและเหล่าอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น กลายเป็นว่าจากที่ตื่นมาเปิดแอ็กเคานต์โซเชียลมีเดียของตนเอง กลับพบกับหน้าฟีดที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่ได้อยู่ในความสนใจ ในขณะที่โพสต์ของเพื่อนสนิทกลับนาน ๆ โผล่มาที

หากจะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการจัดระเบียบโดยอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียก็คงไม่น่าแปลกใจนัก แต่อีกหนึ่งเหตุผล อันมาจากความรู้สึกไม่อยากแชร์โลกส่วนตัวบนพื้นที่โซเชียลมีเดีย รวมไปถึงการจัดระบบของอัลกอริทึม ทำให้ความรู้สึกสนใจในสื่อสังคมออนไลน์น้อยลงคงไม่ผิดนัก เพราะโซเชียลมีเดียในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิมมาก

จากที่การโพสต์บนโซเชียลมีเดีย เคยทำให้ผู้ใช้งานเสพติดการสำเร็จความใคร่ทางอารมณ์ผ่านการกดไลก์ กดแชร์ และแสดงความคิดเห็น กลับกลายเป็นว่าวิธีการดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาที่ส่งผลต่อสภาวะทางจิตใจของผู้ใช้งานมากขึ้น และทำให้หลายรัฐบาลในหลายประเทศกำหนดการใช้โซเชียลมีเดียอย่างเข้มงวด ประกอบกับคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในเจเนอเรชันซี (Gen Z) รักความเป็นส่วนตัว และสนใจกับการใช้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงมากกว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในปัจจุบันโดยเฉพาะในเฟซบุ๊ก จึงกลายเป็นศูนย์รวมของเหล่า Boommer, Gen X และ Gen Y

ทั้งนี้มีรายงานจากสื่อในต่างประเทศระบุว่า สำหรับผู้ใช้ทั่วไป การเลือกจะโพสต์น้อยลงหรือเลิกโพสต์ ไปโฟกัสการสื่อสารแบบส่วนตัว (เช่น ส่งข้อความกับเพื่อน/ครอบครัว) อาจดูเป็นทางเลือกที่ “สุขภาพจิตดีขึ้น” และนับเป็นการการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เลิกเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ ส่งผลให้เนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในแพลตฟอร์มจึงกลายเป็น คอนเทนต์จากแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์ อันหมายความว่าการเข้าถึงหรือการมีส่วนร่วม (engagement) ที่ลดลงจากผู้ใช้งาน

และแน่นอนว่าอีกไม่นาน เราคงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงบนแพลตฟอร์ม เพราะการที่ผู้ใช้งานลดการโพสต์ส่วนตัวลง เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่าวัฒนธรรมการแชร์ชีวิตและแชร์ตัวตน ซึ่งเกิดขึ้นนับตั้งแต่โลกใบนี้รู้จักกับโซเชียลมีเดีย จะเปลี่ยนไป และแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อวิธีที่คนเชื่อมต่อหรือสื่อสารกันบนโลกออนไลน์ ส่วนจะเป็นเครื่องมือประเภทใดนั้น คงต้องรอดูกันต่อไป

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า