The Dream Life of Mr. Kim ความสำเร็จที่แท้จริง อาจอยู่เหนือนิยามสูตรสำเร็จ

ภาพจาก FB: JTBC Drama

คอลัมน์ชะนีติดซีรีส์หายไปหนึ่งสัปดาห์ด้วยความจำเป็น จากเหตุการณ์ที่ทุกคนน่าจะทราบกันดีแล้ว กลับมาเจอกันอีกครั้งในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2568 ที่เรียกได้ว่าเป็นปีที่ผ่านไปเร็วโคตร ๆ เร็วชนิดที่ว่านี่ยังจำคืนวันที่ 31 ธ.ค. 67 ได้อยู่เลยว่า “หลับข้ามปี” เสียงพลุดังบึ้มบั้มทั้งเมืองยังไม่สามารถปลุกให้ดิฉันตื่นได้ แถมตื่นขึ้นมาอีกทีคือเวลา 00.36 น. ของวันที่ 1 ม.ค. 68 ตลาดการเฉลิมฉลองข้ามปีวายไปแล้ว เสียงพลุเงียบกริบ เรียกได้ว่าเป็นปีที่เสียดายมากที่ไม่ได้ดูพลุปีใหม่จากหลังบ้าน! ปีนี้ไม่เอาแล้วนะ ง่วงแค่ไหนก็จะนั่งถ่างตารอดูพลุปีใหม่!

กลับมาที่ซีรีส์ของเรากันดีกว่า ย่อหน้าที่ผ่านมาพูดถึงปีใหม่ใช่ไหม แต่สิ่งที่มาพร้อมปีใหม่คืออายุของเราที่จะถูกบวกเพิ่มไปอีก 1 ปี นานวันเข้ามันก็ชวนใจหายแล้วก็ทำให้มานั่งตระหนักว่าเวลานี้เราทำอะไรอยู่ มีความสุขได้อย่างที่ตั้งปณิธานขอพรช่วงปีใหม่แล้วหรือยัง พอได้คำตอบที่ไม่ถูกใจมันก็ชวนหดหู่ใจ แต่ซีรีส์ในวันนี้ดันมาเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับคำถามนี้ ว่าความสุขที่เราคาดหวังว่ามันจะต้องจับต้องได้ทั้งชื่อเสียง ตำแหน่ง เงินทอง หรือความสัมพันธ์ของใครสักคนที่อยู่ข้าง ๆ แท้จริงเรามีความสุขแล้วจริงหรือเปล่า

แต่ก่อนอื่นขอเตือนก่อนว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่เป็นกระแสในไทยเลย อาจมีคอซีรีส์ชาวไทยดูซีรีส์เรื่องนี้น้อยมากก็ได้ ไม่เห็นมีใครพูดถึงในโซเชียลมีเดียเลยด้วยซ้ำ นี่ไถ Netflix เรื่อยเปื่อยแล้วเจอเลยลองเปิดดู เอาจริงมันไม่ใช่ซีรีส์ที่หวือหวา แถมการเล่าเรื่องในช่วงอีพีแรกก็ค่อนข้างน่าเบื่อไปนิด แต่ก็เข้าใจได้นะ เพราะเนื้อเรื่องในซีรีส์มันเลียนแบบมาจากชีวิตมนุษย์ออฟฟิศทั่วไปที่ส่วนใหญ่มันก็ค่อนข้างจะน่าเบื่อในทุกวัน ตื่นเช้าไปทำงาน, นั่งทำงาน, ง่วงนอน, ลุกไปหากาแฟดื่ม, กลับมาทำงาน, รอเวลาเลิกงาน, กลับบ้าน, นอนดึก แบบนี้วนไปไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไร (แต่เชื่อเถอะว่าหลายคนยอมทำงานแบบน่าเบื่อทุกวัน ไม่ค่อยอยากเจอเรื่องตื่นเต้น หัวใจจะวาย)

ภาพจาก IG: jtbcdrama

The Dream Life of Mr. Kim (ชื่อไทยใน Netflix ชีวิตในฝันของคุณคิม) เล่าเรื่องราวของ “คิมนักซู” หรือคุณคิม ชายวัยกลางคนที่มีตำแหน่งงานเป็นผู้จัดการทั่วไปในบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของเกาหลี เขาทำงานที่นี่นาน 25 ปี ค่อย ๆ ไต่เต้ามาจากการเป็นพนักงานขายและการปฏิบัติงานที่ยอดเยี่ยม เขาวางตัวดีเสมอเมื่อต้องเข้าพบหัวหน้าหรือออกไปเจอลูกค้า แม้ว่ากับลูกน้องเขาอาจดูเป็นหัวหน้าที่แปลก ๆ อยู่บ้าง แต่นั่นก็ทำให้เขาไม่เคยพลาดการเลื่อนตำแหน่งเลยนับตั้งแต่เข้ามาทำงาน และโอกาสสูงสุดของเขาก็กำลังจะเป็นจริง เขากำลังจะได้เลื่อนขั้นไปสู่ผู้บริหารในปีหน้า ชีวิตของเขาจึงดูสมบูรณ์แบบทุกอย่างตามสูตรสำเร็จของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

ไม่ใช่แค่หน้าที่การงานที่เจริญก้าวหน้า แต่ชีวิตครอบครัวของเขาก็ดูสมบูรณ์พูนสุขไม่แพ้กัน เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีภรรยาเป็นแม่บ้านที่พึ่งพาได้ เธอคอยช่วยเหลือและสนับสนุนครอบครัวอย่างสุดพลังมาตลอดชีวิตการแต่งงาน ขนาดโดนสามาีพูดแรง ๆ ใส่อยู่บ้างก็ยังไม่เคยแสดงอาการไม่พอใจ (เว้นแต่ตอนที่โดนตวาดใส่เรื่องซื้อบ้าน ที่ทำให้เห็นว่าถ้าเธอเด็ดขาดขึ้นมาเธอก็เป็นผูหญิงที่ก็น่ากลัวเหมือนกัน) ส่วนลูกชายคนเดียวก็เป็นเด็กหนุ่มผู้มีความสดใสร่าเริง เขาสอบติดมหาวิทยาลัยชั้นนำจนเป็นหน้าเป็นตาให้พ่อแม่ได้ แถมยังเป็นลูกในฝันของพ่อแม่หลาย ๆ คน เพราะเขาคือเด็กดีที่เชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่าง ให้ทำอะไรก็ทำ ไม่เคยปฏิเสธ

ภาพจาก IG: jtbcdrama

อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จแล้วและดูน่าอิจฉาจากมุมคนนอก แท้จริงแล้วเป็นตัวของคุณคิมเองต่างหากที่กำลังอิจฉาคนอื่น ๆ เขาเริ่มค้นพบว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่มันทะแม่ง ๆ แต่ด้วยอีโก้ เขายังเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และดีกว่าชีวิตคนอื่น และนั่นแหละที่ทำให้ชีวิตของคุณคิมสั่นคลอน ทุกอย่างมันเริ่มพลิกผันทั้งหน้าที่การงานและครอบครัว เขากำลังสูญเสียมันไปทีละอย่าง จากเหตุการณ์นี้ทำให้เขาเริ่มออกตามหาความหมายใหม่ของชีวิตว่าอะไรคือสิ่งที่เขาภูมิใจ อะไรคือสิ่งที่ตัวเองควรยึดถือ ที่สำคัญ ความสุขที่แท้จริง มันคือทุกสิ่งที่เขาเคยครอบครองหรือไม่ ไอ้การเป็นผู้จัดการในบริษัทใหญ่? เป็นหัวหน้าครอบครัวที่เพอร์เฟกต์? หรือการมีบ้านในโซล มีรถหรูขับ?

ใช่ ผมวิ่งห้อมาเพราะได้เป็นรองหัวหน้าห้อง แล้วไง หา ตอนนี้ได้เป็นกรรมการผู้จัดการด้วยนะพี่ เดี๋ยวก็ได้เป็นผู้บริหารแล้ว

ภาพจาก IG: jtbcdrama

แค่เปิดอีพีแรกมา ก็พอจะเห็นเค้าลางชัดแจ๋ว (ยิ่งกว่าอนาคตตัวเองซะอีก 555) แล้วล่ะว่าตัวละครหลักของเรื่องนี้อย่าง “คุณคิม” จะต้องเติบโตมาแบบมีปมบางอย่างแน่ ๆ จากฉากแรกที่เปิดเรื่องมา เล่าเหตุการณ์การเลือกหัวหน้าห้องในชั้นเรียน สมัยที่คุณคิมยังเป็นเพียง “เด็กชายคิม” ถึงแม้ว่าเด็กชายคิมจะถูกเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งหัวหน้าห้องร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นอีกคน แต่ท้ายที่สุด เด็กชายคิมไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าห้อง และตำแหน่งที่เขาต้องรับมาโดยปริยายจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ก็คือ ตำแหน่งรองหัวหน้าห้องนั่นเอง ในวินาทีที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ เด็กชายคิมนั่งหน้าเสียเหมือนคนที่อยากจะร้องไห้เต็มแก่ นั่งก้มหน้าคอตก และแสดงอาการผิดหวังอย่างปิดบังไม่อยู่

แต่ไม่นานเขาถึงค่อยยิ้มออก เมื่อเพื่อนนักเรียนส่วนหนึ่งที่เชียร์เขาอยู่ตะโกนแสดงความยินดี ให้กำลังใจ และภูมิใจที่ชั้นเรียนนี้มีเขาเป็นรองหัวหน้าห้อง ด้วยความดีใจ เขารีบวิ่งกลับบ้าน ในมือถือใบแต่งตั้งกลับมาด้วย แหกปากร้องเรียกแม่ตั้งแต่หน้าปากซอย เพราะตั้งใจที่จะเอาตำแหน่งรองหัวหน้าห้องมาอวดแม่ แต่เขากลับถูกพี่ชายที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวช็อตฟีลอย่างแรง ยิ้มมุมปากใส่ และคีบอาหารกินก่อนใครเพื่อน ว่าที่วิ่งตาลีตาเหลือกแหกปากเรียกแม่มาแต่ไกล แค่เพราะดีใจที่ได้เป็นรองหัวหน้าห้องเนี่ยนะ เด็กชายคิมหน้าสลดลงทันใด กระดาษที่อยู่ในมือถูกขยำ สายตาแสดงออกชัดเจนว่าทั้งโกรธทั้งแค้นพี่ชาย

ภาพจาก JTBC

“ใช่ ผมวิ่งห้อมาเพราะได้เป็นรองหัวหน้าห้อง แล้วไง หา ตอนนี้ได้เป็นกรรมการผู้จัดการด้วยนะพี่ เดี๋ยวก็ได้เป็นผู้บริหารแล้ว” เป็นคำพูดของคุณคิมในวัยผู้ใหญ่ เขาพูดออกมาตอนที่กำลังแต่งตัวเตรียมไปทำงาน ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็เหลือบมองไปที่รูปถ่ายครอบครัว อันมีตัวเขา แม่ และพี่ชายอยู่ในรูป ดังนั้น มันจึงค่อนข้างชัดเจนว่าคนที่เขาพูดประโยคดังกล่าวด้วย คือพี่ชายของเขาที่อยู่ในรูปนั่นแหละ จากน้ำเสียงเขาต้องการอวดให้พี่ชายรู้ว่าในเวลานี้ เขา “เหนือกว่า” และคำพูดที่พี่ชายของเขาไม่ได้ยิน มันก็เป็นคำพูดในเชิงตอบโต้พี่ชาย ที่เขาจำฝังใจว่าเคยแสดงอาการดูถูกดูแคลนเขาในวัยเด็ก นี่แหละคือการแก้แค้นในแบบของเขา

ภาพจาก JTBC

และจากคำพูดดังกล่าว ดูเหมือนว่าตัวคุณคิมเองจะพยายามใช้เวลาทั้งชีวิตในการพิสูจน์คุณค่าของตัวเองมาโดยตลอด คำพูดนั้นมันแสดงถึงความภูมิใจในความสำเร็จของตนเอง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็แฝงไปด้วยความรู้สึกสะใจที่ได้เอาชนะคำดูถูกหรือเคยถูกสงสัยในคุณค่า เขาได้พิสูจน์และยืนยันในคุณค่าของตัวเองแล้ว ว่าความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ในวัยเด็กของเขานั้น ในวันนี้มันได้นำพามาซึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เวลานี้มันมาได้ครึ่งทางแล้ว แต่มันก็กำลังจะไปได้ไกลกว่านี้ เพราะความสำเร็จสูงสุดที่เขาตั้งเป้าไว้ หรือก็คือตำแหน่งผู้บริหารในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เขาทำงานอยู่ มันอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น

ภาพจาก JTBC

พอจะรู้แล้วใช่ไหมว่าปมด้อยของคุณคิมคืออะไร? เขาต้องการเป็นที่ยอมรับไง จากเรื่องราวในอดีตที่ถูกเปิดเผยมาน้อยนิด เด็กชายคิมเติบโตมาแบบไม่เคยได้รับการยอมรับในความมุ่งมั่น เคยถูกดูหมิ่นดูแคลนในความพยายาม และไม่แน่ว่าตัวเขาเองน่าจะโตมาแบบที่ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นมาโดยตลอดด้วยก็เป็นได้ เพราะเขาแสวงหาการยอมรับ กระตือรือร้นที่จะพิสูจน์ตัวเองอยู่เสมอแม้ว่าบางเรื่องจะดูไม่จำเป็น หลงใหลอยู่กับภาพชีวิตในฝันที่ต้องประสบความสำเร็จ ชื่นชอบการถูกมองว่าสมบูรณ์แบบ การที่เคยถูกสบประมาทจากพี่ชาย การถูกเปรียบเทียบ ถูกด้อยค่าในความทุ่มเทและความสำเร็จเล็กน้อย เป็นแรงขับเคลื่อนให้เขาทำอะไรสุดโต่งได้เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ “กลวง ๆ”

นายเป็นผู้จัดการทั่วไปนะ ผู้จัดการทั่วไปในบริษัทยักษ์ใหญ่ ช่วยคิดใหญ่ทำใหม่ให้ดีกว่านี้หน่อยเถอะ ฉันพูดอย่างนี้ เพราะหวังดีกับนายนะ

เงาของความซวยเริ่มมาเยือนคุณคิม หลังจากที่เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของคุณคิมถูกกำจัดออกจากสำนักงานใหญ่ไม่สำเร็จ ทำให้เหยื่อรายต่อไปที่จะถูกไล่บี้ ก็คือคนที่ไม่มีผลงานเด่นหรือผลงานชูโรงที่น่าพึงพอใจมาสักพักแล้วอย่างทีมของคุณคิมนั่นเอง อันนี้แนะนำว่าต้องลองไปเปิดซีรีส์ดูเอาเอง แล้วจะเห็นว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดสุด ๆ ดูในซีรีส์ยังกระอักกระอ่วนขนาดนี้ นึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าเจอของจริงขึ้นมาจะรับมือยังไง แล้วว่ากันตามจริงนะ คนเราถ้ามีความเฉลียวใจสักหน่อย มันควรจะสงสัยได้แล้วไหมว่าหัวหน้าไปรู้อะไรมา ถึงเรียกเราไปพูดด้วยแบบนี้ โดยเฉพาะคำที่ว่า “ฉันพูดอย่างนี้ เพราะหวังดีกับนายนะ” เนี่ย เป็นนี่ได้ยินนะ เก็บกลับมาคิดจนประสาทกินไปแล้ว

ภาพจาก JTBC

ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนจริง ๆ นะ จะบอกว่าไอ้สิ่งที่ภรรยาและลูกของคิมคิด ๆ ไว้เนี่ย ถูกเผงไม่มีผิดเพี้ยนเลย อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าตัวคุณคิมเป็นพวกที่หลงใหลอยู่กับภาพชีวิตในฝันที่ต้องประสบความสำเร็จ ชื่นชอบการถูกมองว่าสมบูรณ์แบบ ตัวเขาพยายามเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี มีชีวิตการทำงานและครอบครัวที่สมบูรณ์พูนสุข ให้ภรรยาเป็นแม่บ้านไม่ยอมให้ไปทำงานนอกบ้าน ซึ่งเธอก็เป็นทั้งเมียและแม่ที่พึ่งพาได้ คอยสนับสนุนทุกคนในบ้านอย่างสุดพลัง มีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียว (ที่มีลูกคนเดียวนี่ก็น่าคิดว่าอาจมาจากปมที่เคยโดนเปรียบเทียบ) มีรถหรูขับ ซื้ออะพาร์ตเมนต์ในโซล มีเงินเก็บระดับหนึ่ง ส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยได้ โดยที่เขาเชื่อหมดใจว่ามันคือความยิ่งใหญ่

ความซวยที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่คุณคิมมั่นใจในความยิ่งใหญ่ของตัวเองมากเกินไป รวมถึงประเมินตัวเองสูงเกินไปจนมองไม่เห็นความเสี่ยง ตัวเขาเข้าใจว่าตัวเองประสบความสำเร็จในระดับสูงแล้ว และยังสามารถไปต่อได้อีก (กำลังจะเลื่อนขั้นเป็นผู้บริหาร) นี่เองกับดัก เขาเริ่มบิดเบือนไปสู่ความทะนงตัวและเริ่มหยุดนิ่ง ประมาทในการใช้ชีวิตและขาดการพัฒนา เขาเชื่อว่าตัวเองเก่ง มากด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ ประสบการณ์ หลงอยู่กับความสำเร็จในอดีตที่เข้าใจว่ามากพอที่จะเป็นหลักฐานของความเก่งกาจ จนไม่เห็นความจำเป็นในการพัฒนาตัวเอง ไม่ฟังคำวิจารณ์ใครที่เขาเห็นว่าด้อยกว่า อิจฉาแต่ยังคิดไม่ได้ ว่าเพราะอะไรรุ่นน้องรุ่นใหม่ถึงเริ่มแซงหน้าเขาไปหมดแล้ว

ภาพจาก JTBC

ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ การที่เขาไม่แม้แต่จะฟังในสิ่งที่ภรรยาของตัวเองกังวล และสิ่งที่ลูกชายมองเห็นจากการเป็นคนรุ่นใหม่ ภรรยาของเขาตระหนักดีว่าชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอน เธอพยายามหาวิธีพัฒนาตัวเอง ลงเรียนคอร์สต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความรู้ ให้ความสำคัญกับการวางแผนชีวิตหลังเกษียณของสามี พยายามทำทุกอย่างเท่าที่ตัวเองจะทำได้เพื่อช่วยเหลือครอบครัวให้ได้มากกว่าการเป็นแม่บ้าน ล่าสุดคือลงทะเบียนเรียนเพื่อเตรียมสอบใบอนุญาตเป็นหน้าหน้าอสังหาริมทรัพย์ ทั้งหมดก็เพื่อให้ยังสามารถค้ำยันครอบครัวอยู่ได้หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมา แต่เขากลับเข้าใจว่าเธอดูถูกเขา ไม่เชื่อใจว่าเขาจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่หาเลี้ยงครอบครัวด้วยตัวคนเดียวได้

ส่วนลูกชายที่เคยยอมทำตามทุกอย่างที่พ่อบอกให้ทำ ไม่เคยปฏิเสธอะไรที่พ่อแม่ให้ทำตลอด 20 ปีที่ผ่านมา แถมยังต้องมานั่งฟังพ่อพูดกรอกหูทุกเช้าทุกเย็นเย็นว่าชีวิตคนเราจะประสบความสำเร็จได้ คือการต้องได้ทำงานในบริษัทใหญ่เท่านั้น การหาเงินด้วยวิธีอื่นคือผิดหมด แถมเขายังพยายามเขียนแผนที่ให้ลูกเดินตามแบบเป๊ะ ๆ แต่ใจเด็กมันไม่เอาอะไรแล้ว ลูกก็มีความฝันที่อยากจะเดินบนเส้นทางที่ตัวเองเลือกเอง เด็กมันอยากเป็นอะไรสักอย่างที่นอกเหนือจากที่พ่อแม่บอกให้เป็น ยิ่งล่าสุด การได้เจอกับกลุ่มเพื่อนคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ เด็กเรียนเมืองนอก ก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะท้าทายตัวเอง ท้าทายกรอบของพ่อ และท้าทายพ่อของเขา

ภาพจาก JTBC

สปอยล์ไว้สักนิดว่าตามเนื้อเรื่อง หัวหน้าของคุณคิมซึ่งมีตำแหน่งผู้อำนวยการ ถูกผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบุคคลขอให้ตัดสินใจบางอย่างเกี่ยวกับอนาคตของตัวคุณคิมและทีมของคุณคิม แต่ด้วยความที่สองคนนี้สนิทสนมกันในระดับหนึ่ง เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ทำงานด้วยกันมานานถึง 25 ปี (นับตามอายุงานของคุณคิม) ตัวหัวหน้าเองก็คงลำบากใจไม่น้อยถ้าจะต้องพูดตรง ๆ กับคุณคิม ว่าคุณคิมกำลังจะตกที่นั่งลำบากในอีก 5 4 3 2 1… เขาเลยใช้วิธีเรียกมาตำหนิและตักเตือนอ้อม ๆ แทน ตัวคุณคิมแม้จะพอรู้ว่าตัวเองอาจเดือดร้อน แต่คงไม่ได้คาดคิดเอาไว้แน่ ๆ ว่าเรื่องราวมันจะเลวร้ายกว่าที่คิด จุดนี้นี่เองที่จะนำมาซึ่งความสูญเสียทุกสิ่งอย่างที่สมบูรณ์แบบในชีวิตของเขา

ถึงมันจะดูเป็นซีรีส์ที่ดูน่าเบื่อไปหน่อย แต่ส่วนตัวมองว่า The Dream Life of Mr. Kim เป็นซีรีส์ที่สะท้อนชีวิตของหมู่เราชาวมนุษย์ออฟฟิศเป็นอย่างดี ทำให้เห็นว่าชีวิตของมนุษย์เงินเดือนนั้นต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถสั่นคลอนได้เมื่อเราให้คุณค่ากับความสำเร็จที่จับต้องได้รวมถึงความสมบูรณ์แบบ “แบบกลวง ๆ” ที่เน้นแสดงให้คนนอกเห็นมากเกินไป เหมือนคุณคิมที่ติดกับดักนิยามความยิ่งใหญ่ที่เขานิยามเอง จนหลงเชื่อว่าตัวเอง “ประสบความสำเร็จแล้ว” และไม่เคยวางแผนล่วงหน้าว่าถ้าทุกอย่างพัง เขาจะต้องรับมือกับมันอย่างไรในวันที่ตัวเองอยู่ในวัยใกล้เกษียณแบบนี้ ยังละเมอเพ้อพกถึงเรื่องเลื่อนขั้นเป็นผู้บริหารอยู่เลยเนี่ย+

ภาพจาก IG: jtbcdrama

ส่วนตัวชอบนะ ที่เรื่องนี้เล่าชีวิตที่พลิกผันของตัวละครคุณคิมที่อยู่ในวัยกลางคน 50+ ปี เพราะมันเป็นช่วงเวลาของชีวิตที่ไปต่อก็ยาก ถอยหลังก็ไม่ได้ ไม่เหมือนพวกหนุ่มสาว ที่สำคัญเขายังแบกชีวิตของครอบครัวเอาไว้บนบ่า ครอบครัวที่เขาพยายามทะนุถนอมเพื่อแสดงความเป็นหัวหน้าครอบครัวที่เพอร์เฟกต์ ไม่ให้เมียทำงานนอกบ้าน วางแผนชีวิตให้ลูกทุกอย่างเพราะเข้าใจว่ามันจะทำให้ลูกของเขาไม่ลำบาก ทว่าเวลานี้ทุกอย่างถูกท้าทายทั้งหมด ตำแหน่งงานสั่นคลอน รุ่นน้องวิ่งแซงหน้า ทำงานผิดพลาดครั้งใหญ่ บริษัทที่ตัวเองนับถือเริ่มหันหลังให้ แถมลูกเมียก็ไม่อยู่ในโอวาท หรือมันถึงเวลาแล้วที่เขาต้องค้นหาความหมายใหม่ให้ชีวิต ว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริง🏆