The Art of Negotiation สงครามการเจรจาต่อรองที่วัดกันที่กึ๋นและไหวพริบ

เป็นช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่แทบจะต้องเปิด Google เพื่อค้นหาขอบตาใหม่ใกล้ฉันและร่างใหม่ใกล้ฉันเลยจริง ๆ เพราะดูเหมือนว่าหนึ่งวันพันเหตุการณ์มันจะน้อยไป เรื่องส่วนตัวก็ต้องจัดการเรื่องข่าวสารก็ต้องตามใส่ใจ สัปดาห์ที่ผ่านมามีไปทำธุระงานขาวดำ แล้วด้วยความที่ทำงานด้านนี้อะเนอะ ต้องติดตามแอ็กเคานต์ในโซเชียลมีเดียที่อัปเดตข่าวต่าง ๆ บวกกับการที่ต้องพยายามไถฟีดอัปเดตนั่นนี่ถี่อยู่ มันก็ทำให้เราได้รับรู้อะไรก่อนชาวบ้านเขาหลายเรื่อง เปิดมาเจอแหล่งข่าวเพิ่งโพสต์เมื่อ 1-5 นาทีที่แล้วบ่อยมาก จนรู้สึกกังวลละว่าจะเป็น FOMO เลยต้องพยายามเบรกตัวเองหนีมาดูผู้ชายในซีรีส์

อย่างที่บอกว่าติดตามใส่ใจข่าวอยู่ด้วยกันหลายข่าวเลยตอนนี้ ข่าวใหญ่ข้ามประเทศจากทางเกาหลีก็รู้มาเยอะเหมือนกัน แต่เราจะไม่เหมาว่าทุกคนมีพฤติกรรมแบบเดียวกันหมดหรอกนะ ใครมีปัญหาก็ตัดคนนั้นออกไปจากการติดตาม และถึงจะรู้สึกไม่สบายอยู่บ้างเมื่อนึกถึงข้อเท็จจริงว่าผู้ชายประเทศนี้ค่อนข้างน่ากลัว แต่มันคงไม่ยุติธรรมกับนักแสดงคนอื่น ๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด (หรือแค่ยังไม่ถูกแฉ แง้!) ก็เลยยังคงอินกับซีรีส์เกาหลีได้อยู่ และโชคดีมากที่ไม่เคยเป็นติ่งเดนตายของนักแสดงคนที่เป็นข่าว ที่ผ่านมาค่อนข้างจะเฉย ๆ มากกว่า

เอาล่ะ กลับมาที่ซีรีส์ของเรากันดีกว่า หลังจากที่หายไปหนึ่งสัปดาห์เพื่อจัดการธุระส่วนตัวที่ต่างจังหวัด โดยซีรีส์ในสัปดาห์นี้ดูเพราะโดนลุคใหม่ของ “อีเจฮุน” ตกมา ซึ่งมันแตกต่างจากผลงานเรื่องล่าสุดของเขา Chief Detective 1958 แบบพลิกขั้ว เรื่องนี้มาในมาดของนักเจรจาที่มีภาพลักษณ์โดดเด่น ผมสีขาว สวมแว่น ดูนิ่ง สุขุม เย็นชา พูดน้อย แต่พูดทีกลับสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นชวนเสียวสันหลัง และบรรยากาศรอบตัวเขาก็ดูน่าขนลุกแปลก ๆ

ภาพจาก IG: jtbcdrama

The Art of Negotiation หรือชื่อไทยจาก viu ผู้ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ซับไทยว่า “ยอดอัจฉริยะ นักเจรจา” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานของชายหนุ่มผู้ที่มีฉายาว่า “งูขาว” ที่ตัวเขาอาจเข้าใจว่าจากลักษณะเด่นอย่างผมสีขาวของเขา แต่คนอื่นกลับสื่อถึงความเลือดเย็นของเขามากกว่า เขาคือตำนานด้านการควบรวมกิจการและซื้อกิจการชั้นนำของเกาหลี (M&A) เพราะเขาเคยหายไปจากวงการอย่างลึกลับ ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในตำแหน่งเดิมที่บริษัทเดิม ในการเจรจาควบรวมและซื้อกิจการที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อช่วยพยุงบริษัทที่กำลังเผชิญกับวิกฤติการณ์ทางการเงิน โดยมีหนี้สินสูงถึง 11 ล้านล้านวอน และยังต้องปกป้องราคาหุ้นไปด้วยไม่ให้ราคาต่ำกว่า 100,000 วอน

ภาพจาก IG: jtbcdrama

ทีมพระเอกของเรา ถือว่าเป็นทีมที่เกือบจะสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ มีหัวหน้าทีมเป็นนักเจรจาต่อรองที่ต้องชิงไหวชิงพริบกับพวกผู้บริหารปากปราศัยน้ำใจเชือดคออยู่ตลอดเวลา เขาคือคนที่เฉียบแหลม สงบนิ่ง มากไปด้วยกลยุทธ์ และลูกทีมอีก 3 คน ซึ่งประกอบด้วยนักบัญชีมือฉมังที่รับผิดชอบการเงิน อดีตอัยการที่ลาออกมาเป็นทนายความผู้เชี่ยวชาญกฎหมายบริษัท และน้องเล็กเด็กฝึกงานตัวน้อยที่อยากเรียนรู้งานใหญ่ ถึงจะสร้างเรื่องเก่งแต่ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ซะทีเดียว และก็ทำตัวเป็นแก้วเปล่าที่เติมน้ำลงไปได้ ที่สำคัญ คาแรกเตอร์นี้นี่แหละที่ส่งเสริมให้พระเอกของเราดูเจ๋งขึ้นอีกหลายขุม

ระหว่างที่โปรเจกต์นี้ดำเนินไปสู่ความล้มเหลว ผมรู้สึกว่าหัวหน้าน่าจะทำทุกอย่างสุดความสามารถ น่าจะมีอะไรให้เรียนรู้เยอะครับ

ภาพจาก IG: jtbcdrama

นี่คือทัศนคติในการทำงานของเด็กฝึกงานน้องเล็กผู้อ่อนด้อยทั้งประสบการณ์การทำงานและการใช้ชีวิต แม้ว่าเขาจะดูเป็นเด็กรุ่นใหม่ไฟแรง เก่งและเฮงในระดับที่สามารถผ่านเข้ามาทำงานในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งยังมีชื่อเสียงระดับท็อปของประเทศได้ แต่ด้วยความที่ยังใหม่มากในแวดวงการทำงาน มีหน้าที่เพียงจัดเอกสารการประชุม เตรียมของว่าง และซื้อกาแฟ ก็ไม่แปลกที่เขาจะใสซื่อ ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน ที่สำคัญ ดูเหมือนว่าความรู้ในตำราที่เขาได้มาจากห้องเรียนนั้นแทบจะเอามาใช้กับบริษัทนี้ไม่ได้เลย เพราะเขาต้องรับมือกับพวกผู้หลักผู้ใหญ่ในบริษัทประเภทเขี้ยวลากดิน มากด้วยประสบการณ์ กลโกง เจ้าเล่ห์ ตลบแตลงเก่ง และหน้าไหว้หลังหลอก

อย่างไรก็ตาม การเจอหน้าพระเอกครั้งแรกหลังจากที่ได้ยินกิตติศัพท์ความเลือดเย็นที่รุ่นพี่เล่าให้ฟัง เขาดันเกิดความประทับใจแรกขึ้นโดยที่ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยกับพระเอกแม้แต่คำเดียว เพียงแค่พระเอกดูใจดีกว่าที่เขาคิด และก็เชื่อมั่นในความสามารถของพระเอกที่ถ้าได้ลองจับโปรเจกต์ไหนขึ้นมาทำ มันจะต้องประสบความสำเร็จ เขาจึงตัดสินใจสมัครเข้าเป็นลูกทีมของพระเอกทันที เพราะเขาประเมินแล้วว่าการได้ร่วมทำงานกับพระเอก คือหนทางที่เขาจะได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกของการทำงานได้มากและเร็วที่สุดที่สุด โดยเฉพาะความรู้ภาคทฤษฎีและประสบการณ์ปฏิบัติจริงของงานด้านการซื้อขายและควบรวมกิจการ

ภาพจาก IG: jtbcdrama

ตอนสัมภาษณ์เข้าทีม เขามีเหตุผลที่ขอทำงานกับทีมนี้ ด้วยเชื่อว่ามันเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้งานจากพระเอก เดิมที พระเอกเกือบจะปฏิเสธไม่รับเขาเข้าทีมแล้ว แต่ก็ด้วยทัศนคติข้างต้นนั่นแหละที่ทำให้พระเอกเปลี่ยนใจ มันเป็นคำตอบของคำถามสุดท้ายในการสัมภาษณ์ ซึ่งพระเอกถามเขาไปว่าเขาคิดว่าโปรเจกต์นี้จะสำเร็จไหม เขาใช้เวลาคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “ไม่” แต่ถึงมันจะไม่สำเร็จ มันจะล้มเหลว แต่ตัวเขาก็ยอมเอาอนาคตของตัวเองเข้ามาเดิมพันกับทีมนี้และหัวหน้าทีมอย่างพระเอก คนที่เขาได้ยินข่าวลือมาว่าเก่ง มีความสามารถในการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ซึ่งเขาเชื่อว่าการได้ทำงานกับคนแบบนี้ต้องมีอะไรให้เรียนรู้เยอะ มันคุ้มที่จะเสี่ยง

อย่าเอาอารมณ์มาปนกับงานครับ คิดซะว่าเป็นเกมครับ ถึงจะไม่ง่ายก็เถอะ

อย่างที่บอกไปแหละ น้องเล็กของทีมเป็นเพียงเด็กฝึกงานตัวจ้อยที่ไม่มีประสบการณ์การทำงานในด้านการควบรวมกิจการเลยสักนิด ความรู้ที่มีเกี่ยวกับงานด้านนี้ก็เป็นเพียงพื้นฐานทั่วไป การใช้ชีวิตปกติก็ออกจะซื่อ ๆ บื้อ ๆ เกือบจะเข้าขั้นโลกสวยด้วยซ้ำ เขาเองก็เพิ่งจะเริ่มมองเห็นภาพที่ใหญ่และชัดเจนขึ้นหลังจากที่รุ่นพี่ของเขาอธิบายถึงความโหดร้ายของการควบรวมกิจการให้ฟัง ไปพร้อม ๆ กับข่าวลือที่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องบวกเชิงลบของพระเอก ที่บอกว่าพระเอกเป็นคนเก่ง มีความสามารถ แต่ไม่ใช่คนดีเด่อะไร เย็นชา นิ่งสงบจนเดาทางไม่ถูก เลือดเย็น และเจ้าเล่ห์ไม่ต่างอะไรกับนักต้มตุ๋น นั่นแปลว่าเด็กคนนี้ต้องเริ่มเรียนรู้งานจาก 0 มันจึงออกจะน่ารำคาญนิด ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำ

ภาพจาก IG: jtbcdrama

เพราะโลกของการทำงานคือการลงสนามจริง ไม่มีเวลาให้กลับไปเปิดตำราศึกษาทฤษฎี ไม่มีเวลาให้ฝึกลองผิดลองถูกก่อนลงมือจริง แต่คุณต้องเรียนรู้ทุกอย่างผ่านการทำงานจริง ต้องคลุกคลีอยู่กับรุ่นพี่ที่มากประสบการณ์ ต้องเจอกับคนหลากหลายประเภท ต้องเจรจาต่อรองกับพวกเขา ต้องทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของทีม เป้าหมายของบริษัท ไปพร้อม ๆ กับรักษาผลประโยชน์ของอีกฝ่ายเพื่อให้เขายอมตกลง ซึ่งแน่นอนว่ามันจะตามมาด้วยปัญหาต่าง ๆ ระหว่างทางที่ต้องค่อย ๆ ไล่แก้ไประหว่างทาง ทุกการตัดสินใจมีโอกาสที่จะผิดพลาดจริง เจ็บจริง และอาจไม่มีการมานั่งปลอบใจกัน เพราะทุกอย่างต้องรีบเดินหน้าต่อ และเขาไม่ใช่เด็กน้อยที่ล้มแล้วจะมีคนโอ๋

ดังนั้น เขาจึงต้องรีบเติบโตโดยเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจากการลงสนามจริง แต่ก็นะ ด้วยความที่อ่อนประสบการณ์คำเดียวเลย เราคนดูจึงจะได้เห็นว่าบางทีเขาก็ทำอะไรให้ทีมเสียเปรียบอยู่บ่อย ๆ ปัญหาที่เขาก่อมันอาจจะไม่ถึงขั้นเสียหายหนัก แต่ก็ต้องเสียเวลามาตามแก้ปัญหา แล้วการตามแก้ปัญหากับใจคนที่เขาเองก็ไม่ได้พอใจกับลักษณะงานของทีมนี้อยู่แล้ว ยังจะมามีเรื่องที่ทำให้แผลมันลึกลงไปอีก การทำงานก็จะยิ่งยาก และเรื่องที่เขามีปัญหามากที่สุด น่าจะเป็นการควบคุมอารมณ์ ตามประสาเด็กหนุ่มไฟแรงหัวร้อนง่าย หัวหน้าทีมอย่างพระเอกจึงต้องคอยเบรกเขาเสมอว่าอย่าเอาอารมณ์มาปนกับงาน คิดซะว่าเป็นการเล่นเกม อย่าดิ้นตามเพราะโดนยั่วยุ หรือเพราะเจอคนนิสัยไม่ดี

ภาพจาก IG: jtbcdrama

ใด ๆ ก็คือ ตัวละครน้องเล็กนี้เป็นตัวละครที่ทำให้พระเอกของเราโดดเด่นขึ้น เพราะเมื่อไรก็ตามที่เด็กใหม่สร้างเรื่อง ก่อปัญหาขึ้นมา เราก็จะเห็นว่าพระเอกจะพยายามสอนเขาให้เข้าใจถึงการทำงานแบบมืออาชีพ พยายามตบให้เข้ารูปเข้ารอยด้วยบุคลิกนิ่ง ๆ ของเขา บางทีก็สอน บางทีก็ดุพร้อมให้คำแนะนำ โดยไม่เคยใช้อารมณ์รุนแรงเลย บางทีก็พยายามทำให้เห็นถึงความอัจฉริยะด้วยการพลิกวิกฤติที่เด็กใหม่ก่อให้เป็นโอกาสที่ได้เปรียบของทีม บางทีก็มอบหมายงานแปลก ๆ ให้ทำโดยไม่บอกว่าทำไปทำไม แล้วไปคิดเองเออเองว่ามันเป็นงานไม่มีประโยชน์ แต่พอขัดคำสั่งไม่ทำตามที่หัวหน้าทีมสั่ง งานเริ่มมีปัญหา ก็จะรู้ได้เองว่าตัวเองพลาด มันเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งในการทำงานต่างหาก

สำหรับใครก็ตามที่ยังไม่ได้เริ่มดู The Art of Negotiation ขอบอกไว้เผื่อให้พิจารณาว่าเรื่องมันค่อนข้างจะเป็นแนวธุรกิจจ๋า ๆ มีศัพท์แสงเกี่ยวกับธุรกิจที่ชวนงง อีกทั้งยังดำเนินเรื่องแบบเรียบ ๆ มีปมให้ได้ตื่นเต้นบ้างแต่มันก็ไม่ได้หวือหวาอะไรมาก ตัวละครลูกทีมพระเอกถูกปูมาให้เข้าใจว่าเชี่ยวชาญในงานของตัวเองกันแบบเทพทุกคน ยกเว้นเด็กฝึกงานที่กำลังเรียนรู้งานจากพี่ ๆ สร้างปัญหาเก่งแต่ก็มีประโยชน์อยู่บ้างในหลายสถานการณ์ แต่นี่กลับรู้สึกว่าคาแรกเตอร์ของลูกทีมพระเอกไม่ได้เด่นจนว้าวขนาดนั้น ช่วงแรกต้องอดทนหน่อย ถ้าผ่าน 3 อีพีแรกมาได้ก็จะรู้สึกว่าเรื่องมันน่าติดตามมากขึ้น♟