If You Wish Upon Me ชีวิตคือ “อยู่อย่างมีความหมาย ตายอย่างมีความสุข”

ภาพจาก FB : KBS 한국방송

“ชีวิตคนเรา มันก็เท่านี้แหละ!” เชื่อได้เลยว่าไม่ใช่แค่เราคนเดียวหรอกที่เคยได้ยินข้อความนี้ จะต้องมีเพื่อนร่วมทางที่เคยได้ยินเหมือนกันแน่ ๆ ส่วนตัวเรามักจะเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ได้ยินคนพูดแบบนี้ค่อนข้างบ่อยทีเดียว เมื่อก่อนตอนที่ยังเด็กและช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น ก็คงไม่มีใครมานั่งพยายามหาคำตอบหรอกเนอะว่า “เท่านี้แหละ” เนี่ย มันคือเท่าไหนกันแน่ มันใหญ่มันเล็ก มันมากมันน้อย มันคือเท่าไรกันแน่ล่ะ?

แต่พอเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น ผ่านโลกมานานหลายปีทั้งเรื่องดี เรื่องไม่ดี เรื่องที่ฟังแล้วรู้สึกไม่มีความหวังที่จะอยากหายใจในวันพรุ่งนี้ก็มี ทำให้เราเลิกโฟกัสแล้วว่า “เท่านี้แหละ” มันคือเท่าไร แต่เราจะรู้คำตอบในใจเองโดยไม่ต้องค้นหาคำตอบว่า “เท่านี้แหละ” มันคือเท่าไหน ตอบได้ด้วยใจของเราเอง

วันนี้ก็เลยมีซีรีส์เกาหลีที่น่าสนใจอยากจะมาแนะนำ ส่วนตัวดูมา 4 ตอน ได้เสียน้ำตาให้ซีรีส์เรื่องนี้ทุกตอน โดยน้ำตาที่ร้องไห้ออกมานั้นมีหลายแบบ ทั้งร้องไห้เพราะมันเศร้า ร้องไห้เพราะสงสาร ร้องไห้เพราะปลาบปลื้มประทับใจ ร้องไห้เพราะอินเองจากการมีประสบการณ์ร่วม ร้องไห้เพราะโกรธ (แทนตัวละคร) เป็นซีรีส์ที่เสียน้ำตาเยอะแหละ แต่มันได้ข้อคิดดี ๆ หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของความสุขในชีวิต คุณค่าของชีวิต ความหมายของชีวิต และวาระสุดท้ายของชีวิต

ภาพจาก FB : KBS 한국방송

If You Wish Upon Me เป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มชีวิตพังคนหนึ่งที่ใคร ๆ ก็ตีตราว่าเขาเป็น “นักเลงขี้คุก” เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้ความหมาย ไร้ความหวัง ไม่รู้ว่าคุณค่าของชีวิตคืออะไร ขาดน้ำเลี้ยงในชีวิต และหัวใจของเขาก็ตายด้านไปเพราะความเจ็บปวด ที่เห็นว่ามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้มันก็แค่เพราะเขายังไม่ตายเท่านั้น จึงแสดงออกมาเป็นคนหยาบกระด้างและดื้อรั้นต่อต้านโลก แต่ความอ่อนโยนเดียวที่เขามีก็คือ เจ้าหมาน้อยที่ถูกเจ้าของเก่าทิ้งไป ซึ่งเขาเป็นคนนำมันมาเลี้ยงเป็นเพื่อนใจและครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว ทว่าหมาน้อยตัวนี้ก็กำลังจะตาย

วันหนึ่ง เขาทำผิดกฎหมาย จึงโดนลงโทษให้ไปเป็นอาสาสมัครอยู่ที่โรงพยาบาลบริบาลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแทนการจ่ายค่าปรับ เขาจึงต้องเขาไปเกี่ยวข้องกับสถานพยาบาลแห่งนี้ในฐานะสมาชิกทีมอาสาสมัคร “จีนี่” ที่จะพยายามเนรมิตคำขอของคนเหล่านั้นให้เป็นจริง เหมือนยักษ์จีนี่ในนิทานตะเกียงอลาดิน การได้เห็นคนป่วยทยอยลาโลกไปทีละคน ๆ ทำให้เขาค่อย ๆ ได้เรียนรู้ชีวิตของตัวเองผ่านชีวิตของคนอื่น ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่อยู่ในสภาพใกล้ตายเต็มแก่ ความสะเทือนใจยังนำมาซึ่งความอบอุ่นหัวใจและความสวยงามของชีวิต

โดยซีรีส์เรื่อง If You Wish Upon Me นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากมูลนิธิที่มีอยู่จริงในประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ช่วยเติมเต็มความปรารถนาของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต

คนเราเลือกเวลาเกิดไม่ได้ แต่ฉันอยากเลือกว่าจะตายเมื่อไร

เคยนึกสงสัย (และแอบสงสาร) เวลาที่ได้ดูซีรีส์น้ำดีบางเรื่องที่ตัวพล็อตไม่ได้หวือหวาแต่ปมปัญหาและการนำเสนอน่าสนใจ มีนักแสดงที่เรียกว่าเบอร์ใหญ่ของวงการรับเล่น ว่าทำไมนักแสดงคนนี้ถึงได้รับเล่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทั้งที่บางเรื่องมันเห็นแววมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเรตติ้งไม่น่าจะดี เพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมไม่ชอบดูอะไรแบบนี้ คือมันอาจจะกลายเป็นจุดที่ทำให้นักแสดงเหล่านี้รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งผิดพลาดในชีวิตหรือเปล่าที่รับเล่น พวกเขาก็คงแอบผิดหวังหรือเฟลน่าดูที่เรตติ้งมันไม่ดีกระแสไม่มี (ขนาดเราเองยังรู้สึก) อันที่จริงมันดูเหมือนว่าพวกเขารับเล่นได้เงินแล้วก็จบใช่ไหม แต่จริง ๆ ไม่ใช่หรอก มันส่งผลถึงความนิยมของพวกเขาด้วย

ภาพจาก FB : KBS 한국방송

ก่อนที่พวกเขาจะรับเล่น มันมีช่วงเวลาที่พวกเขารับข้อเสนอมา มีเวลาอ่านบทเพื่อพิจารณาว่าถ้ารับเล่นแล้วมันจะดีต่อตัวพวกเขาและอาชีพนักแสดงของตัวเองหรือไม่ หลังจากที่ใช้เวลาพอสมควร พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่ตัวเองจะพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ในท้ายที่สุดแล้วอะไรแบบนี้มันก็ไม่แมส เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ดู ต่อให้มันจะเป็นซีรีส์ที่พล็อตและเนื้อหาดีมาก ๆ จรรโลงใจ จรรโลงสังคมก็เถอะ อีกทั้งแค่ตัวนักแสดงก็น่าจะดึงดูดคนดูได้ด้วยตัวเอง แต่มัน “ไม่ค่อยบันเทิง” ไงคนเลยไม่ชอบ น่าแปลกที่เราเป็นคนที่ติดซีรีส์ลักษณะนี้บ่อยมาก ไม่ใช่ว่าดูแล้วสนุกอย่างเดียว แต่เป้าหมายคือดูแล้วได้อะไรบ้าง เราถึงกลายเป็นพวกนอกคอกที่ดูซีรีส์เรตติ้งไม่ดีจนจบเสมอ

สองย่อหน้าข้างต้นคือความกังวลใจเล็กน้อยที่มีต่อซีรีส์เรื่อง If You Wish Upon Me เช่นกัน ด้วยความที่โทนเรื่องมันจะค่อนข้างไปทางสร้างความหดหู่ใจมากกว่าบันเทิง พูดถึงแต่สัจธรรมมากกว่าความน่าตื่นเต้นโลดโผน เอา เรื่องยากเกินเข้าถึงอย่างปรัชญามาทำให้ย่อยง่ายขึ้น นำเสนอเรื่องคุณค่าในชีวิต การต่อสู้ในการแข่งขันที่เรียกว่าชีวิต การป่วยด้วยโรคร้าย ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต และความตาย มันไม่ได้มีอะไรที่น่าลุ้นแถมน่าเบื่อ ไม่ได้มีความสนุกจนต้องตามดูจนจบเรื่อง แต่ในความหดหู่นั้นเราจะได้อะไรที่ประทับใจกลับมาเสมอ น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่คิดแบบนี้

ภาพจาก FB : KBS 한국방송

จากข้อความ “คนเราเลือกเวลาเกิดไม่ได้ แต่ฉันอยากเลือกว่าจะตายเมื่อไร” เป็นความประทับใจแรกที่ได้จากซีรีส์เรื่องนี้ และเป็นความประทับใจที่ทำให้ตัดสินใจว่าจะต้องดูเรื่องนี้ต่อไปจนจบ ต่อให้มันจะไม่ได้มีปมหวือหวาน่าตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นก็ตาม แต่ไม่เป็นไรหรอก ความตื่นเต้นที่ว่าน่ะไปหาดูเอาจากซีรีส์เรื่องอื่นที่ก็ติดอยู่เหมือนกันก็ได้ เพราะซีรีส์ที่จะทำให้เราได้ฉุกคิดถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ และการจากไปอย่างยิ่งใหญ่มันไม่ได้มีมาบ่อย ๆ

ข้อความดังกล่าว หากอ้างอิงตามในซีรีส์ จะพบว่าเป็นคำพูดของชายชราที่ใกล้ตายคนหนึ่ง เขาเป็นผู้ที่สร้าง “ทีมจีนี่” หรือ “ทีมที่ทำให้ความปรารถนาสุดท้ายเป็นจริง” ขึ้นมา สมาชิกในทีมทุกคนล้วนทำหน้าที่บางอย่างในโรงพยาบาลบริบาลผู้ป่วยระยะสุดท้าย หน้าที่ที่จะได้ค่าจ้างเป็นผลตอบแทนของการทำงาน แต่การเป็นสมาชิกที่ได้ติดเข็มกลัด “Team Genie” พวกเขาทำกันด้วยหัวใจที่งดงาม มันเป็นงานอาสาสมัคร 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้เงินเลยสักสลึงเดียว แต่สิ่งที่ได้คือการส่งชีวิตหนึ่งให้ก้าวข้ามไปสู่โลกหลังความตายอย่างมีความสุข

เพราะชีวิตคนเรามันไม่ควรจะต้องเศร้ากับสิ่งที่ตัวเองเลือกไม่ได้แม้กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเราต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่ได้เลือกเองมาหลายอย่างพอแล้ว แม้แต่จุดเริ่มต้นของชีวิตอย่างการเกิดมาเราก็ยังเลือกเองไม่ได้เลย เลือกไม่ได้ว่าจะเกิดหรือไม่เกิด เลือกไม่ได้ว่าจะเกิดกับครอบครัวคนรวยหรือคนจน เลือกไม่ได้ว่าจะเกิดกับพ่อแม่คนไหน เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลาสุดท้ายก็ขอให้ได้เลือกสักนิดว่าตัวเองจะตายเมื่อไรก็ยังดี ให้ได้มีเวลาสะสางการต่อสู้ที่ยาวนาน แล้วทำในสิ่งที่จะทำให้เราจากไปอย่างมีความสุขที่สุดนั่นเอง ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันสุขขนาดไหน นอกจากตัวเราเอง ที่มีความสุขมากขนาดที่สามารถตัดขาดจากโลกแล้วไปตามทางแบบที่ควรจะเป็น

ภาพจาก FB : KBS 한국방송

ความปรารถนาสุดท้ายที่อยากจะทำก่อนตายของคุณคืออะไร หากคุณเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่โรงพยาบาลแห่งนี้ คำขอของคุณจะได้รับการช่วยเหลือ ทีมจีนี่จะทุ่มเททำเพื่อให้สิ่งสุดท้ายที่คุณอยากทำตอนยังมีลมหายใจเป็นจริงขึ้นมา ทีมจีนี่ไม่ใช่พระเจ้าที่เนรมิตสิ่งนั้นขึ้นมา แต่พวกเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม เพราะครั้งสุดท้ายมันมีแค่ครั้งเดียว คนเราควรได้ทำในสิ่งที่มีความสุขที่สุด นั่นทำให้ในที่สุดเราก็เข้าใจว่าทำไมนักแสดงทั้งหมดถึงเลือกรับเล่นเรื่องนี้ มันไม่ใช่แค่เงินที่พวกเขาจะได้เป็นค่าตัวในอาชีพนักแสดง แต่มันคือ “สาร” ที่พวกเขาอยากเป็นกระบอกเสียงในการสื่อออกมาให้คนดูอย่างเราได้รับรู้ต่างหาก นี่แหละสิ่งที่สำคัญ

ผมกลัวนะ…ความตายน่ะ แต่การมีชีวิตอยู่น่ากลัวยิ่งกว่า

นี่แหละ โทนเรื่องของซีรีส์เรื่องนี้ก็จะหม่น ๆ หมอง ๆ แบบนี้แหละ เอาเข้าจริงถ้าเรตติ้งจะลดลงเรื่อย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมาย เป็นสิ่งที่เข้าใจได้เลยว่าทำไมคนถึงไม่ชอบดู มันมีผลถึงอารมณ์ที่หดหู่ สิ้นหวัง เพราะมัน “แทงใจดำ” กับชีวิตของใครหลายคนมากเกินไป พวกเขาเหล่านั้นถึงอยากจะไปดูอะไรที่มันมีสีสัน มีความหวัง โลกสดใส หลีกหนีความจริงไปหาความบันเทิงจากซีรีส์แนวประโลมโลกให้ชีวิตรู้สึกสนุกสนานดีกว่า ก็นะ อะไรแบบนี้พวกเราเลือกได้นี่ เลือกได้ก็เลือกเถอะ มีความสุขกับมันซะ!

ภาพจาก FB : KBS 한국방송

แต่ความหม่นหมอง เศร้าสะเทือนใจแบบที่เห็นในซีรีส์เรื่องนี้ ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำให้คนดูอย่างเราหดหู่หรือสิ้นหวังตามไปด้วยเสมอไปหรอกนะ “ถึงจะเบื่อชีวิตก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องตายหรือเปล่า” ทุกอย่างมันอยู่ที่มุมมองของเราและการใช้วิจารณญาณในการตกผลึก “สาร” ที่ซีรีส์ต้องการจะสื่อ ในเมื่อเหรียญมีสองด้าน แทนที่จะตีความข้อความที่ว่า “การมีชีวิตอยู่น่ากลัวกว่าความตาย” จะสื่อไปถึงการฆ่าตัวตาย คนพูดจะต้องฆ่าตัวตายแน่ ๆ เพื่อหนีให้พ้นจากความน่ากลัวของการมีชีวิต แต่ทำไมไม่พยายามมองว่าคนที่พูดข้อความดังกล่าวออกมาเขาไม่ได้อยากตาย เขาแค่รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่มันยากกว่า และเขาก็อาจจะกำลังพยายามที่จะทำให้การมีชีวิตอยู่นั้นมีคุณค่ามีความหมายขึ้นมาก็ได้

จริง ๆ แล้ว คนที่พูดออกมาว่า “ผมกลัวนะ…ความตายน่ะ แต่การมีชีวิตอยู่น่ากลัวยิ่งกว่า” คือพระเอกของเรื่องเชียวนะ เอางี้ อยากให้ลองมองว่าการมีชีวิตอยู่ของคนเราเนี่ย มันจะต้องผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามากแค่ไหนล่ะ ถึงทำให้คนคนหนึ่งกลัวการมีชีวิตอยู่มากกว่าความตายได้ ชีวิตของพระเอกเรื่องนี้บอกเลยว่าพังยับมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตผ่านบททดสอบต่าง ๆ มาด้วยความยากลำบาก ชะตาชีวิตสุดแสนจะอาภัพอดสู โลกใบนี้โหดร้ายกับเขามากเกินไป ชีวิตวัยเด็กจำความได้ก็อยู่ในบ้านเด็กกำพร้า ใช้เวลาช่วงเติบโตในสถานสถานพินิจ พอโตเป็นผู้ใหญ่ก็ถูกย้ายไปเรือนจำ ในขณะที่ตัวเขาเองก็กำลังดิ้นรนครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ การฆ่าตัวตายน่ะเขาก็ทำมาแล้ว แต่มันไม่ง่ายเลย

ภาพจาก FB : KBS 한국방송

ในเมื่อชีวิตที่ยังหายใจอยู่ก็ไม่มีอะไรจะเสีย แต่จะตายก็ไม่กล้าพอ เขาจึงกำลังพยายามที่จะหาวิธีให้ตัวเองสามารถมีชีวิตปกติเหมือนกับคนอื่น ๆ เขาจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลบริบาลผู้ป่วยระยะสุดท้าย อันที่จริงที่นี่อาจจะไม่ใช่ความตั้งใจแรกของเขา แต่ไม่รู้เพราะบังเอิญหรือโชคชะตากำหนดมาแล้ว การที่เขาก่อคดีอุบัติเหตุทางรถยนต์ เฉี่ยวชนจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ และสร้างความเดือดร้อนบนท้องถนน ทำให้เขาถูกดำเนินคดีที่ต้องจ่ายค่าปรับ เงินน่ะมี เยอะด้วย แต่ไม่อยากจ่าย ทางเลือกอีกทางของเขาก็คือต้องบำเพ็ญประโยชน์ เป็นจิตอาสาบริการชุมชนให้ครบจำนวนชั่วโมง ไหน ๆ ก็ไม่มีที่ไปแล้ว แค่อดทนเท่านั้น ที่ผ่านมาก็ทำมาตั้งเยอะ อดทนน่ะ

การเริ่มต้นเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ทำให้เขาได้เจอกับทีมจีนี่ มีหัวหน้าทีมอาสาที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอดเวลาที่ร่วมงานกัน ทั้งโดนด่า ทั้งเถียงกัน ถูกสั่งให้ทำนู่นทำนี่สารพัด แต่ก็ดีกันตลอดซะงั้น แถมเขาเองก็เริ่มรู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มันก็มีชีวิตชีวาดี และถ้าสักวันหากเขาเกิดป่วยเป็นโรคร้ายขึ้นมา เขาก็มีความหวังแล้วว่าผู้คนที่นี่จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้เขาได้ การมาที่สถานที่แห่งนี้ทำให้เขาได้พบกับความสงบของชีวิตที่เขาไม่เคยได้เคยสัมผัสมาก่อน ได้เรียนรู้มุมมองในชีวิตมากมายในอีกด้านจากคนที่ต้องทำงานอยู่กับคนใกล้ตายทุกวัน รวมถึงการที่ได้เห็นคนป่วยที่ตายจากไปต่อหน้าต่อตา เขาก็ได้รู้สึกในสิ่งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ภาพจาก FB : KBS 한국방송

นอกจากหัวหน้าทีมอาสาที่แง่ม ๆ ใส่กันตลอดเวลาแล้ว ก็ยังมีพยาบาลสาวที่รักการออกกำลังกายอีกคนที่มักจะทำให้เขาบ่นอุบว่าชีวิตนี้มันบ้าบออยู่บ่อย ๆ ความแสบของพระเอกนางเอกไม่มีใครยอมใคร ลงท้ายแยกเขี้ยวใส่กันเสมอ แต่แล้วความใกล้ชิดและการเปิดใจเรียนรู้กันและกันเนื่องจากต้องทำงานด้วยกัน ก็ทำให้เขา (และเธอ) ก่อเกิดเป็นความรู้สึกที่ทั้งคู่ก็ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเหมือนกัน แต่ความรักของคู่นี้มันอาจจะแปลกประหลาดพอสมควร เข้าทำนองด้วยรักและหยุมหัว แต่เวลานี้เขาคงเริ่มได้รู้จักกับคุณค่าและความหมายของชีวิตขึ้นมาบ้างแล้ว

เจ็บก็บอกว่าเจ็บ ไม่งั้นใครจะไปรู้ อยู่ที่นี่ไม่ต้องอดทนหรอก

ภาพลักษณ์ภายนอกของพระเอกเรื่องนี้แตกต่างไปจากพระเอกทั่วไปของซีรีส์เกาหลีอย่างสิ้นเชิง และอาจจะเป็นบทบาทใหม่ที่แตกต่างที่สุดของนักแสดง จีชางอุค ด้วยซ้ำ เขาดูเป็น “คนเวร ๆ” เป็นนักเลงที่มีรอยสักเต็มตัว แถมขี้คุกอีกต่างหาก ใช่! นั่นคือภายนอกที่เราเห็น ซึ่งคนเราก็มักจะเริ่มตัดสินกันตั้งแต่ภายนอกนี่แหละ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เราเห็น ณ เวลานั้น และพอจะใช้อธิบายตัวตนของคนคนนั้นได้

ภาพจาก FB : KBS 한국방송

แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังของชายหนุ่มที่บุคลิกดื้อรั้นคนนี้ การที่แขนและแผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยรอยสัก เขาไม่ได้มองว่ามันเป็นงานศิลปะอะไรเลย แท้จริงแล้วเขาแค่คุ้นชินกับการทำให้ร่างกายตัวเองเจ็บปวด เพื่อให้มันช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานในใจ ความเจ็บปวดที่ไม่มีอาการว่าเจ็บที่ตรงไหนมันทรมานและขมขื่นกว่าเยอะ ดวงตาของเขาบ่งบอกว่าเขาสนใจใยดีกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้ แต่ความห่าม ความเวร ความหยาบคายแข็งกระด้างก็ปิดความอ่อนไหวในใจของเขาไว้ไม่มิด อาจเป็นเพราะว่าเขาเจ็บปวดมากเกินไปจนมาเอ่อล้นออกมา และคนที่จับสังเกตความลับนั้นได้ก็คือนางเอกนั่นเอง

หลังจากที่ได้ทำงานพาผู้ป่วยไปทำความปรารถนาสุดท้ายร่วมกัน 2-3 เคส เวลานี้ นางเอกรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ภาพลักษณ์นักเลงที่ทำผิดกฎหมายจนต้องมารับโทษทำงานจิตอาสามันก็แค่สถานการณ์หนึ่งเท่านั้น เธอเริ่มเห็นว่าตัวเขาเองก็คงมีอดีตที่น่าเจ็บปวดไม่น้อยเลยถึงกลายเป็นคนแบบนี้ เนื้อแท้ที่เป็นคนอบอุ่น ใส่ใจคนอื่นแต่ไม่รู้จะแสดงออกมาให้เป็นธรรมชาติยังไง เพราะต้องกล้ำกลืนอดทนความเจ็บปวดของตัวเองไว้ตลอดเวลา ทำให้เธอจงใจพูดกับผู้ป่วยแต่เพื่อให้เขาได้ยิน ในขณะที่เขาเดินผ่าน ว่า “การอดทนต่อความเจ็บไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป”

ภาพจาก FB : KBS 한국방송

“เจ็บก็บอกว่าเจ็บ ไม่งั้นใครจะไปรู้ อยู่ที่นี่ไม่ต้องอดทนหรอก ใครมันจะบอกให้คนอื่นทนใช้ชีวิตแบบทรมาน ๆ กัน” แน่นอนว่าเธอก็คงคาดหวังว่าเมื่อสนิทใจกันมากขึ้น เขาจะเปิดเผยความเจ็บปวดของตัวเองออกมาให้คนอื่นได้รู้เพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งผู้คนที่นี่พร้อมจะช่วยเหลือเขา หรือต่อให้ช่วยอะไรไม่ได้ แค่บรรเทาให้เจ็บปวดน้อยลงก็ยังดี ส่วนพระเอกก็เริ่มอ่อนโยนขึ้นหลังจากได้เรียนรู้ชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ จากผู้ป่วยใกล้ตายในโรงพยาบาล ทีนี้ก็อยู่ที่เขาจะเลือกตัดสินใจว่าจะมีชีวิตอยู่แบบสงบ ๆ เพื่อค้นหาคุณค่ากับความหมายชีวิตไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับการปลอบโยนผู้อื่นด้วยความทรงจำสุดท้ายของชีวิตหรือไม่

การเป็นคนเข้มแข็งเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ไม่ใช่กับทุกสถานการณ์ ชีวิตคนเรามันก็เท่านี้แหละ อย่าพยายามอดทนและทรมานตัวเองไปจนตายเลย ถ้าไม่ไหวก็ขอความช่วยเหลือ มันไม่ได้ทำให้เราดูเป็นคนอ่อนแอหรือขี้ขลาดหรอก การขอความช่วยเหลือก็เป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่ง กล้าหาญที่จะต่อสู้เพื่อให้ตัวเองได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง เอาเข้าจริง ซีรีส์แนวนี้สะเทือนใจแบบนี้ เนื้อหาก็ไม่ใช่เรื่องสดใหม่อะไร แต่กลับทำให้เราเสียน้ำตาใหม่อีกครั้งเสมอ และทำให้เราได้ฉุกคิดถึงการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ ว่าเราควรทำอะไรเพื่อตัวเองบ้างก่อนที่วาระสุดท้ายจะมาเยือน ❤️‍🩹