แม้ว่ามนุษย์เราจะเริ่มต้นสำรวจ “อวกาศ” กันมานานหลายสิบปีแล้ว แต่อวกาศก็ยังเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความลึกลับที่น่าค้นหา อาจด้วยคำตอบที่มนุษย์พยายามหามาได้ในแต่ละยุคสมัยยังไม่กระจ่างชัดเท่าที่ควร ให้คำตอบต่อคำถามนี้ได้ แต่อีกเดี๋ยวมนุษย์ก็ตั้งสมมติฐานอะไรขึ้นมาใหม่อีก ความกว้างใหญ่ไพศาลของอวกาศ ความลึกลับและอันตรายของเทหวัตถุต่าง ๆ ในเอกภพ ข้อจำกัดของเทคโนโลยีของมนุษย์ รวมถึงวิธีการได้มาซึ่งคำตอบที่สุดแสนจะเสี่ยงอันตราย และยังมีอีกหลายเหตุผลที่ทำให้การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับอวกาศยังคงไปต่อได้ไม่มีที่สิ้นสุด
มนุษย์เริ่มสนใจอวกาศ ก็เพราะว่าอยากรู้ว่านอกจากดาวเคราะห์ที่เรียกว่าโลกแล้ว ในเอกภพยังมีดาวเคราะห์ดวงไหนอีกบ้างที่มนุษย์เราจะสามารถอพยพไปอยู่ได้หากดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้สิ้นอายุขัยลง มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่มนุษย์จะอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่บนดาวดวงใหม่ นอกจากนี้ยังทำการศึกษาทรัพยากรต่าง ๆ บนดาวเคราะห์ดวงนั้น ๆ ด้วย ว่าถ้าสภาพแวดล้อมบนดาวเคราะห์ดวงนั้นไม่เอื้อให้สิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์อยู่ เราจะนำทรัพยากรธรรมชาติจากดาวเคราะห์ดวงอื่นกลับมาใช้ที่โลกได้หรือไม่ เพื่อบรรเทาภาวะขาดแคลนทรัพยากรต่าง ๆ บนโลก
ความสำเร็จของ “อินเดีย” ในสนามอวกาศ
เมื่อมนุษย์ยังไม่สิ้นข้อสงสัยเกี่ยวกับอวกาศ มนุษย์กลุ่มหนึ่งที่หลงใหลในการหาคำตอบด้านดาราศาสตร์จึงยังคงพยายามหาคำตอบกันต่อไปเพื่อมนุษยชาติ (?) ซึ่งล่าสุดเมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวดีในวงการดาราศาสตร์ของโลกอีกครั้ง เมื่อภารกิจ “จันทรายาน-3 (Chandrayaan-3)” ของอินเดีย สามารถสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโลกได้สำเร็จ จากการเป็น ชาติแรกที่ส่งยานสำรวจลงจอดบนขั้วใต้ของดวงจันทร์ เมื่อเวลาประมาณ 19.30 น. ของวันที่ 23 ส.ค. 2566 (ตามเวลาในประเทศไทย) ส่งผลให้อินเดียกลายเป็นชาติที่ 4 ของโลกที่สามารถส่งยานอวกาศลงจอดบนดวงจันทร์ได้สำเร็จต่อจากสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา และจีน
แต่…ยังไม่จบเพียงเท่านี้นะ! “อินเดีย” ที่ถือว่าเป็นผู้เข้าแข่งขัน “หน้าใหม่” ยังคงไฟแรงที่จะสร้างตำนานบทใหม่อย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2566 เวลา 13.20 น. (ตามเวลาประเทศไทย) หลังจากประสบความสำเร็จจาก “จันทรายาน-3” ไปหมาด ๆ ไม่กี่วัน อินเดียก็ได้ทำการส่งยานสำรวจ “อาทิตยา-แอล1 (Aditya-L1)” ออกจากศูนย์อวกาศเป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่ท้าทายก็คือ ยานสำรวจลำนี้มีหน้าที่ไปสำรวจ “ดวงอาทิตย์” ซึ่งเป็นครั้งแรก
รายงานจาก องค์การวิจัยด้านอวกาศอินเดีย (Indian Space Research Organisation: ISRO) ระบุว่า “อาทิตยา-แอล1” จะใช้เวลาในเดินทางเป็นระยะเวลา 125 วัน สำหรับการเดินทางประมาณ 1.5 ล้านกิโลเมตร เพื่อไปให้ถึงส่วนที่เรียกว่าจุดลากรองจ์ 1 (Lagrange 1: L1) ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้อย่างชัดเจนตลอดเวลา อีกทั้งยังเป็นจุดที่เสถียรด้วยแรงโน้มถ่วง โดยหลังจากที่ยาน “อาทิตยา-แอล1” เดินทางไปถึงจุด L1 เป็นที่เรียบร้อย ยานจะใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อทำการศึกษาอนุภาคและสนามแม่เหล็ก ในห้วงอวกาศบริเวณใกล้กับดวงอาทิตย์ รวมถึงพื้นผิวและบรรยากาศของดวงอาทิตย์ด้วย
ส่วนภารกิจหลักของยาน “อาทิตยา-แอล1” คือการศึกษาลมสุริยะ (solar wind) อันเป็นปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่เกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์ ที่สามารถส่งผลกระทบทำให้เกิดปรากฏการณ์หลาย ๆ อย่างบนโลก อาทิ แสงออโรรา และพายุสุริยะ (solar storm) ที่จะพัดมายังโลกและส่งผลกระทบต่อ “อินเทอร์เน็ต” บนโลก ซึ่งเป็นข่าวฮือฮาเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน ว่าโลกของเราอาจเผชิญกับ “วันจุดจบของอินเทอร์เน็ต” (Internet Apocalypse) เนื่องจากพายุสุริยะที่มาจากดวงอาทิตย์ มีวงรอบของความรุนแรงแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยคาดว่าจะแรงสุดในปี 2025 ซึ่ง NASA ได้ออกบทความที่มีชื่อว่า “NASA-enabled AI Predictions May Give Time to Prepare for Solar Storms” บนเว็บไซต์ NASA เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา
การศึกษาเกี่ยวกับลมสุริยะ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นปกติบนดวงอาทิตย์ จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทำความเข้าใจถึงกิจกรรมทางธรรมชาติบนดวงอาทิตย์ได้ดีขึ้น อย่างพลวัตรของการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ (เปลวสุริยะ : การเปล่งรังสีพลังงานสูงสว่างวาบจากดวงอาทิตย์) และการพ่นมวลโคโรนา (CMEs : การพ่นกลุ่มอนุภาคมีประจุไฟฟ้าครั้งใหญ่จากดวงอาทิตย์สู่อวกาศ) ซึ่งปรากฎการณ์ทั้งสองมีผลกระทบต่อมนุษย์บนโลก หาก CME ระลอกใหญ่มาถึงโลก จะเหนี่ยวนำให้เกิดความปั่นป่วนในสนามแม่เหล็กโลก ซึ่งจะรบกวนระบบการนำทางด้วยดาวเทียมและโครงข่ายจ่ายไฟฟ้า ส่วนลมสุริยะที่ทวีความรุนแรงเป็นพายุสุริยะ ก็อาจจะส่งผลต่ออินเทอร์เน็ตได้ (แม้ว่าจะเกิดขึ้นได้ยาก)
จะเห็นว่า “อินเดีย” ถือเป็น “หน้าใหม่” ในแวดวงการสำรวจอวกาศ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าต่อไป “อวกาศ” จะเป็นสนามแข่งขันของชาติต่าง ๆ มากขึ้น และอีกนัยหนึ่งก็เห็นได้ชัดว่ามนุษย์กลุ่มหนึ่งเห็นตรงกันว่าอวกาศเป็นความหวังของมนุษยชาติ และเริ่มที่จะให้ตอบคำถามให้กับคนตัวเล็ก ๆ อย่างเราที่ได้แต่อ่านข่าวการสำรวจที่ยิ่งใหญ่นอกแรงดึงดูดของดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ว่าคนพวกนั้นจะสนใจสำรวจอวกาศกันไปทำไม เพราะจริง ๆ แล้ว อวกาศไม่ใช่เรื่องไกลตัวเรา หลายสิ่งหลายอย่างที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน ก็ได้มาจากการศึกษาด้านดาราศาสตร์ อวกาศ ร่วมกับวิทยาศาสตร์ด้านอื่น ๆ
เดิมสงครามเทคโนโลยีเป็นเรื่องของสหรัฐอเมริกา-สหภาพโซเวียต
หลาย ๆ คนน่าจะมีความรู้มาแล้วว่าการแข่งขันทางด้านอวกาศของสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา ถือเป็นรุ่นบุกเบิกของความพยายามที่จะสำรวจดินแดนอวกาศอันไกลโพ้น ในช่วงสงครามเย็น เกิดความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างมหาอำนาจของโลก 2 ประเทศในขณะนั้น คือ สหรัฐอเมริกา ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และสหภาพโซเวียต (ชื่อในขณะนั้น) มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบคอมมิวนิสต์ สงครามนี้เริ่มต้นขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งสงครามเย็น เป็นภาวะการทำสงครามด้วยการช่วงชิงทางการเมือง เศรษฐกิจ การประกาศแสนยานุภาพของ 2 ประเทศ ที่ต่างก็พยายามจะข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามโดยที่ไม่ทำสงครามกันโดยตรง แต่สนับสนุนให้ประเทศพันธมิตรของตนทำสงครามแทน ในลักษณะ “สงครามตัวแทน” หรือจะเรียกว่าเป็นสงครามเชิงจิตวิทยา ตั้งแต่ปี 1945 เรื่อยมาถึงประมาณปี 1991 จนสิ้นสุดอย่างเป็นทางการจากเหตุการณ์การล่มสลายของสหภาพโซเวียต
อย่างไรก็ดี 2 ประเทศนี้ไม่ได้โจมตีกันด้วยเรื่องกองกำลังทหาร การต่อสู้เพื่อครองความเป็นมหาอำนาจของโลกเท่านั้น แต่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้าม จารกรรมข้อมูลความมั่นคง พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ รวมไปถึงการแข่งขันทางอวกาศด้วย เพราะในช่วงนั้น 2 ประเทศได้แข่งขันกันคิดค้นดาวเทียม ยานสำรวจอวกาศ เริ่มต้นขึ้นเมื่อสหภาพโซเวียตตอบรับคำท้าทายของสหรัฐอเมริกาที่จะส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศ จึงเร่งพัฒนาความสามารถทางอวกาศของตน จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ ด้วยการส่งดาวเทียม Sputnik I (สปุตนิก 1) ขึ้นไปโคจรในอวกาศ แม้ว่าจะโคจรอยู่รอบโลกได้ไม่นานก็ตาม
สหภาพโซเวียตก็ไม่หยุดเพียงเท่านี้ ไม่กี่ปีต่อมา สหภาพโซเวียตก็ส่งมนุษย์คนแรกขึ้นไปอวกาศได้สำเร็จและเดินทางกลับสู่โลกได้อย่างปลอดภัย ซึ่งมนุษย์ผู้นั้นคือ ยูริ กาการิน ขึ้นไปด้วยยานวอสตอค 1 (Vostok I) และอีกครั้งคือ นักบินอวกาศหญิงคนแรกของโลก วาเลนตีนา เตเรชโควา ขึ้นไปด้วยยานวอสตอค 6 (Vostok VI)
เมื่อสหภาพโซเวียตทำสำเร็จ สหรัฐอเมริกาก็ไม่น้อยหน้า ส่งนักบินอวกาศคนแรกขึ้นไปหลังจากยูริ กาการินเพียงไม่กี่วัน ซึ่งก็คือ อลัน เชปเพิร์ด ด้วยจรวดขับดันเรดสโตน (Redstone) และประสบความสำเร็จอีกครั้งในการส่งมนุษย์กลุ่มแรกขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ (ไม่ใช่เพียงออกไปโคจรนอกโลก) ด้วยยานอะพอลโล 11 (Apollo XI) ประกอบด้วยนีล อาร์มสตรอง, เอดวิน อัลดริน และไมเคิล คอลินส์ โดยที่นีล อาร์มสตรองเป็นมนุษย์คนแรกที่เท้าเหยียบลงบนดวงจันทร์
สงครามเทคโนโลยีอวกาศยุคใหม่ ที่เปลี่ยนขั้วมาเป็นสหรัฐอเมริกา-จีน
ถึงแม้ว่าสหภาพโซเวียตจะล่มสลายไปแล้ว แต่รัสเซียก็ยังพยายามคานอำนาจกับสหรัฐอเมริกาอยู่เนือง ๆ แต่ ณ เวลานี้จีนมาแรงกว่ามาก จากการที่จีนพยายามทำทุกวิถีทางที่จะเป็นผู้นำแห่งเอเชีย และจะเป็นอภิมหาอำนาจของโลก ในช่วงสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตไม่ได้รบกันในอวกาศ แต่เป็นการพยายามส่งดาวเทียมขึ้นไปสอดแนมกันและกัน และแข่งเรื่องเทคโนโลยีว่าใครจะล้ำหน้าได้มากกว่ากันในการพิชิตอวกาศ ซึ่งจะเห็นได้ว่าสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตผลัดกันส่งโครงการสำรวจอวกาศไปนอกโลกในระยะเวลาที่ห่างกันไม่มาก
แต่ในเมื่อตอนนี้จีนได้ขยับขึ้นมาจนแซงหน้ารัสเซีย ด้วยเหตุการณ์ในปี 2007 จีนได้ทดสอบขีปนาวุธโจมตีดาวเทียมพยากรณ์สภาพอากาศของตัวเองที่โคจรสูงจากพื้นโลก 500 ไมล์ นั่นทำให้สหรัฐอเมริกาเริ่มกังวลถึงภัยคุกคามทางอวกาศจากจีน เพราะก่อนหน้านี้สหรัฐอเมริการอาจไม่ได้มองจีนไม่ได้เป็นหนึ่งในคู่แข่ง
ซึ่งความสามารถด้านอวกาศของจีนเด่นชัดมากขึ้นอีก เมื่อจีนนำยานสำรวจ Chang’e 4 ลงจอดบริเวณด้านมืดของดวงจันทร์ได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2562 ซึ่งนี่เป็นภารกิจที่ไม่เคยมีประเทศไหนในโลกทำได้มาก่อน จึงนับเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการสำรวจดวงจันทร์ของมนุษย์ และเปิดตัวจีนลงสู่สนามการแข่งขันอย่างสง่างาม แน่นอนว่าความทะเยอทะยานของจีนจะไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะจีนต้องการเป็นมหาอำนาจของโลก
ความสำเร็จครั้งนี้ของจีน แม้แต่รัสเซียก็ยังชื่นชม โดย Mikhail Kornienko และ Mark Serov นักบินอวกาศชาวรัสเซีย Mikhail Kornienko ได้กล่าวถึงโครงการสำรวจดวงจันทร์ Chang’e 5 ว่ากำลังทำสถิติใหม่ด้านการบินอวกาศหลายด้าน อย่างการสุ่มเก็บตัวอย่างอัตโนมัติครั้งแรกจากพื้นผิวดวงจันทร์ และการบินขึ้น-ลงครั้งแรกในอวกาศ ซึ่งมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์การบินอวกาศของมนุษย์ ส่วน Mark Serov กล่าวว่า โครงการสำรวจดวงจันทร์ของจีนนี้ เป็นการสร้างคุณูปการต่อการสำรวจอวกาศของมนุษย์ และคาดหวังว่าภายภาคหน้าโลกจะได้ประโยชน์จากโครงการอวกาศของจีน
“อินเดีย” ผู้เล่นหน้าใหม่ในสนามอวกาศ
การเดินทางสู่ดวงจันทร์ของอินเดีย เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี 2008 อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นดวงจันทร์ไม่ใช่เป้าหมายที่นานาชาติหมายมองเท่ากับเวลานี้ เพราะหลังจากที่ยานอวกาศ Luna-24 ของสหภาพโซเวียต สัมผัสผิวดวงจันทร์ครั้งสุดท้ายในปี 1976 ก็ไม่มีชาติใดส่งยานอวกาศไปลงจอดบนดวงจันทร์อีกเลย จะมีก็เพียงแต่ยานอวกาศในลักษณะโคจรรอบที่ถูกส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์ ทว่าในช่วงประมาณปี 2008-2009 ดวงจันทร์ก็กลับมาเป็นเป้าหมายสำคัญของการสำรวจอวกาศอีกครั้ง
ต้องบอกว่า “ดวงจันทร์” กลายมาเป็นเป้าหมายของอาณานิคมยุคใหม่ที่เล่นใหญ่กันขึ้นไปบนอวกาศนั่นเอง จากเดิมที่การล่าอาณานิคม คือการล่าดินแดนต่าง ๆ บนโลก ก็ย้ายการล่าขึ้นไปอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นบนอวกาศแทน โดยเป้าหมายแรกก็คือ ดวงจันทร์ ซึ่งถูกหมายตาเป็นตัวเลือกหนึ่งที่จะเป็นที่อยู่ใหม่ของสิ่งมีชีวิต โดยดวงจันทร์เป็นบริวารเพียงดวงเดียวของโลก และเป็นเทหวัตถุที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด อยู่ห่างจากโลกราว ๆ 250,000 ไมล์เท่านั้น นอกจากนี้ ข้อมูลจากการส่งยานอวกาศไปเยือนดวงจันทร์หลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบว่าดวงจันทร์มี (หรือน่าจะเคยมี) น้ำ ซึ่งทางนาซานั้นไม่ได้พบน้ำเป็นแอ่งน้ำหรือหล่มแบบที่เราเห็นกันบนโลก แต่พบในลักษณะของโมเลกุลของน้ำ อยู่บริเวณหลุมอุกกาบาตคลาเวียสบริเวณซีกใต้ของดวงจันทร์
ในเมื่อดวงจันทร์มี (หรือเคยมี) โมเลกุลของน้ำ ก็เป็นไปได้ว่าบนดวงจันทร์ก็อาจจะเคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่ด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดจุลชีพที่มองกันด้วยตาเปล่าไม่เห็น ไม่เพียงเท่านั้น หลักฐานที่ว่าบนดวงจันทร์มีน้ำ ก็เป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตอาจจะไปตั้งรกรากอยู่บนดวงจันทร์ได้ด้วย แม้ว่าในความเป็นจริง สภาพอากาศบนดวงจันทร์ไม่ได้เอื้อต่อการใช้ชีวิตอยู่ของสิ่งมีชีวิตเท่าไรนัก โดยเฉพาะมนุษย์ที่น่าจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในระยะยาวได้ เนื่องจากไม่มีน้ำเป็นแหล่ง อากาศก็ไม่ถ่ายเท แถมยังมีอากาศหนาวมาก มีอุณหภูมิประมาณ -25 องศาเซลเซียส แต่สำหรับชาติที่ตั้งเป้าหมายจะสร้างอาณานิคมบนดวงจันทร์จริงจัง คงไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้
สหรัฐอเมริกาที่ส่งภารกิจอาร์ทีมิส 1 (Artemis
อย่างไรก็ตาม ทั้งจีนและรัสเซียก็ต้องการมีอาณานิคมบนดวงจันทร์เช่นกัน ด้วยการตั้งโครงการสถานีสำรวจและทำการวิจัยบนดวงจันทร์นานาชาติ International Lunar Research Station หรือ ILRS ขึ้น
จีนวางแผนส่งยานอวกาศฉางเอ๋อ (Chang’e) ไปลงจอดบนดวงจันทร์นั่นเอง โดยภารกิจ Chang’e 1 และ 2 ประสบความสำเร็จในการขึ้นไปโคจรรอบดวงจันทร์ ส่วนการลงจอดนั้นประสบความสำเร็จจริงจังในภารกิจ Chang’e 3 ในปี 2556 ที่ได้กลับลงไปสัมผัสพื้นดวงจันทร์อีกครั้งนับตั้งแต่โครงการ Luna-24 และ Chang’e 4 ที่ลงจอดบริเวณด้านมืดของดวงจันทร์ได้สำเร็จ
ส่วนรัสเซีย ก็ยังคงพยายามสานต่อโครงการ Luna-25 เช่นกัน หลังจากที่ Luna-24 ได้สัมผัสพื้นผิวดวงจันทร์เป็นครั้งสุดท้าย ทว่าไม่กี่วันก่อนการลงจอดของ Chandrayaan-3 ของอินเดีย รัสเซียที่พยายามลงจอด Luna-25 ยานอวกาศลำแรกบนดวงจันทร์ในรอบเกือบ 50 ปี Luna-25 กลับพุ่งชนพื้นผิวดวงจันทร์เมื่อวันเสาร์ที่ 19 ส.ค.66 หน่วยงานอวกาศรัสเซียแถลงว่า หลังขาดการติดต่อกับยานสำรวจ Luna-25 พบว่ายานสำรวจได้พุ่งชนพื้นผิวดวงจันทร์ไปแล้ว เนื่องจากเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินในระหว่างที่พยายามจะเข้าสู่วงโคจรเพื่อจะลงจอด
ในขณะที่อินเดีย ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีเป้าหมายจะไปดวงจันทร์บ้าง “โครงการจันทรายาน” ของอินเดียเริ่มขึ้นหลังจากอินเดียตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาด้านอวกาศ อินเดียจึงพยายามลองผิดลองถูกมาเรื่อย ๆ จากภารกิจ Chandrayaan-1 ที่ประสบความสำเร็จในการส่งขึ้นไปโคจรสำรวจรอบดวงจันทร์ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อินเดียมีพัฒนาการด้านอวกาศอย่างก้าวกระโดด จนเกิดเป็นภารกิจ Chandrayaan-2 ที่หมุดหมายจะลงจอดบนดวงจันทร์ให้ได้แต่ก็กลับล้มเหลว จึงเกิดเป็นภารกิจ Chandrayaan-3 ที่ถูกประกาศโครงการไม่นานหลังจาก Chandrayaan-2 ล้มเหลวไม่นาน เพราะจะต้องสานต่อภารกิจนี้จนสำเร็จให้ได้
ดังนั้น ภารกิจ Chandrayaan-3 จึงถูกส่งขึ้นไปบนดวงจันทร์ ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 โดยมีแผนการเดินทางทั้งสิ้นประมาณ 40 วัน เดินทางสู่วงโคจรในลักษณะ Low-Thrust ค่อย ๆ ไต่วงโคจรเป็นวงกลมไปเรื่อย ๆ เพื่อเดินทางสู่ดวงจันทร์ พร้อมกับความหวังและเป้าหมายที่จะเป็นชาติที่สามของเอเชียที่ลงจอดยานบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ และในที่สุดอินเดียก็ทำได้สำเร็จตามที่คาดหวัง
ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก Thai PBS, spaceth.co