พรุ่งนี้แล้วที่จะเป็น “วันสุดท้าย” ของเดือนมีนาคม ปี 2567 ซึ่งเป็นอีกเดือนที่มีเรื่องราวนับหมื่นนับแสนเกิดขึ้นจนทำให้ชีวิตอีรุงตุงนังไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ซีรีส์ที่ทำให้ชีวิตว้าวุ่น มีซีรีส์ใหม่ปล่อยออนแอร์ร่วมสิบเรื่องเลยมั้งในเดือนนี้ ดูทันก็ดู ดูไม่ทันก็ต้องปล่อย แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พยายามจัดเข้าคิวทันทีที่รู้ว่าจะปล่อยสตรีมวันไหน (ซีรีส์ก็ต้องจัดคิวนะจ๊ะ) ทั้งที่ยังไม่ชัวร์ด้วยซ้ำว่าจะมีซับไทยให้ดูหรือเปล่า ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เปิดซีรีส์เกาหลีดูใน TrueID เพราะปกติดูแต่โคนันและซีรีส์ไทย 2-3 เรื่อง
The Midnight Studio เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับห้องถ่ายภาพปริศนาที่เปิดให้บริการเฉพาะเวลากลางคืน และลูกค้าของที่นี่คือคนตายเท่านั้น โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ ไม่ใช่ว่าคนตายทุกคนที่จะหาห้องถ่ายภาพแห่งนี้พบ แต่ต้องเป็นคนตายที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะฝืนเดินทางย้อนศรบนเส้นทางไปยมโลก บทลงโทษของการฝืนธรรมชาติเดินทางย้อนกลับมา คือการหลงทาง ต้องเผชิญกับพายุหิมะที่หนาวเหน็บราวกับจะกรีดเนื้อจนฉีก ต้องเดินผ่านสะพานข้ามแผ่นดินถล่มที่มีเปลวเพลิงร้อนระอุไหลผ่าน ต้องเดินฝ่าหนทางที่คดเคี้ยวไร้จุดสิ้นสุด จนกว่าจะมาบรรจบกับสถานที่ที่รู้จักกันในชื่อว่า “ห้องถ่ายภาพแห่งรัตติกาล”
ทั้งที่หนทางในการตามหาห้องถ่ายภาพแห่งนี้ทั้งยากลำบากและโหดร้าย แต่ทำไมคนเหล่านั้นถึงกล้าที่จะเดินทางย้อนกลับมา ไม่มุ่งหน้าไปยมโลกเหมือนคนตายคนอื่น ๆ นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาเหล่านี้ยังมี “สิ่งที่ติดค้างในใจ” ในช่วงลมหายใจสุดท้าย ซึ่งการย้อนกลับมาและตามหาห้องถ่ายภาพแห่งรัตติกาลให้เจอ ก็เพื่อให้ช่างภาพซึ่งเป็นเจ้าของห้องถ่ายภาพแห่งนี้ ช่วยถ่ายภาพความทรงจำสุดท้ายของตัวเอง ภาพถ่ายที่ไม่มีมนุษย์หน้าไหนสามารถถ่ายเก็บไว้ได้ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เพื่อให้ตัวเองหมดห่วง และสามารถเดินทางไปยมโลกได้โดยไม่ติดค้างอะไรอีก

เรื่องย่อข้างต้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ด้วยมันเป็นพล็อตหลักของเรื่อง แต่จริง ๆ แล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ยังมีปริศนาที่ชวนให้คนดูต้องคอยติดตาม เรื่องปมของตัวละครหลัก 4 ตัว ตัวละครแรก พระเอก เขาเป็นช่างภาพและเจ้าของห้องถ่ายภาพรัตติกาล ดูแลกิจการในฐานะทายาทรุ่นที่ 7 สืบทอดจากบรรพบุรุษ อย่างไรก็ตาม การเห็นผีและมรดกห้องถ่ายภาพนี้ ที่จริงมันคือคำสาปตกทอดจากบรรพบุรุษของเขา มนุษย์หน้าโง่ที่บุกเข้าไปขโมยกล้องถ่ายภาพจากยมทูตเพื่อหวังใช้อำนาจปาฏิหาริย์ของกล้องช่วยบุตรชายที่ใกล้ตายให้ฟื้นคืนชีพ คำสาปมีผลให้ทุกคนในตระกูลจะมีอายุอยู่ได้เพียง 35 ปีไม่เกินนี้ และทุกคนจะต้องตายอย่างอเนจอนาถ จากการถูกผีร้ายที่อยากได้กล้องมาชุบชีวิตตัวเองตามฆ่า

ตัวละครนางเอก เป็นสาวนักกฎหมายฝีมือดีที่มีดีกรีเป็นถึงอดีตอัยการ แต่เพราะไปทำเรื่องขัดแข้งขัดขาคนที่อำนาจมากกว่า เลยถูกหมายหัวจนแทบหมดหนทางในสายอาชีพ ขนาดกลายมาเป็นทนายความตัวเล็ก ๆ ที่หากินกับลูกค้าขาจร ความเป็นอยู่จึงค่อนข้างเดือดร้อนนิดหน่อย ทั้งเรื่องงานและความเป็นอยู่ เพราะยายเข้าใจว่านางเป็นหลานไม่เอาไหน ลาออกจากงานมาเดินเตะฝุ่นนานถึง 3 ปี เกาะยายกินไปวัน ๆ ยายจึงไล่นางออกจากห้องใต้หลังคาเพื่อให้นางไปหาทำงานทำการ แล้วให้พระเอกมาเช่าอยู่แทน ทั้งคู่จึงได้พบกันอีกครั้ง

นอกจากนี้ก็คือ ตัวละครผีผู้ช่วยที่ห้องถ่ายภาพรัตติกาล 2 ตน ตนหนึ่งเป็นผีที่ตายจากการทำงานหนัก ในคืนที่เขารีบทำงานเพราะมีนัดเดตกับสาวที่รู้จักกันผ่านออนไลน์ หน้าที่ของเขาคือ รับผิดชอบงานขายกับลูกค้าผี ส่วนอีกตน เป็นผีที่อายุมากกว่า แต่ถือเป็นรุ่นน้องในวงการผี เขาเป็นอดีตสายสืบตึวตึงที่อย่าหาไปมีเรื่องด้วยถ้ายังอยากมีชีวิตที่สงบสุข และเป็นผีที่พยายามกลับบ้านไปหาภรรยาทุกวัน หน้าที่ของเขาคือรับผิดชอบงานจุกจิกจิปาถะต่าง ๆ ทำสารพันงานบ้านตามคำสั่งผู้ช่วยคนแรก และถนัดเรื่องใช้พลังผี ๆ ซึ่งปมของผีทั้ง 2 ตนก็คือ ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาจึงยังไม่เดินทางไปยมโลก พวกเขากำลังไขปริศนาบางอย่างของตนเอง จนมาติดแหง็กเป็นลูกจ้างอยู่ที่ห้องถ่ายภาพรัตติกาลแห่งนี้
ในบรรดาความทรงจำมากมายในชีวิต มีเพียงหนึ่งภาพที่เราไม่สามารถถ่ายได้ นั่นคือความทรงจำสุดท้ายของตัวเอง

The Midnight Studio ไม่ใช่ซีรีส์เรื่องแรกหรอกที่มีพล็อตพระเอก-นางเอกคนเป็นต้องช่วยกันหาคำตอบและทำภารกิจเพื่อส่งดวงวิญญาณผู้วายชนม์ที่ยังคงมีพันธะบางอย่างก่อนตายให้ไปสู่สุคติ จริง ๆ ต้องบอกว่าเกาหลีทำออกจะบ่อยด้วยซ้ำไป เมื่อเทียบกับซีรีส์ที่พล็อตหวือหวาขวัญใจมหาชน พล็อตลักษณะนี้จะมีประมาณปีละเรื่องเป็นอย่างน้อย ซึ่งไม่ว่าเกาหลีจะทำซีรีส์แนวนี้ออกมากี่เรื่อง นี่เป็นคนหนึ่งที่ตามดูจนจบแทบทุกเรื่อง หลายเรื่องดูวนซ้ำหลายครั้งด้วย เลือกเปิด ep ที่รู้สึกประทับใจมาดู เพราะมันมักจะนำเสนอเป็นเคสย่อย ๆ อยู่แล้ว
ในคอลัมน์นี้ก็เคยหยิบยกมาเขียนถึงหลายเรื่อง พล็อตไม่ได้ตรงกันเป๊ะแต่ก็ใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็น Sell Your Haunted House วิญญาณมีห่วงที่ติดอยู่ในบ้านจนบ้านขายไม่ออก, Move to Heaven ทีมเก็บกวาดที่เกิดเหตุที่ต้องมาไขปริศนาจากข้าวของที่เหลืออยู่ของคนตาย ว่าคนตายต้องการอะไร, Tomorrow ทีมนี้ไม่ได้ช่วยคนตาย แต่ช่วยคนที่กำลังจะตายหรือคิดจะฆ่าตัวตายทำภารกิจให้เห็นถึงคุณค่าของชีวิต, If You Wish Upon Me ทีมจีนี่ในโรงพยาบาลบริบาลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ที่พยายามทำความต้องการสุดท้ายของผู้ป่วยสภาพร่อแร่ให้เป็นจริงก่อนหมดลม และ May I Help You ทีมงานผู้ให้บริการคนที่ตายไปแล้ว จากสิ่งที่เขาไม่มีโอกาสทำ

และสำหรับเรื่อง The Midnight Studio ก็เหมือนกัน ทีมช่างภาพในห้องถ่ายภาพรัตติกาล คือทีมที่จะช่วยให้คนตายได้เก็บภาพความทรงจำสุดท้ายในแบบที่เขาปรารถนา โดยปกติมนุษย์มักจะเก็บภาพความทรงจำที่สวยงามในชีวิตของตัวเองด้วยภาพถ่าย เมื่อตายไปแล้ว ภาพถ่ายจะถูกทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ความทรงจำของคนนั้น ๆ แต่ความทรงจำสุดท้าย มนุษย์จะไม่มีโอกาสได้เก็บภาพไว้ เพราะมันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เสี้ยววินาทีในการก้าวผ่านจากความเป็นสู่ความตาย ซึ่งสิ่งที่น่าเห็นใจก็คือ ไม่ว่าใครจะมีเรื่องอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ทุกอย่างจะจบสิ้นลง โดยที่พวกเขาไม่มีโอกาสกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก มันทำให้จิตของคนตายที่ไม่สามารถปล่อยวางได้ ไม่อาจจากไปได้แบบสุขสงบ
ที่มาของแนวคิดสตูดิโอนี้มาจากคำกล่าวที่ว่า “เสือตายยังทิ้งหนังไว้ ระหว่างที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ก็ทิ้งภาพถ่ายเอาไว้เช่นกัน” แต่ในบรรดาความทรงจำเหลือคณานับในชีวิตมนุษย์ ความทรงจำสุดท้ายกลับเป็นความทรงจำที่ไม่อาจถ่ายเป็นภาพเก็บไว้ได้นั่นเอง หลายคนจึงจำต้องจากไปทั้งที่มีความทรงจำสุดท้ายที่ไม่ดี ความทรงจำสุดท้ายที่ไม่มีโอกาสจะบอกลา ความทรงจำสุดท้ายที่ไม่ถูกเติมเต็ม หรือความทรงจำสุดท้ายที่ไม่อาจทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้คนข้างหลังได้รู้ ซึ่งคนเป็นอย่างเราก็ไม่อาจรู้ได้เช่นกันว่าพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหนในยมโลก เมื่อต้องติดหล่มอยู่กับความเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ทำหรือแก้ไขอะไรเลย

การทำงานของห้องถ่ายภาพรัตติกาล จึงเป็นการปลดปล่อยห่วงสุดท้ายที่ยังรั้งดวงจิตของคนตายไว้นั่นเอง เพื่อให้คนตายเดินทางสู่ภพหน้าอย่างมีความสุข ส่วนความทรงจำจะเหลือทิ้งไว้ ณ ที่แห่งนี้ และกับคนสุดท้ายที่คนตายผูกพันด้วยมากที่สุด แต่ละเคสคนตายเหมือนจะจบลงด้วยดีใช่ไหม แต่…เปล่าเลยกับซีรีส์เรื่องนี้ เพราะยิ่งเวลายังเดินต่อไปเรื่อย ๆ ชีวิตของพระเอกก็ได้แต่นับถอยหลังรอวันตายของตัวเองตามคำสาป ในวันเกิดที่เขาจะอายุครบ 35 ปีเต็ม ตรงนี้นี่แหละที่ทำให้ตัวซีรีส์ดูน่าติดตามมากยิ่งขึ้น เขาช่วยเหลือดวงวิญญาณคนอื่น ทว่าทำอะไรกับชะตาตัวเองไม่ได้
คนที่ถูกกำหนดวันตายแล้ว จะเชื่อว่าพวกเขาสามารถจัดการชีวิตตัวเองได้
ยิ่งดูก็ยิ่งขมขื่นกับชะตาชีวิตของพระเอก ยิ่งซีนหลังจากที่เขาถ่ายภาพให้คนตายเสร็จเรียบร้อย ช่วยส่งดวงวิญญาณของผีเหล่านั้นให้ไปสู่ภพหน้าแบบสวย ๆ หล่อ ๆ (หมดห่วงแล้วไง เลยไม่ต้องเดินทางแบบสภาพเละ ๆ) แต่ตัวเองต้องถือปากกามาขีดฆ่าปฏิทินทุกคืน นับถอยหลังว่าอีกกี่วันจะถึงวันเกิดปีที่ 35 ของตัวเอง แต่วันเกิดในปีนี้มันช่างแสนพิเศษ เพราะมันจะเป็นวันตายของตัวเขาด้วย ในมุมหนึ่งมันอาจจะดีนะถ้าคนเรารู้วันตายที่แน่นอนของตัวเอง จะได้จัดการชีวิตได้ว่าต้องรีบทำอะไร หรือไม่ความเริ่มทำอะไร เพราะอาจจะทำไม่ทันเสร็จก็ตายซะแล้ว

แต่ในอีกมุม การใช้ชีวิตอยู่แบบคนที่รู้ว่าตัวเองจะตายตอนไหน มันก็น่าหดหู่ไม่น้อยเหมือนกันนะ แบบพระเอกที่พยายามเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับใคร (จริง ๆ คือการออกนอกบ้านเป็นเรื่องเสี่ยงถูกผีร้ายไล่ล่า) พยายามจะไม่สานสัมพันธ์กับใคร เพราะเขารู้ตัวว่าตัวเองจะอยู่อีกไม่นาน เวลาของเขามีเหลืออยู่แค่ไหน การเริ่มต้นความสัมพันธ์คือการสร้างภาระทางใจให้มีคนข้างหลัง คนที่ตัวเขาเองจะต้องทิ้งไว้ในวันที่ตัวเองจากไป ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าอีกไม่นานเขาจะต้องทิ้งใครคนนั้นไว้ เขาจึงพยายามจะมีชีวิตอยู่ในแบบของเขาโดยที่ไม่มีเบอร์โทรใครสักคน อยู่ในโลกของเขา เมื่อก่อนเขาเผชิญหน้ากับทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวด้วยซ้ำ แต่มาในวันนี้ยังมีผีผู้ช่วยอีก 2 ตนคอยสร้างสีสันอยู่ข้าง ๆ
อีกประเด็นที่ว่าพระเอกนั้นเป็นคนน่าสงสาร ก็เพราะว่าตัวเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงมรดกคำสาปที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพียงเพราะเขาเป็นคนในตระกูลนี้ ตระกูลที่บรรพบุรุษของเขายอมชดใช้ความผิดฐานขโมยกล้องถ่ายภาพของยมทูตและยอมแลกชีวิตทั้งของตัวเองและของสายเลือดทุกคนให้กับลูกชายตัวเอง ที่แม้ว่าจะรอดตายในวันนั้น แต่ก็ต้องอายุสั้นและตายตอนอายุ 35 ปีเช่นกัน ทว่าลูกหลานเหลนคนอื่น ๆ ในอนาคตไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจในครั้งนี้เลยไง แต่ดันต้องมาร่วมหารคำสาปเดียวกันที่สืบทอดยาวไปเป็นร้อยปี ซึ่งนี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลที่พระเอกไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับใคร เพราะเขาอาจจะไม่ต้องการมีทายาทเพื่อสืบทอดคำสาปนี้อีกต่อไปแล้ว ให้มันจบที่เขาพอ

สำหรับพระเอก เขาคุ้นเคยกับความตาย คุ้นเคยกับผี คุ้นเคยกับความโดดเดี่ยวที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียวด้วยความไม่ตั้งใจ เมื่อถึงกำหนดอายุ 35 ปี ทุกคนก็มาด่วนจากเขาไปหมด แม้ว่ากับอาที่เคยสัญญากันดิบดีว่าจะพยายามเอาชนะคำสาปให้ได้ ก็มาหายสาบสูญไปโดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเป็นหรือตาย เขาต้องรับช่วงกิจการต่อด้วยตัวคนเดียวตั้งแต่อายุยังน้อย และต้องเผชิญหน้ากับคำสาปที่โหดร้ายที่สุด ซึ่งก็คือ การต้องอดทนใช้ชีวิตที่แสนสั้นนี้ด้วยความโดดเดี่ยวและทรมาน แม้ว่าเขาจะชินชากับมันและเตรียมพร้อมรับความตายในทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน แต่มันก็หนักหนาเกินไปสำหรับคนธรรมดาแบบเขาอยู่ดี
อย่างที่บอกว่าถ้าพูดเรื่องความตายกับพระเอก เขาคงตายด้านกับมันไปแล้ว เขารู้ว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่และทำอยู่มันอาจทำให้ตัวเขาตายได้ตลอดเวลา ซึ่งจริง ๆ เขาก็เคยเผชิญหน้ากับมันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาก็พยายามสุดชีวิตที่จะอยู่ให้ได้นานที่สุด นานถึงวันสุดท้ายที่เขารู้ดีว่าวันไหน หรือก็คือไม่ตายก่อนที่จะถึงวันตายที่แท้จริง และเขาก็ทำได้ดีมาตลอด จนถึงตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือนที่จะถึงวันเกิดอายุครบ 35 ปีของเขา วันตายของเขากำลังใกล้เข้ามา ในขณะเดียวกันกับที่เขาเจอผู้หญิงประหลาดคนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาไม่เหมือนที่ผ่านมา

เธอคนนี้คือหลานสาวเจ้าของบ้านที่เขาเช่าอยู่ เธอมาพร้อมกับความสามารถสุดประหลาด ดูเหมือนว่าเธอจะมีพลังป้องกันผีร้ายซ่อนเร้นอยู่ในตัว ซึ่งเธอเคยช่วยเขาไว้จากการถูกวิญญาณอาฆาตไล่ล่า อีกทั้งเธอยังเป็นมนุษย์คนแรก (นอกจากเขา) ที่มีอำนาจเปิดประตูคนเป็นของห้องถ่ายภาพ แถมยังเดินตัวปลิวผ่านประตูข้ามแดนระหว่างโลกมนุษย์กับโลกแห่งความตายเข้าไปได้อย่างหน้าตาเฉย มันทำให้เขาเริ่มมีความหวังที่จะขอร้องให้เพื่อนบ้านผู้นี้มาเป็นเซฟโซนป้องกันผีให้เขา โดยที่ตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่รู้ว่าเซฟโซนกันผีที่ว่า จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อพวกเขาอยู่ข้าง ๆ กันเท่านั้น นางเอกไม่ได้มีพลังคนเดียว แต่พวกเขาต้องอยู่ภายใต้พื้นที่วงกลมเล็ก ๆ วงเดียวกัน ถึงจะช่วยเหลือกันและกันได้
ฉันเหมือนคนโง่เลย ไม่รู้เลยว่านี่คือโอกาสสุดท้ายแล้ว คิดแต่ว่าฤดูใบไม้ผลิจะเวียนมาเหมือนเดิม เวียนมาเหมือนทุกปี

เรื่องดราม่าไม่ได้มีเกิดขึ้นแค่กับพระเอกเท่านั้น แต่ชีวิตของนางเอกเองก็ดราม่ารุนแรงไม่ต่างกัน เรื่องที่เธอถูกไล่ออกจากการเป็นอัยการยังคงเป็นปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องให้เรื่องค่อย ๆ เฉยไป แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้ก็คือ นางเอกอาศัยอยู่กับยายหลังจากที่พ่อแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และมีเธอรอดมาได้แค่คนเดียว พอจะเดาออกใช่ไหมว่าเรื่องดราม่าของนางเอกคืออะไร
เป็นอีกครั้งที่นางเอกต้องเผชิญกับความสูญเสียหลังจากที่ตัวเธอเองก็มีปมที่รักษาชีวิตใครไว้ไม่ได้เลย การสูญเสียยาย กลายเป็นเรื่องที่ทำให้เธอโทษตัวเองหนักมากอีกครั้งเพราะเธอเอาแต่คิดว่า “ฤดูใบไม้ผลิจะเวียนมาเหมือนเดิมทุกปี” เธอชวนยายไปดูดอกไม้บานครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนยายก็ปฏิเสธทุกครั้งเพราะต้องขายของ (แซะหลานว่าหมดฤดูดอกไม้บานแล้ว จนดอกไม้ร่วงไปเป็นชาติ) นางเอกที่เห็นว่ายายยังแข็งแรงและมีความสุขดีก็เลยไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาก ปีนี้ไปไม่ทันก็ไว้ไปปีหน้า ยังไงฤดูใบไม้ผลิก็วนมาทุกปี โดยที่เธอไม่เคยนึกเอะใจว่ายายของเธอก็แก่ลงทุกปีเหมือนกัน และในที่สุดข่าวร้ายก็มาเยือน ยายของเธออยู่ไม่ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า! ครั้งหน้าไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป

“ผูัคนมักจะคิดว่าความตายเป็นเรื่องไกลตัว เป็นอนาคตอันห่างไกลที่จะมาถึงตัวในสักวัน แต่ความจริงแล้วพวกเรารู้ดีว่าช่วงเวลาเหล่านั้นจะมาถึงพวกเราเร็วกว่าที่คิดไว้” ตัวพระเอกที่เตรียมตัวเรื่องการตายของตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพราะรู้ว่าวันสุดท้ายของตัวเองคือเมื่อไร กับนางเอกที่ใช้ชีวิตแบบคนปกติที่ไม่รู้ว่าวันสุดท้ายไม่รู้ว่าจะมาเยือนตอนไหน เพราะก่อนวันสุดท้าย มันก็เป็นแค่วันธรรมดา ๆ วันหนึ่ง เธอไม่เคยรู้เลยว่าการออกมาทำงานวันนี้ กลับไปก็จะไม่เจอยายที่บ้านอีกแล้ว บวกกับการที่เธอรู้สึกผิดที่ไม่เคยคิดเลยว่าครั้งสุดท้ายจะมาเยือนเธอเมื่อไรก็ได้ เธอโกรธตัวเองที่คิดว่ายังมีพรุ่งนี้สำหรับเธอเสมอ
แต่ในความเป็นจริง ไม่ใช่แค่หลานหรอกที่ไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายจะมาเร็วกว่าที่คิด เพราะยายเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นวันสุดท้ายของตัวเอง แกเองก็ไม่รู้หรอกว่าออกจากบ้านมาวันนี้แล้วจะไม่ได้กลับไปอีก บวกกับการที่ภารกิจที่แกตั้งใจจะทำเพื่อหลานก็ยังไม่ลุล่วง นั่นเป็นเหตุให้แกต้องวนกลับไปที่ร้านถ่ายรูปรัตติกาล ไปขอความช่วยเหลือจากพระเอกให้ช่วยปลดล็อกพันธนาการสุดท้าย ซีนนี้เป็นซีนที่ทำเอาคนดูร้องไห้จนตาบวม เพราะคุณยายแกติดเรื่องปากไม่ตรงกับใจ ทำอะไรไม่เผยเป้าหมายที่แท้จริง รักหลานห่วงหลาน เลยจัดการทุกอย่างตามอำเภอใจ โดยไม่คิดว่าสิ่งที่หลานต้องการมากที่สุดก็คือ การบอกลายายเป็นครั้งสุดท้าย และยกฤดูใบไม้ผลิมาไว้เวลานี้ เท่านั้น!

ใครที่ใจไม่แข็งพอ บอกเลยว่าคุณควรเตรียมทิชชู่เอาไว้หลาย ๆ ม้วนหน่อยสำหรับการดูซีรีส์เรื่องนี้ เปิดเรื่องมา 5 อีพี ยังไม่มีอีพีไหนเลยที่ไม่ทำคนดูร้องไห้ จริง ๆ คือมันไม่ได้เศร้า ไม่ได้ซึ้ง หรือชวนตับพังอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าคนมีประสบการณ์ร่วมถึงการสูญเสีย เป็นคนเป็นที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หรือการที่เห็นภาพชัดเจนว่าคนที่ตายไปทั้งที่ยังมีห่วงอยู่ เขาเองก็ทุกข์ทรมานจนไปไม่ได้เหมือนกัน (ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นยังไงไม่รู้นะ ไม่เคยตาย 555) เรื่องราวที่เล่าอาจจะทำให้ร้องไห้ แต่มันฟีลกู้ดดีจริง ๆ ใครกลัวผี บอกเลยว่าตัวซีรีส์มันไม่ได้ทำให้เราโฟกัสความน่ากลัวของผี แต่ชวนให้โฟกัสเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนจะเป็นผีมากกว่า เรื่องราวที่ทำให้เรารู้คุณค่าของชีวิต ก่อนวันสุดท้ายมาเยือน! 🪦