
ไม่รู้ว่า Netflix ตั้งใจหรือเปล่าที่ปล่อยสตรีมซีรีส์เรื่องใหม่ When Life Gives You Tangerines เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (วันที่ 7 มี.ค.) เนื่องจากวันรุ่งขึ้น 8 มี.ค. เป็นวันที่องค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) ประกาศให้เป็น วันสตรีสากล (International Women’s Day) ซึ่งก็จะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองมากมายในหลายประเทศ เพื่อสร้างการรับรู้ เน้นย้ำให้ตระหนักถึงความสำคัญของผู้หญิงทั่วโลก การเคลื่อนไหวของสิทธิสตรี ปัญหาและอุปสรรคมากมายที่ผู้หญิงต้องเผชิญตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงเพื่อเป็นเกียรติแก่หญิงเก่งทั่วโลกที่ร่วมรณรงค์ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันด้วยนั่นเอง
ที่ต้องหยิบยกเรื่องวันสตรีสากลขึ้นมาเกริ่นก็เพราะว่า 4 ตอนแรกของซีรีส์ใหม่เรื่อง When Life Gives You Tangerines นั้น มันมีประเด็นอะไรมากมายที่ทำให้ฉุกคิดถึงเรื่องราวที่ทั้งน่าเศร้าและน่าอัศจรรย์ของผู้หญิง โดยเฉพาะบทบาทการเป็นพลเมืองของสังคม การเป็นภรรยาของสามี การเป็นลูกสะใภ้บ้านสามี และการเป็นแม่ของใครสักคน ซีรีส์เรื่องนี้นำเสนอให้เห็นว่าผู้หญิงคนหนึ่งต้องแบกรับอะไรไว้มากมายบนบ่า และภาระหน้าที่อันหนักอึ้งเหล่านั้นมันก็ถูกส่งต่อแบบรุ่นสู่รุ่น นั่นก็คือแม่ส่งต่อให้ลูกสาว แม่หลายคนส่งต่อให้ลูกสาวเป็นปกติโดยไม่ขัดขืนธรรมเนียม แม่บางคนไม่เต็มใจจะส่งต่อแต่ก็ฝืนไม่ได้ ทว่าแม่บางคนต่อสู้อย่างหนักเพื่อไม่ให้ลูกสาวต้องมีชะตากรรมแบบตัวเอง
When Life Gives You Tangerines เป็นซีรีส์ของ Netflix ที่มีชื่อภาษาไทยว่า ยิ้มไว้ในวันที่ส้มไม่หวาน (กลิ่นตุ ๆ ว่าตับไตจะพังแรงมากแม่) บอกเล่าเรื่องราวชีวิตและความรักที่สุดแสนจะหวานอมขมกลืนของ “โอแอซุน” สาวน้อยหัวขบถที่เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ แม่ของเธอทำงานหนักและสู้ชีวิตอย่างมากเพื่อแลกกับการที่ผลักดันให้ลูกสาวมีชีวิตที่ดีกว่าตัวเอง ไม่ต้องมีชีวิตที่ยากลำบากเหมือนตัวเอง อย่างไรก็ตาม ครอบครัวฝั่งพ่อที่เสียไปแล้วกลับมองว่าเธอเป็นภาระ ถึงอย่างนั้นเธอก็มีความฝันที่ยิ่งใหญ่เกินตัวมาก เธอมีพรสวรรค์และอยากเป็นกวี เธอเพียรพยายามมาตลอดแม้ว่าวัยเด็กของเธอจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ จนกระทั่งแม่ของเธอตาย โลกทั้งใบของเธอก็พังลงมา

และอีกหนึ่งตัวละครที่มีเส้นทางชีวิตเติบโตมาพร้อมกัน คือ “ยังกวานชิก” เด็กหนุ่มผู้ขยันขันแข็ง มีรักแรก รักเดียว และรักสุดท้ายคือโอแอซุน เขาตามเทียวไล้เทียวขื่อเด็กสาวตั้งแต่อายุ 10 ขวบด้วยความจริงใจ ไม่เคยลดละความพยายาม เมื่อไรก็ตามที่เด็กสาวต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก เธอจะมีเขาคอยอยู่ข้าง ๆ เสมอทุกสถานการณ์ ทุกที่ ทุกเวลา ไม่เคยต้องตามหา ไม่เคยหายไปจากชีวิตของเธอ ทำให้ทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ทั้งที่เป็นคนพูดไม่เก่ง ทำตัวเห่ย ๆ เชย ๆ แถมโกหกเพื่อความโรแมนติกไม่เป็น เขาก็ยังอยู่ข้างเธอแบบเงียบ ๆ ถ้าเธอร้องไห้ เขาก็จะร้องไห้ไปกับเธอ เพราะฉะนั้น เขาจึงเป็นขวานเหล็กกล้าผู้ไม่เคยยอมแพ้ของเธอ
เรื่องราวที่เต็มไปด้วยความสุขและความทุกข์ของคนทั้งคู่ ถูกบอกเล่าผ่านฤดูกาลทั้ง 4 ฤดูบนเกาะเชจู เมื่อเวลาผ่านไป เราก็จะได้เห็นการเติบโตของทั้งคู่ที่ต้องเผชิญกับช่วงที่ยากลำบากของชีวิต และความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งขึ้นตามกาลเวลา ตั้งแต่ช่วงวัยเยาว์บนเกาะเชจูในปี 1960 จนถึงกรุงโซลในปี 1994 (ตอน 4) ที่พวกเขาทั้ง 2 คนยังคงจับมือกันแน่นเหมือนเดิม ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องไม่ได้เล่าแค่ความรักที่ซึมลึกของรุ่นพ่อแม่ แต่ยังเล่ามาถึงรุ่นลูกที่เป็นผลผลิตของความรักของทั้งคู่ ผลผลิต 2 หน่อที่พ่อแม่เพียรพยายามอย่างหนักไม่ให้พวกเขาต้องมีชีวิตเหมือนที่ตัวเองเคยมี โดยต่อจากนี้ก็น่าจะมีเรื่องราวของรุ่นลูกเข้ามาเล่าแทรกระหว่างที่เรื่องราวการผจญภัยของพ่อแม่ด้วยเช่นกัน
ฉันไม่กลัวผีหรอก ลูก ๆ สิน่ากลัว

เปิดเรื่องมาไม่กี่นาทีก็ชวนน้ำตาคลอเบ้าแล้วเอาจริง ซีรีส์เริ่มต้นขึ้นในปี 2025 ที่ทำให้เห็นชีวิตของโอแอซุนในวัยประมาณ 70 ปี ณ บ้านพักคนชรา ในระหว่างที่คุณยายโอแอซุนกำลังทำกิจกรรมเขียนบทกวีแห่งชีวิต เจ้าหน้าที่ที่บ้านพักคนชราแนะนำว่าบทกวีจะเขียนอะไรลงไปก็ได้ แค่เป็นสิ่งที่อยากพูด คำพูดที่ติดอยู่ในใจ คำพูดที่อยากจะพูดมากที่สุดในชีวิต โดยคำคำเดียวที่คุณยายโอแอซุนอยากจะพูดมากที่สุดในวัย 70 ปีของเธอ คือคำว่า “แม่” คำที่เธอไม่ได้พูดมากว่า 60 ปีแล้ว นับตั้งแต่พญามัจจุราชพรากแม่ไปจากเธอ จากนั้นซีรีส์ก็พาเราท่องไปในอดีต พาไปดูชีวิตของคุณยายโอแอซุนที่เป็นความหลังในปี 1960 ช่วงที่เธออายุ 10 ขวบ และแม่ของเธอยังไม่ตาย

ขอเตือนไว้ตรงนี้ก่อนเลยนะว่าให้เตรียมทิชชู่ให้พร้อม เพราะอีพีแรกนี้จะเป็นอีพีที่เล่าถึง “แม่” คนหนึ่งที่สู้ชีวิตอย่างมากเพื่อไม่ให้ลูกต้องมีชีวิตที่ยากลำบากเหมือนตัวเอง แม่ที่ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นแฮนยอ หรือก็คือนักดำน้ำด้วยเก็บหอย สาหร่าย และสัตว์ทะเลชนิดอื่น ๆ จากทะเลเกาะเชจู เธออดทนดำน้ำครั้งละนาน ๆ ทั้งที่สุขภาพไม่ค่อยดี กลั้นหายใจนาน ๆ ไม่ค่อยได้ แต่ก็ขึ้นฝั่งเป็นคนสุดท้ายตลอด เป็นเหตุให้เด็กหญิงแอซุนวัย 10 ขวบต้องไปยืนกระทืบเท้าโหวกเหวกโวยวายอยู่ริมฝั่งอยู่ทุกวี่วัน เพื่อเรียกแม่ให้กลับขึ้นมา และเพราะความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ไม่รู้ประสีประสา เด็กหญิงแอซุนน้อยใจแม่ที่เห็นเป๋าฮื้อดีกว่าลูกในไส้

แต่ในความเป็นจริง แม่ของเด็กหญิงแอซุนนั้นรักและเป็นห่วงลูกสาวคนโตกับสามีเก่าที่เสียไปแล้วเป็นอย่างมาก เธอไม่อยากให้ลูกต้องมาเสี่ยงอันตรายทำงานในทะเลแบบที่เธอทำ และไม่ต้องการให้ลูกอยู่ในสถานะคนรับใช้ของบ้านไหนด้วย แต่ด้วยสถานะของเธอที่ยากจน แถมยังมีสามีใหม่ เธอจึงตัดสินใจห่างจากลูก ทิ้งเด็กสาวไว้กับครอบครัวของสามีเก่าที่พอมีอันจะกิน เพราะยังไงเด็กน้อยก็อยู่ในสถานะหลานของบ้านนั้น ให้บ้านนั้นเลี้ยงดู ส่งให้เรียนหนังสือ มีชีวิตที่ดี ๆ ทว่าเด็กน้อยก็ร้องหาแต่จะอยู่กับแม่ ด้วยความที่เป็นหลานสาวของบ้าน ทำให้แอซุนถูกเลี้ยงอย่างทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่เคยให้กินอาหารดี ๆ และบางทีก็จิกหัวใช้ไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้

เมื่อแม่แอซุนรู้เข้า เธอโกรธจัดขนาดที่ไปพาลูกสาวออกมาจากบ้านนั้นทันที แต่การพาแอซุนกลับมาอยู่ด้วย ทำให้เธอต้องทำงานหนักมากกว่าเดิมเพราะต้องหาเลี้ยงเพิ่มอีกท้อง สามีใหม่ที่มีก็ไม่ค่อยจะเอาอ่าว แล้วไหนจะลูกกับสามีใหม่อีก 2 คน เธอฝืนตัวเองดำน้ำหนักกว่าเดิมทั้งที่ร่างกายไม่ไหว ขนาดหมอผีในหมู่บ้านมาเตือนว่าผีร้ายจ้องจะเอาชีวิตเธอในทะเลเธอก็ไม่ได้กลัว เพราะผีไม่ได้น่ากลัวเท่ากับคุณภาพชีวิตของลูก ๆ ของเธอ โดยเฉพาะแอซุนที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของเธอ นั่นทำให้เธอเธอยังคงฝืนสังขารทำงานหนักต่อไป เธอยอมแลกทุกอย่างเพื่อลูกสาวคนนี้ จนกระทั่งไม่ไหว และจากไปในวัยเพียง 29 ปีเท่านั้น
ทำไมกันนะ ยิ่งเป็นแม่คนแล้วก็ยิ่งคิดถึง หนูคิดถึงแม่กว่าเดิมอีก

ความคิดแบบเด็ก ๆ ในวัย 10 ขวบที่แอซุนเคยมีต่อแม่ผู้ล่วงลับ ว่าเห็นเป๋าฮื้อดีกว่าลูก หรือเพราะแม่ไม่รักเลยทิ้งตัวเองไว้กับครอบครัวของพ่อที่มีอาใจร้าย มลายหายไปทันทีเมื่อเธอกลายเป็นแม่คนในวัยเพียง 18 ปี แม้จะยังเด็กมาก ๆ แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชน และไหนจะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากทุกรูปแบบเมื่อไม่มีคอยเป็นเบาะรับแรงกระแทกให้อีกต่อไป ในวันนี้เธอรู้ทุกอย่างและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าในเวลานั้นแม่ของเธอคิดอะไรอยู่ เพราะเธอเองก็กำลังคิดแบบเดียวกันกับที่แม่ของเธอคิด

แอซุนในวัยเด็ก เด็กเกินไปที่จะเข้าใจว่า “ความรัก” และ “ความเสียสละ” ที่แม่พยายามมอบทุกอย่างให้กับเธอเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีให้ได้ หรือต่อให้ไม่มีก็ไปหามาให้จนมี มันเป็นอย่างไร จนกระทั่งเมื่อเธอได้มาเป็นแม่ด้วยตัวเอง ช่วงเวลาที่ต้องฝ่าฟันเพื่อความรักระหว่างเธอกับกวานชิกว่าหนักแล้ว ตอนมีลูกสาวคนแรกอย่างกึมมยองนี่หนักกว่าอีก เพราะความยากลำบากมันไม่ใช่แค่เรื่องที่เรียนไม่จบกันทั้งคู่ จนต้องทำงานรับจ้างใช้แรงงานไปวัน ๆ เพื่อให้มีเงินกินเงินใช้ แต่มันยังสะท้อนชีวิตของสตรีที่ถูกกดทับในสังคมชายเป็นใหญ่มาตั้งแต่แม่ของเธอ ตัวเธอเอง และลูกสาวคนแรกของเธอ ด้วยการที่ “เป็นผู้หญิง”

แม้ปากจะบอกว่าจะไม่ยอมแต่งงานกับคนเกาะ จะแต่งงานกับหนุ่มเมืองหลวงเท่านั้น เพราะไม่อยากมีชีวิตเหมือนแม่ (และแม่ก็ไม่อยากให้เหมือน) แต่ท้ายที่สุดแอซุนก็ดันลงหลักปักฐานกับสามีชาวเกาะ และมีชีวิตเกือบจะซ้ำรอยแม่ของตัวเองด้วย ครอบครัวของสามีเธอไม่ต่างอะไรกับครอบครัวของพ่อของเธอ ที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของผู้หญิง และเห็นว่าผู้หญิงเป็นได้เพียงแม่บ้านที่ต้องอยู่บ้านปรนนิบัติรับใช้ครอบครัวของสามีไปตลอดชีวิต หนำซ้ำ ลูกสาวของเธอก็โดนพูดกรอกหูอยู่ทุกเช้าทุกเย็น ว่าให้ไปเริ่มหัดดำน้ำได้แล้ว โตอีกหน่อยจะได้ไปเป็นแฮนยอหาเลี้ยงครอบครัว เป็นกระดูกสันหลังแบกคนทั้งบ้าน แต่…เธอไม่ได้อยากให้ลูกของเธอเป็นแบบนั้น ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว

ด้วยเหตุนี้ ทำให้เธอต้องสวมบทเหมือนแม่ของตัวเอง และยอมเป็นสะใภ้นิสัยไม่ดี ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ลูกสาวเดินซ้ำรอยเธอและแม่ของเธอเป็นอันขาด เธอไม่ต้องการให้ลูกสาวของเธออยู่ในครัวไปตลอดชีวิต ไม่ต้องการให้ลูกของเธอเป็นคนรับใช้รองมือรองเท้าใครทั้งนั้น เธออยากให้ลูกสาวของเธอมีทุกอย่างเหมือนเด็กคนอื่น ทำให้เป็นทุกอย่าง ทั้งนี้เธอก็โชคดีกว่าแม่ของเธอ ที่สามีเธอสนับสนุนเธอทุกอย่าง ต่อให้เธอล้มโต๊ะกินข้าวในบ้าน เขาก็ยังจะอยู่ข้างเธอ เพราะเขารู้ดีว่าครอบครัวเขาทำไม่ดีกับภรรยา และเขาเองก็ไม่ชอบทัศนคติของย่า พ่อ และแม่ของตัวเองเหมือนกัน
พ่อแม่มักโกรธตัวเองที่ทำเพื่อลูกไม่ได้ ลูกก็มักโกรธพ่อแม่ที่ทำเพื่อลูกไม่ได้เช่นกัน
ตัดภาพมาที่กึมมยอง ลูกสาวของแอซุนในวัยโตเป็นสาว เธอเองคือประจักษ์พยานที่รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองเคยลำบากกันมาขนาดไหนเพื่อให้ตัวเธออยู่ดีมีสุขอย่างเช่นทุกวันนี้ ถ้าวันนั้นพ่อกับแม่ของเธอไม่พาเธอหนีออกออกมาจากบ้านของทวด เธอเองก็คงต้องเป็นแฮนยอดำน้ำเก็บหอยเก็บสาหร่าย เป็นเดอะแบกแบกทุกคนในบ้านของพ่อ และไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนหนังสือจบสูง ๆ มีงานมีการดี ๆ ทำแบบสาวสมัยใหม่ ชีวิตมาไกลถึงขนาดที่เกือบได้แต่งงานเข้าตระกูลเศรษฐี เป็นลูกสะใภ้ของผู้ช่วยรัฐมนตรีคนต่อไปเลยทีเดียว

กึมมยอง เติบโตขึ้นมาโดยที่ได้ยินแม่พูดอยู่บ่อย ๆ ว่าไม่อยากให้ตัวเธอมีค่าด้อยไปกว่าใคร ตัวเธอคือลูกสาวคนโตที่ถูกรักโดยพ่อแม่คู่หนึ่งที่พยายามเลี้ยงเธอมาอย่างดี ส่วนตัวเธอเองก็เห็นค่าของความเสียสละนั้นและพยายามเติบโตมาอย่างดีเช่นกัน ด้วยความที่เห็นพ่อแม่โกรธตัวเองและโทษตัวเองเสมอเวลาที่รู้สึกว่าทำเพื่อลูกไม่ได้ เพราะฉะนั้น ตัวเธอเองก็มีความภาคภูมิใจในส่วนนี้อยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มีปมในชีวิตบางอย่างที่จุกอกของเธออยู่ ด้วยความที่เป็นลูก และยังไม่เคยมีประสบการณ์เป็นแม่คน (แบบที่แอซุนเองก็เพิ่งจะเข้าใจแม่ตัวเองตอนมีลูก) ทำให้บางทีกึมมยองเองก็แอบโกรธและโทษพ่อแม่ที่ทำเพื่อตัวเองไม่ได้

บ่อยครั้งที่เธอเองก็ไม่ใช่ลูกที่ดีและทำให้แม่ต้องเสียใจ จากคำพูดเอาแต่ใจที่ไปจี้ปมของแม่ ถึงอย่างนั้นตัวเธอเองก็เจ็บปวดเหมือนกัน ทั้งที่รู้ว่าพ่อแม่ทำให้ตัวเองขนาดไหน แต่ตัวเองก็คาดหวังนู่นนี่นั่นตามประสาเด็กสาว แต่ในที่สุด เธอเองก็คิดได้และเป็นฝ่ายที่ต้องมาขอโทษแม่ เพราะเมื่อนึกย้อนไปแล้ว ก็พ่อแม่จน ๆ ของเธอที่เลี้ยงเธอมาแบบเติมเต็มทุกอย่างให้เธอไม่ได้นั่นแหละ คือป้อมปราการสำคัญที่ทำให้เธอไม่ต้องกลายเป็นแฮนยอ และก็ทำให้เธอมีการศึกษาดี ๆ มีงานการดี ๆ ทำในเมืองหลวงแบบนี้ ถึงจะให้ทุกอย่างไม่ได้ แต่ก็ให้ในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาให้ได้

หลังจากที่ดู When Life Gives You Tangerines จบ 4 อีพีจากทั้งหมด 16 อีพี ถ้าเนื้อเรื่องยังดำเนินแบบลึกซึ้งกินใจแบบนี้ต่อไป และมีปมดราม่าเศร้า ๆ แต่จบสวยมาสะกิดต่อมน้ำตาคนดู ค่อนข้างมั่นใจเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้จะต้องเป็นซีรีส์เกาหลีขึ้นหิ้งอีกเรื่องที่จะถูกกล่าวถึงในอนาคตข้างหน้า รวมถึงสร้างตำนานอีกหน้าให้กับนักแสดงนำทั้ง 2 คนอย่าง ไอยู และ พัคโบกอม ทั้ง 2 คือนักแสดงที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่น่าหดหู่แต่ก็แสนจะน่าประทับใจไปพร้อม ๆ กันของตัวละคร “โอแอซุน” และ “ยังกวานชิก” ได้น่าทึ่งมาก มันมีความแตกต่างจากเป็นช่วงเป็นเด็กต่างจังหวัดยุค 50-60’s จีบกัน จนพัฒนาขึ้นมาเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นสามีภรรยา และเป็นพ่อกับแม่ของเด็ก 2 คน ส่วนรุ่นใหญ่ที่มารับไม่ต่อในช่วงวัยผู้ใหญ่อย่าง มุนโซรี และ พัคแฮจุน ก็สานต่อเรื่องราวได้สมูธมาก ๆ
ส่วนใครที่กลัวว่าตับไตจะพังหมด เพราะไม่ไว้ตาสีนกแก้วของ ไอยู และความเป็นไอ้หนุ่มซื้อบื้อของ พัคโบกอม ถ้า 4 อีพีแรกไม่มีปัญหาอะไรนะ น้ำตาร่วงทุกอีพีก็จริง แต่มันไม่ใช่แค่เศร้า มันยังมีความประทับใจ ความซึ้ง ความน่ารัก แบบที่กลมกล่อมมาก ๆ ก็สมกับชื่อเรื่องนั่นแหละ When Life Gives You Tangerines ยิ้มไว้ในวันที่ส้มไม่หวาน ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ หวานบ้าง เปรี้ยวบ้าง ขมบ้าง และการเดิมพันชีวิตของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ทำเพื่อลูก ชีวิตของตัวเองพังไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร ลูกฉันต้องไม่พัง ส่วนลูก ๆ ก็จงตั้งใจใช้ชีวิต ไม่ต้องดีมากก็ได้แต่ขอให้มีความสุข ยิ้มเข้าไว้! ให้สมกับที่พวกท่านแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเรา แล้วความอบอุ่นจะโอบกอดเราเอง 🍊