จะเกิดอะไรขึ้น หากเราต้องอยู่ในภาวะสงคราม!

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ มีสถานการณ์บริเวณชายแดนฝั่งตะวันออกของบ้านเราที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกกังวลใจว่า ความรุนแรงมันจะทวีคูณขึ้นจนนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “สงคราม” หรือเปล่า แน่นอนว่าในความเป็นจริง สงครามไม่ได้เกิดขึ้นง่ายขนาดนั้น และที่สำคัญคือ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในเวลานี้ ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลยที่จะทำให้มีสงครามเกิดขึ้น เพราะมันจะนำมาซึ่งความเสียหายและบอบช้ำอย่างมากหากต่างฝ่ายต่างมีความคิดที่จะทำสงคราม

แต่อาจเพราะกระแสความรักชาติหรืออะไรก็ตามแต่ ก็ทำให้เกิดคำถามชวนคิดขึ้นมาว่า แล้วถ้าเราต้องอยู่ในภาวะสงครามกันขึ้นมาจริง ๆ เราจะอยู่ในสภาพไหนกัน ถ้าให้นึกภาพ หลายคนก็คงอิงได้จากละครหรือภาพยนตร์เท่านั้น เพราะคนไทยในปัจจุบันนี้ คนที่เคยเผชิญหน้าอยู่ในสงครามจริง ๆ เหลืออยู่น้อยมาก หรืออาจจะอ้างอิงได้จากหน้าข่าวสงครามที่เกิดขึ้นบนโลกในที่อื่น ๆ ถ้าอย่างนั้น เราลองมานึกภาพดูกันดีกว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากเราต้องอยู่ในภาวะสงคราม บางทีเราที่ไม่อยากให้เกิดสงครามอยู่แล้ว อาจจะไม่ต้องการให้เกิดสงครามยิ่งกว่าเดิมก็ได้ แต่ก่อนอื่น…

สงครามไม่ได้เกิดง่ายขนาดนั้น!

หากลองประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งกรณีพิพาทพรมแดนไทย-กัมพูชา ที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาด้วยสายตาของชาวบ้านตาสียายสาทั่วไป จะเห็นได้ว่าการปะทะกันรอบนี้มีความรุนแรงในระดับหนึ่งเลยทีเดียว และเมื่อพิจารณาจากท่าทีของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย รวมถึงการนำเสนอข่าวของสื่อต่าง ๆ ร่วมด้วย ที่เริ่มมีคอนเทนต์เกี่ยวกับการเปรียบเทียบกำลังพล และคอนเทนต์ที่ว่าด้วยระเบียบของกองทัพ ให้ความรู้กับชายไทยว่าใครมีสิทธิ์ถูกเรียกกำลังพลสำรอง กรณีมีสงคราม ก็ยิ่งสร้างความกังวลใจให้กับประชาชนเข้าไปอีก เพราะมันเริ่มเห็นภาพ “ความสุ่มเสี่ยง” ที่จะลุกลามกลายเป็น “สงคราม” ขึ้นมาจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม โดยพื้นฐานแล้ว “สงครามไม่ได้เกิดขึ้นง่ายขนาดนั้น” เพราะจริง ๆ แล้ว ไม่มีใครอยากให้เกิดสงคราม ทั้งผู้นำประเทศ ประชาชน หรือแม้แต่ทหารเอง ต่างก็ตระหนักดีถึงผลกระทบอันเลวร้ายที่จะตามมา บทเรียนของสงครามที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากหน้าประวัติศาสตร์ หรือกรณีตัวอย่างของสงครามที่กำลังเกิดขึ้นในบริเวณอื่น ๆ ของโลก ทำให้เห็นแล้วว่าสงครามนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทั้งชีวิตของผู้คน วิถีชีวิตที่ไม่อาจดำเนินไปได้ตามปกติอย่างที่เคยเป็น ความเสียหายทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญที่สุด คือบาดแผลทางจิตใจที่ไม่มีวันจางหายไปตราบเท่าที่เรายังหายใจ ไม่ว่าสงครามจะจบไปนานแค่ไหนแล้วก็ตาม

นอกจากนี้ โลกในยุคปัจจุบันมีการเชื่อมถึงกันด้วยเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ หากเกิดสงครามขึ้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำลายบ้านของตัวเองไปพร้อมกับบ้านของผู้อื่น และผลกระทบมันจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่คู่ขัดแย้งในสงครามเท่านั้น แต่จะสะเทือนไปทั่วโลกเหมือนโดมิโน มากน้อยแตกต่างกันไป ดังนั้น การเจรจาด้วยสันติวิธีและการใช้วิธีทางการทูตจึงเป็นทางเลือกแรกที่คู่ขัดแย้งจะพยายามใช้จนถึงที่สุดเสมอ โดยสงครามจะเป็นสถานการณ์สุดท้ายที่จะเกิดขึ้น เมื่อทุกหนทางตีบตันแล้วจริง ๆ หรือมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพิกเฉยหรือละเมิดข้อตกลงร่วมกัน

กว่าจะได้ผู้ชนะหรือผู้แพ้ ระหว่างทางของสงครามมีแต่ความสูญเสีย และปลายทางก็ทิ้งไว้แต่ความบอบช้ำที่บ่อนทำลายทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ เพราะฉะนั้น ในปัจจุบัน สงครามจะไม่ได้เกิดขึ้นง่ายขนาดนั้น ทั้งคู่ขัดแย้งเองที่มักจะพยายามเจรจาหาตรงกลางให้ได้ก่อน ทำข้อตกลงร่วมกันที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โดยอาจใช้กลยุทธ์ตั้งแต่ไม้อ่อนไปจนถึงไม้แข็ง คุณถอยเราถอย นอกจากนี้ ยังมีองค์กรระหว่างประเทศหรือองค์กรความร่วมมือต่าง ๆ ที่เข้ามาเป็นกลไกในการช่วยป้องกันและไกล่เกลี่ยปัญหา ก่อนที่มันจะไปถึงจุดที่ก่อให้เกิดสงครามด้วย

ชีวิตจะเปลี่ยนไปแน่นอน หากประเทศอยู่ในภาวะสงคราม

ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทยในปัจจุบัน แทบไม่มีใครเลยที่จะรู้ว่าเราต้องใช้ชีวิตกันอย่างไรหากประเทศไทยอยู่ในภาวะสงครามจริง ๆ มันจะเป็นภาพที่ไม่อาจจินตนาการได้อย่างแน่นอน สิ่งที่เห็นจากในละครหรือในภาพยนตร์ไม่อาจเทียบได้เลยกับชีวิตจริงที่เราต้องวิ่งหนีห่ากระสุนหรือหลบระเบิด ดังนั้น หากเราไปถึงจุดที่รัฐบาลประกาศว่าประเทศกำลังอยู่ในสภาวะสงครามจริง ๆ ล่ะก็ เราคงไม่ขลาดที่จะออกรบเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ หรือยอมเสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองไม่ได้ แต่เราจะเห็นถึงคุณค่าของสันติภาพและความสุขสงบที่เรามีอยู่ ณ เวลานี้กันมากขึ้น

หากพูดกันจริง ๆ สงครามสำคัญครั้งล่าสุดที่ทำให้รัฐบาลไทย (รัฐบาลสยาม) ประกาศว่าประเทศไทยอยู่ในภาวะสงครามอย่างเป็นทางการ (ที่ไม่ใช่การส่งทหารไปร่วมรบหรือกำลังทหารแนวชายแดนปะทะกัน) น่าจะเป็นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2485-2488 นู่นเลย ผู้ที่เคยมีประสบการณ์หรือมีความทรงจำโดยตรงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น เคยวิ่งหนีระเบิด เคยวิ่งหลบลูกกระสุน ปัจจุบันมีเหลืออยู่น้อยมาก ๆ และแน่นอนว่าขณะนี้คนเหล่านั้นล้วนอยู่ในวัยชรากันหมดแล้ว บางคนอาจไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์โดยตรง แต่ก็เติบโตมาในยุคฟื้นฟูหลังสงคราม ที่คงทราบดีว่า “สงคราม” ทิ้งอะไรไว้บ้าง

เพราะฉะนั้นแล้ว หากวันนี้เกิดสงคราม หรือรัฐบาลประกาศว่าประเทศกำลังอยู่ในภาวะสงครามขึ้นมาจริง ๆ เรา ๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ใด ๆ เกี่ยวกับสงครามเลย อาจจะต้องพบเจออะไรบ้างที่เป็นความเลวร้ายของสงคราม นี่คือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นอย่างคร่าว ๆ เพราะความเลวร้ายที่แท้จริง เราอาจไม่สามารถจินตนาการได้เลย

1. การใช้ชีวิตประจำวัน

ง่วนอยู่กับระแวงเสียงไซเรนเพื่อหลบภัย

หากเราต้องอยู่ในภาวะสงคราม เสียงไซเรนเตือนภัย จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเราทันที เราจะต้องคอยฟังเสียงไซเรนเตือนภัยอยู่ตลอดเวลาเพื่อหลบภัยในที่ปลอดภัย โดยเฉพาะกับคนกรุงเทพฯ ที่อาจต้องรับมือด้วยความยากลำบาก เพราะสิ่งหนึ่งที่เราอาจไม่รู้ก็คือ เมื่อเกิดสงคราม เมืองหลวงคือหนึ่งในเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด และมักจะเป็นเป้าหมายแรก ๆ ที่ฝ่ายตรงข้ามจะพยายามเข้าประชิดหรือโจมตี ไม่ว่าจะด้วยกำลังภาคพื้นดิน การโจมตีทางอากาศ หรือแม้แต่สงครามไซเบอร์ เหตุผลสำคัญก็คือ

  • เมืองหลวงคือศูนย์กลางอำนาจการปกครอง เป็นที่ตั้งของรัฐบาล กระทรวงกลาโหม และศูนย์บัญชาการทางทหาร การโจมตีเมืองหลวง จะสร้างความโกลาหล ตัดขาดสายการบังคับบัญชา และอาจทำให้ผู้นำประเทศไม่สามารถสั่งการกองทัพและบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าประชิดเมืองหลวง จึงเป็นการกดดันและคุกคามผู้นำทางการเมืองและการทหารโดยตรง และหากสามารถจับกุมหรือทำให้ผู้นำของอีกฝ่ายยอมจำนนได้ สงครามก็อาจจบลงในทันที เพราะนั่นเท่ากับว่าได้ผู้ชนะในสงครามแล้ว
  • เมืองหลวงคือศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน การโจมตีเมืองหลวง คือการตัดเส้นเลือดใหญ่ ของประเทศ เพราะเมืองหลวงมักเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน และคมนาคมที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของประเทศ การยึดครองหรือทำลายเมืองหลวงได้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของทั้งประเทศ และการมุ่งทำลายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญมักจะกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวง เช่น สนามบินนานาชาติ สถานีรถไฟหลัก โรงไฟฟ้า หรือระบบสื่อสาร หากเข้าควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบอย่างมหาศาล
  • เมืองหลวงคือศูนย์รวมประชากรและสัญลักษณ์ทางจิตวิทยา เพราะเมืองหลวงคือหัวใจและสัญลักษณ์ของชาติ หากเมืองหลวงถูกโจมตีหรือถูกยึดครองได้สำเร็จ จะส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของประชาชนและทหารทั้งประเทศอย่างรุนแรง เมื่อเกิดสงคราม ทหารส่วนหนึ่งจะถูกกันไว้เพื่อตั้งรับการโจมตีที่เมืองหลวง ส่วนอื่น ๆ ของประเทศอาจมีกำลังทหารไม่มากเท่า และถ้าเมืองหลวงถูกยึดได้สำเร็จ จะเป็นภาพของความพ่ายแพ้ ทำให้ความต้องการที่จะต่อสู้ของประชาชนและทหารในส่วนอื่น ๆ จะลดลง คนเริ่มกลัวว่าพื้นที่ต่อไปที่จะนองเลือดคือพื้นที่ของตัวเอง และอีกสิ่งที่สำคัญคือ จะมีสงครามข่าวสาร ภาพของเมืองหลวงที่กำลังลุกเป็นไฟหรือธงชาติของฝ่ายรุกรานที่ถูกชักขึ้นเหนือสถานที่สำคัญ เป็นเครื่องมือชั้นดีในการโฆษณาชวนเชื่อ สำหรับการประกาศชัยชนะและบั่นทอนกำลังใจของฝ่ายตรงข้าม

เมื่ออยู่ในภาวะสงคราม แม้ว่าฝ่ายเราจะดูได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างมากทั้งเรื่องของกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่จะประมาทไม่ได้ว่าเราจะไม่โดนอีกฝ่ายโจมตี อย่างน้อยที่สุดก็ต้องโดนโจมตีตอบโต้กลับมาอยู่แล้วไม่มากก็น้อย ไม่มีคู่สงครามไหนที่จะยอมโดนโจมตีฝ่ายเดียว และเมื่อไรที่เราก็โดนโจมตีกลับมา เราก็จะไม่อาจใช้ชีวิตแบบกินอิ่มนอนหลับอย่างปกติได้แน่นอน เราต้องอพยพหรือหาพื้นที่ปลอดภัยไว้สำหรับหลบภัย อาจต้องเจาะถนนเพื่อลงไปหาที่หลบภัยใต้พื้นถนน (ต่างจากเมื่อก่อนที่ขุดดินเป็นโพรงทำหลุมหลบภัย) และด้วยสภาพอาคารบ้านเรือนในปัจจุบันที่มีแต่ตึกรามบ้านช่องสูง ๆ หากมีการทิ้งระเบิดจากเครื่องบิน ต้องมีบ้างล่ะอาคารที่พังถล่มลงมาเป็นซากปรักหักพัง การลงไปหลบภัยอยู่ใต้พื้นถนน ก็อาจไม่ได้กลับขึ้นมาอีกเลยก็ได้ เพราะซากอาคารถล่มทับปิดทางออกไปหมดแล้ว

การปันส่วนอาหาร น้ำ และพลังงาน

เมื่ออยู่ในภาวะสงคราม การขาดแคลนและภาวะอดอยากจะกลายเป็นเรื่องปกติ สิ่งของจำเป็นจะขาดแคลนและมีราคาสูงลิ่ว ทำให้นอกจากจะต้องวิ่งหนีตายจากระเบิดและกระสุนแล้ว เราก็อาจจะอดตายกันด้วย เพราะมันคงไม่ง่ายนักที่ร้านอาหารจะเปิดขาย หรือมีไรเดอร์ฟู้ดเดลิเวอรีวิ่งมาส่งอาหาร ทุกคนต่างต้องหนีตายกันทั้งนั้น วัตถุดิบที่จะทำอาหารก็ไม่ได้หากันได้ง่าย ๆ เพราะแหล่งปลูกพืช-เลี้ยงปศุสัตว์อาจโดนโจมตีจนหมด ลองนึกภาพตอนน้ำท่วมดูก็ได้ว่าเมื่อภาคเกษตรกรรมเสียหาย วัตถุดิบขาดแคลน ราคาอาหารแพงขึ้นขนาดไหน แต่ภาพของสงครามเลวร้ายกว่านั้น เราอาจต้องรอข้าวรอน้ำที่ทางการนำมาแจก เพราะออกไปหากินเองไม่ได้ก็เป็นได้

และเมื่อเราอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพง มักจะมีโจรขโมยมากขึ้น เพราะทุกคนต่างก็ขาดแคลนสิ่งอุปโภคบริโภคกันทั้งนั้น บางพื้นที่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ ฝ่ายตรงข้ามมาทิ้งระเบิดจนเสียหายยับเยิน บ้านเมืองขาดแคลนอาหารการกิน ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยก็เสียหาย หลายคนอาจจำต้องลักขโมยนู่นนั่นนี่จากที่อื่นเพื่อความอยู่รอด มีภาพการแย่งชิงข้าวปลาอาหารเพื่อกินวันนี้และกักตุนไว้วันพรุ่งนี้ เพราะไม่รู้ว่าทางการจะมาแจกข้าวให้ได้อีกทีเมื่อไร เพราะฉะนั้น แม้แต่พวกเราบางคนเองก็อาจจะกลายเป็นโจรเป็นขโมย ต้องเข้าไปแย่งชิงอาหารแจกเพื่อความอยู่รอด

อิสรภาพในการเดินทางจะหมดไป

แน่นอนว่าเมื่ออยู่ในภาวะสงคราม การประกาศใช้กฎอัยการศึก คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพื่อให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง นี่เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นสำหรับประกาศใช้เมื่อมีเหตุจำเป็นหรือเหตุฉุกเฉิน โดยเฉพาะในยามที่เกิดสงคราม ในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก อำนาจการบริหารทั้งหมดจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของทหาร ในสภาพบ้านเมืองแบบนั้น อาจมีการประกาศเคอร์ฟิว ห้ามออกนอกบ้านในเวลากลางคืน การเดินทางข้ามเขตพื้นที่จะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ถนนหนทาง การคมนาคมอาจถูกตัดขาด มีข้อห้ามมากมายที่เราต้องปฏิบัติตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เผลอ ๆ ไม่กล้าออกจากบ้านเองด้วยซ้ำในสถานการณ์แบบนั้น

ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และสัญญาณโทรศัพท์ จะถูกตัดขาด

เป็นเรื่องปกติมาก ๆ ที่ระบบสื่อสารอาจถูกตัดขาดไปเลย ถูกตัดขาดเป็นช่วง ๆ หรือถูกควบคุมโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อเหตุผลทางยุทธศาสตร์ ทำให้การสื่อสารระหว่างกันเป็นไปอย่างยากลำบาก ไฟฟ้าก็ถูกตัดหรืออาจได้รับความเสียหายจากการโดนโจมตี เราต้องอยู่กันแบบร้อน ๆ ทั้งที่ก็ทราบกันดีว่าเมืองไทยร้อนแค่ไหน อากาศก็ร้อนอยู่แล้วยังต้องร้อนจากเพลิงไหม้จากการโดนทิ้งระเบิดอีก เพราะฉะนั้น อย่าคาดหวังว่าเราจะสามารถอ่านข่าวจากเฟซบุ๊กเพื่ออัปเดตข่าวสารบ้านเมืองได้ หรือมีไฟชาร์จมือถือ หากอยู่ในภาวะสงครามจริง ๆ การสื่อสารจะถูกควบคุมทั้งหมด หรืออาจไม่มีแม้กระทั่งอินเทอร์เน็ตใช้ ทุกวันนี้แค่อินเทอร์เน็ตล่มไป 10 นาทีก็อยู่กันไม่ได้แล้ว เมื่อเทียบกับสงครามแล้ว มันโหดร้ายกว่ากันเยอะ

2. ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

เศรษฐกิจจะหยุดชะงัก

ในภาวะสงครามที่อาจมีระเบิดร่วงลงมาจากฟ้าเมื่อไรก็ได้ ทุกคนต้องวิ่งหนีระเบิด วิ่งหนีลูกปืน การเดินทางและการสื่อสารถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอินเทอร์เน็ต คงไม่มีนายจ้างที่ไหนมานั่งเปิดออฟฟิศให้คนไปทำงาน และก็ไม่มีใครอยากจะไปทำงานด้วย ทุกคนอยากอยู่ใกล้ ๆ กับคนที่ตัวเองรัก อยากอยู่กับครอบครัว ทุกคนง่วนอยู่กับการเอาชีวิตตัวเองให้รอดจากสงครามก่อน หากสงครามยืดเยื้อยาวนาน ธุรกิจจำนวนมากต้องปิดตัวลง ผู้คนจะตกงานเป็นวงกว้าง การค้าขายกับต่างประเทศก็ทำไม่ได้

ระบบสาธารณสุขจะล่มสลาย

โรงพยาบาลจะเต็มไปด้วยทหารและพลเรือนที่บาดเจ็บ การรักษาพยาบาลโรคภัยไข้เจ็บทั่วไป ที่ปกติก็นั่งรอคิวกันครึ่งค่อนวันอยู่แล้วจะกลายเป็นเรื่องรอง ดีไม่ดีที่โรงพยาบาลก็อาจตกเป็นเป้าการโจมตีด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะมีกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่ห้ามโจมตีหน่วยงานและสถานพยาบาลในช่วงสงคราม การละเมิดความคุ้มครองนี้อาจถือเป็นการกระทำอาชญากรรมสงคราม แต่ก็ไม่มีอะไรมาการันตีได้พื้นที่ทางการพยาบาลจะปลอดภัยได้ขนาดนั้นจริง ๆ ในช่วงสงคราม หากอีกฝ่ายไม่คิดจะปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

ข่าวสารจะเต็มไปด้วยโฆษณาชวนเชื่อ

การรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและเป็นกลางจะทำได้ยากมาก สื่อต่าง ๆ จะถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือทหาร เรื่องการเผยแพร่ข่าวสารที่อาจเป็นภัยความมั่นคง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายล่วงรู้ถึงความเคลื่อนไหวต่าง ๆ อาจมีเฟกนิวส์ที่ตรวจสอบความถูกต้องได้ยากในสถานการณ์แบบนี้เต็มไปหมด มีข่าวสารที่บั่นทอนกำลังใจแพร่ออกมาเพื่อทำลายขวัญและกำลังใจ โดยเฉพาะในพื้นที่อ่อนไหวหรือจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ หรือหากฝ่ายตรงข้ามเข้าควบคุมการเผยแพร่ข่าวสาร เราอาจเจอกับข่าวลวงมากมาย หรือข้อมูลข่าวสารอาจถูกบิดเบือนเพื่อสร้างความได้เปรียบในสงคราม พูดง่าย ๆ ก็คือเกิดสงครามข่าวสารไปพร้อม ๆ กับการโจมตีด้วยอาวุธ

ความหวาดระแวง

สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงสงคราม คือความหวาดระแวงจะเข้ามาแทนที่ความไว้เนื้อเชื่อใจในสังคม ความไม่รู้ ความไม่แน่ใจว่าอะไรเชื่อได้เชื่อไม่ได้จะทำให้ผู้คนไม่ไว้ใจกันเหมือนเดิม ข่าวสารต่าง ๆ ก็เชื่อถือไม่ได้ บ้านเมืองมีแต่โจรขโมยที่พร้อมจะทำลายกันเองเพื่อเอาตัวเองรอด มันคือเรื่องปกติของมนุษย์เมื่ออยู่ในสภาวะจนตรอก และต้องการเอาตัวรอด

3. ผลกระทบทางจิตใจ

ความกลัวและความเครียด

จะกลายเป็นอารมณ์หลักที่ทุกคนต้องเผชิญในทุก ๆ วัน เพราะไม่รู้ว่าสงครามจะจบลงเมื่อไร เสียงไซเรน เสียงระเบิด เสียงปืน เสียงคนที่บาดเจ็บร้องโหยหวน คอยย้ำเตือนว่าความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น กลัวว่าจะสูญเสียคนที่เรารัก กลัวว่าตัวเองจะเป็นอะไรไปแล้วคนข้างหลังจะอยู่อย่างไร เครียดเพราะขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม พลังงาน ที่พักพิง และแม้แต่เงินที่จะดำรงชีวิต

การสูญเสีย

อาจเกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ทรัพย์สิน หรือบ้านที่เคยอยู่อาศัย ในภาวะสงคราม การเสียชีวิตและการบาดเจ็บจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่ในพื้นที่ที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายโดยตรง บางคนอาจพบเจอกับสถานการณ์ที่คนที่ตัวเองรักจากไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ตัวเองไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

บาดแผลทางใจ

สงครามคือเหตุการณ์เลวร้ายที่มนุษย์สามารถทำกับมนุษย์ด้วยกันเพื่อแย่งชิงชัยชนะ จุดเริ่มต้นของสงครามเกิดขึ้นในระดับของผู้นำ แต่ชาวบ้านคือคนที่รับกรรม เหตุการณ์เลวร้ายนี้จะติดตัวผู้คนไปอีกนาน ส่งผลกระทบต่อจิตใจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แม้ว่าสงครามจะจบลงแล้วก็ตาม

อาการบาดเจ็บและความพิการ

อีกหนึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นได้หลังสงคราม คือผู้คนที่บาดเจ็บมาแต่ไม่ตาย นอกจากบาดแผลทางใจ หลายคนอาจมีอาการบาดเจ็บและความพิการไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ โดยเฉพาะบรรดาทหารแนวหน้า และพลเมืองทั่วไปที่ถูกลูกหลงจากการปะทะ มันคือสิ่งที่คนคนหนึ่งต้องอดทนอยู่กับมันตลอดชีวิต เป็นสัญลักษณ์ของสงครามที่ทำให้ชีวิตของพวกเขาไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นอีกความเจ็บปวดหนึ่งที่กัดกินจิตใจของผู้คนตราบนานเท่านาน

ท้ายที่สุดแล้ว สงครามจะไม่ได้จบลงที่เสียงปืนนัดสุดท้าย หรือชัยชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคู่สงครามที่บรรลุวัตถุประสงค์ของการทำสงคราม เสียงเฮและหยดน้ำตาของผู้คนที่ต้องใช้ช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตเผชิญหน้ากับสงคราม ก็ไม่ใช่เสียงเฮที่ดีใจว่าฝ่ายตัวเองชนะหรือเสียใจที่ฝ่ายตัวเองแพ้ แต่มันคือเสียงเฮและหยดน้ำตาที่ว่าการนองเลือดจบสิ้นลงเสียที เสียงระเบิด เสียงปืนจากสงครามจะยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำของผู้คน ภาพความสูญเสียจะอยู่ในฝันร้ายของผู้คนไปอีกนานแสนนาน เพราะสงครามทิ้งไว้เพียงร่องรอยของความสูญเสีย บ้านเมืองที่พังทลาย และบาดแผลในใจที่ยากจะลบเลือน

สงครามคือบทเรียนราคาแพงที่สุดที่สอนให้มนุษย์รู้ว่า ชัยชนะที่แท้จริงไม่ใช่การประกาศแสนยานุภาพว่ากองกำลังของเรานั้นยิ่งใหญ่กว่า หรือยืนอยู่บนซากปรักหักพังของศัตรู แต่มันคือการที่ไม่ต้องมีใครต้องเสียเลือดเสียเนื้อตั้งแต่แรก ดังนั้น การตระหนักถึงความโหดร้ายของสงคราม และความพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่พาบ้านเมืองไปสู่การทำสงคราม การหาทางออกด้วยสันติวิธี ประนีประนอมให้ถึงที่สุด หาใช่ความกลัว ไม่ใช่ความขี้ขลาด หรือการตั้งคำถามว่าทำไมเราถึงต้องยอม แต่เป็นการเห็นถึงคุณค่าของสันติภาพ และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบต่างหาก ซึ่งที่ผ่านมา มนุษย์เราก็ได้บทเรียนจากสงครามมาแล้วหลายครั้ง สันติสุขจึงควรเป็นเป้าหมายในอนาคต