Stealer: The Treasure Keeper กลางคืนเขาคือจอมโจรสุดน่ารัก แต่กลางวันเขาคือ…

เทศกาลสงกรานต์สำหรับคนอื่น อาจเป็นการออกไปเล่นน้ำหรือเฉลิมฉลองสังสรรค์กับเพื่อนฝูง แต่สำหรับนี่แล้ว มันคือช่วงเวลาที่จะได้พักผ่อนอย่างจริงจัง พักผ่อนด้วยการนอนแต่ไม่ได้หลับ ทว่าเป็นการไล่ดูสารพัดซีรีส์และการ์ตูนที่ดองไว้ข้ามภพข้ามชาติ ถึงเวลานี้ไล่ดูไปหลายเรื่องแล้ว การ์ตูนก็ปิดจ๊อบไปแล้วหนึ่ง รอเรื่องเข้าใหม่ ส่วนซีรีส์ก็กำลังไล่ตามอยู่ พอกำลังจะทันก็ดันมีเรื่องใหม่มาเบรก เห็นทีว่าต้องให้เรื่องนอนเอาไว้ทีหลัง ความบันเทิงต้องมาก่อน

ซีรีส์ล็อตใหม่เรื่องแรก ขอเริ่มที่เรื่อง Stealer: The Treasure Keeper ที่เริ่มด้วยเรื่องนี้เพราะมันดูไม่ค่อยเครียด เรื่องย่อบอกว่าเรื่องนี้เน้นแอกชันและมีความคอมเมดี้ จากตัวอย่าง พระเอกที่อยู่ในหน้ากากก็ยียวนกวนโอ๊ยดี เสิร์ฟความขี้เล่นเล่นใหญ่ภายใต้หน้ากากแบบชวนฮา มีส่งมินิฮาร์ตด้วย ยังไม่พอ บางเพจเริ่มรีวิวบุคลิกที่แปลกประหลาดของพระเอกยามที่ไม่ได้ทำภารกิจแล้ว ถ้าไม่ดูก็คงเหมือนจะเหมือนพลาดอะไรดี ๆ ไป

ภาพจาก tvN

Stealer: The Treasure Keeper เรื่องราวที่อ้างอิงถึงสิ่งที่เรียกว่า “มรดกทางวัฒนธรรม” ด้วยมูลค่าและคุณค่าของมันทำให้มันเป็นที่ต้องการในตลาดวัตถุโบราณ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วสิ่งเหล่านี้จะเป็นโบราณวัตถุของแผ่นดิน มันจึงเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลที่ไม่สามารถค้าขายได้ตามใจชอบ ถึงอย่างนั้น พวกโจรที่ขายของเหล่านี้ก็หาได้เกรงกลัวตำรวจไม่ เจอตำรวจก็ไม่หนีด้วยซ้ำ แถมยังทำการซื้อขายแบบประเจิดประเจ้อไม่สนกฎหมาย

เรื่องมันเกือบจะไปได้ดี แต่แล้วกลุ่มโจรที่ขายของโบราณเหล่านี้กลับถูกโจรอีกคนหนึ่งเข้ามาปล้นไปอีกทีก่อนที่จะได้ทำการซื้อขาย จอมโจรผู้นี้สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า สวมชุดปกปิดตัวตนเป็นอย่างดี มีความน่ากลัวน้อยมากถึงมากที่สุด เปิดตัวปล้นยังเจาะหน้าต่างเป็นรูปหัวใจ แล้วส่งมินิฮาร์ตให้กับแก๊งโจรหลังปล้นเสร็จด้วย จุดเด่นของโจรผู้นี้ คือการปล่อยกลิ่นเหม็นเน่าไว้ก่อนจากไป เป็นที่มาให้ตำรวจเรียกเขาว่า จอมโจรสกังก์ และสมบัติที่เขาปล้นมาทุกชิ้นจะถูกส่งคืนให้กับตำรวจ ชนิดที่ว่าแพ็กกันแตกหักมาเป็นอย่างดี แสดงว่าต้องเป็นคนที่มีความรู้เรื่องโบราณวัตถุ

ภาพจาก tvN

ถึงอย่างนั้น เวลานี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าภายใต้หน้ากากโจรสกังก์ แท้จริงแล้วเขาเป็นข้าราชการหนุ่มธรรมดา ๆ สังกัดสำนักบริหารมรดกวัฒนธรรม เขาเป็นผู้ชายที่ไม่โดดเด่นอะไร ทำตัวเรื่อยเปื่อยไร้แก่นสาร กลางวันทำงานปกติ (หลับคาโต๊ะเป็นปกติ) หลังจากเกิดคดีฆาตกรรมนักสะสมของเก่ารายหนึ่ง เขาก็เริ่มกระโดดเข้ามาพัวพันกับทีมตำรวจมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุด พวกเขาก็อาจจะรวมมือกันทำงานนอกกฎหมาย แต่เป้าหมายก็เพื่อพิทักษ์สมบัติทุกชิ้นให้เป็นของของแผ่นดินตามเดิม

สังคมประชาธิปไตย มีกฎหมายปกครองอยู่ แล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่าสิทธิมนุษยชนอยู่ครับ ถ้าสิทธิมนุษยชนไม่ปกป้องพวกสวะกับเดรัจฉานก็ดีสิ!

จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ประเด็นคล้าย ๆ กันนี้ก็เคยเกิดขึ้นในบ้านเราเหมือนกัน เท่าที่จำได้ มันคือการเคลื่อนไหวของคนในสังคมเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตของอาชญากรที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง อย่างพวกคดีข่มขืน คดีฆ่าข่มขืน คดีฆ่าคนตาย อะไรเทือก ๆ นี้ คนจำนวนหนึ่งในสังคมมองว่าการยกเลิกโทษประหารชีวิต รวมถึงโทษจำคุกตลอดชีวิตที่ไม่มีอยู่จริง (ติดจริงแค่ไม่กี่ปีก็พ้นโทษออกมาอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ ในสังคม แล้วก็ไม่วายก่อคดีใหม่ บางคนถึงกับเปรียบเทียบว่าตดยังไม่ทันหายเหม็นก็พ้นโทษแล้ว) มันทำให้สังคมเสี่ยงอันตราย อาชญากรที่เคยก่อคดีเลวร้ายขนาดนั้นถูกปล่อยออกมาอยู่ร่วมกับคนทั่วไป อาชญากรเดนคุกไม่สำนึกผิดหรือเกรงกลัวกฎหมายอยู่แล้ว จึงไม่แคร์ที่จะก่อคดีใหม่

ภาพจาก tvN

ความเคลื่อนไหวดังกล่าว คือการพยายามจะให้กฎหมายลงโทษอาชญากรเหล่านี้ด้วยโทษเด็ดขาด ซึ่งก็คือการประหารชีวิตเพื่อตัดวงจรการก่อเหตุซ้ำของอาชญากร แต่แล้วก็มีองค์กรที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนองค์กรหนึ่งออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน องค์กรนี้มองว่าอาชญากรก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่สมควรได้รับการให้อภัยหลังรับโทษ สมควรได้รับโอกาสกลับคืนสังคม และช่างไม่ยุติธรรมเลยที่อาชญากรต้องโดนลงโทษด้วยการประหารชีวิต สิทธิมนุษยชนคุ้มครองคนเหล่านั้นอยู่ มันเป็นสิทธิที่บุคคลพึงมีในตัวเพียงเพราะผู้นั้นเป็นมนุษย์ มันเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน

เรื่องราวโต้แย้งในตอนนั้นก็คือ องค์กรสิทธิมนุษยชนองค์กรนี้ถูกโจมตีหนักมากกับการให้โอกาสอาชญากรได้มีชีวิตใหม่ แต่แล้วเหยื่อหรือผู้เสียหายล่ะ โอกาสที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อยู่ตรงไหน เหยื่อหลายคนถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมทารุณ ผู้เสียหายทุกคนไม่อาจกลับไปมีชีวิตได้แบบเดิมก่อนที่จะตกเป็นผู้เสียหาย ชีวิตหลังจากที่ถูกกระทำเหมือนตายทั้งเป็น พวกเขาไม่อาจกลับไปมีชีวิตได้แบบเดิม แต่คนที่กระทำต่อพวกเขากลับได้สิทธินั้น คิด ๆ แล้วเป็นเรื่องที่บ้าบอสิ้นดี

ภาพจาก tvN

จริง ๆ สิทธิมนุษยชนมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากเลยนะ เพราะมันดันนับรวมมนุษย์ทุกคนที่มีลักษณะทางกายภาพเป็นมนุษย์ ทั้งที่ความจริงแล้วมีอาชญากรจำนวนไม่น้อยที่สภาพจิตใจไม่ใช่มนุษย์ คนพวกนี้ก้าวข้ามเส้นกั้นบาง ๆ ที่จำแนกพวกเขาให้เป็นมนุษย์ไปยังสวะหรือเดรัจฉานในวินาทีที่พวกเขาก่ออาชญากรรมร้ายแรงแล้ว ซึ่งถ้ายังนับคนเหล่านั้นเป็นมนุษย์เพียงเพราะกายภาพเป็นมนุษย์ ก็เท่ากับว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปก็ต้องใช้ชีวิตอยู่เหมือนเล่นเกม รอดตายก็ดี ถ้าตายก็แล้วยังไงล่ะ ก็ตายไปแล้วไง ตายไปก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ไม่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิใด ๆ อย่างนั้นหรือ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เหยื่อหรือผู้เสียหายไม่ได้รับสิทธิมนุษยชนเท่าที่ควร

เพราะเวลาที่อาชญากรก่ออาชญากรรม พวกเขาไม่เคยสนสิทธิใด ๆ ของคนอื่นเลย คนที่ตกเป็นเหยื่อ ตกเป็นผู้เสียหายถูกพรากสิทธิมนุษยชนไป ได้รับการเยียวยาความเสียหายแค่พอเป็นพิธี การเยียวยาที่เรียกชีวิตเดิมกลับมาไม่ได้ แต่อาชญากรได้รับสิทธิคุ้มครองเต็มที่เพื่อที่จะได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ ก่อคดีเลวร้ายแค่ไหน ก่อคดีอีกกี่ครั้งก็ได้เริ่มต้นใหม่เสมอ แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าเราจะอยู่กันแบบนี้ สังคมที่คนก่ออาชญากรรมสามารถมีโอกาสชีวิตใหม่ได้หลังพ้นโทษ โอกาสที่สิทธิมนุษยชนปกป้องอยู่ สิทธิมนุษยชนที่ปกป้องแม้กระทั่งสวะกับเดรัจฉาน

ก็หมอนั่นเป็นหัวขโมย เธอเป็นตำรวจไม่ใช่เหรอ จับขโมยก็เป็นหน้าที่ของตำรวจไง

ความน่าสนใจอย่างหนึ่งของซีรีส์เรื่องนี้ คือคาแรกเตอร์ของนางเอก จะบอกยังไงดีล่ะ คืออาจเป็นเราคนเดียวก็ได้นะที่สนใจคาแรกเตอร์ของนาง เพราะยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนเห็นตัวเองอะ 555 คาแรกเตอร์นางเอกเป็นพวกขี้รำคาญ ขี้หงุดหงิด หัวร้อน บุ่มบ่าม หุนหันพลันแล่นจนบางครั้งดูเหมือนจะเป็นพวกที่ขาดสติได้ง่าย ๆ ถึงอย่างนั้นมันก็มาจากนิสัยที่รักความยุติธรรมมากจนทนเห็นอะไรที่มันไม่ถูกที่ถูกทางนาน ๆ ไม่ได้ พร้อมจะลุยเดี่ยวแก้สถานการณ์เสมอ นิสัยแบบนี้เองที่เป็นสาเหตุให้นางถูกย้ายจากสถานีตำรวจสถานีย่อยไปอยู่หน่วยอาชญากรรมรุนแรง ทีมกู้คืนมรดกทางวัฒนธรรม

ภาพจาก tvN

ยังดีที่ความหัวร้อนจนเกือบขาดสติของนางเอกยังพอถูกรั้งได้จากการที่มีหัวหน้าที่ทั้งเก่งและน่านับถือ ทุกครั้งที่นางเอกแสดงอาการหัวร้อนออกมาชนิดที่คันไม้คันมืออยากจะจัดการอะไรต่ออะไรให้มันจบลงเร็ว ๆ จะได้ไม่ต้องยุ่งยากมากความ (แน่นอนว่ามันคงไม่ได้อยู่ในกรอบของกฎหมาย) ก็ได้หัวหน้าที่คอยดึงสติอยู่เสมอ ประเด็นก่อนหน้าที่พูดถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนก็เหมือนกัน นางเอกหงุดหงิดที่ยังหาหลักฐานเอาผิดหัวขโมยไม่ได้ ถึงขั้นที่สบถออกมาว่ากำจัดทิ้งเลยไม่ได้เหรอ ก็เลยต้องโดนเบรกด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ปกป้องแม้กระทั่งสวะและเดรัจฉานนั่นแหละ

และเพราะนางมีนิสัยแบบนี้แหละ หลังจากที่นางรู้ว่าหัวขโมยที่ถูกเรียกว่าสกังก์เป็นพวกที่ขโมยสมบัติเพื่อส่งกลับมาให้ตำรวจ นางก็สงสัยว่าแล้วจะต้องจับเจ้าสกังก์ทำไม ในเมื่อสิ่งที่สกังก์ทำอยู่เป็นเรื่องที่ดีต่อทีมตำรวจ แถมยังปกป้องสมบัติของชาติไม่ให้ถูกขายออกไปยังต่างประเทศได้ด้วย คำตอบที่ได้ก็คือ ถึงอย่างนั้นสกังก์จะทำเรื่องที่ดีต่อทีมตำรวจ แต่สกังก์ก็ยังเป็นหัวขโมยอยู่ดี ในฐานะของตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์และรักษากฎหมายจะละเว้นการทำหน้าที่ไม่ได้ และหน้าที่หนึ่งของตำรวจก็คือ การจับหัวขโมย

ภาพจาก tvN

ซีรีส์เรื่องนี้จึงเป็นอีกเรื่องที่มาในแนวของดาร์กฮีโร่ ฮีโร่ที่พยายามจะทำสิ่งดี ๆ พยายามจะปกป้องสมบัติของชาติด้วยวิธีการที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของกฎหมาย แต่ผลลัพธ์จากการที่พวกเขาต้องเสี่ยงตายมันก็มีแค่การพิทักษ์ไว้ซึ่งสมบัติอันล้ำค่าของแผ่นดิน สิ่งที่พวกเขารู้ก็คือการใช้กฎหมายเล่นงานคนพวกนี้มันไม่ช้าและไม่ทันการ การเปลี่ยนมือแลกเปลี่ยนสมบัติชาติเป็นเงินก้อนโตมันทำได้เร็วและไวกว่ามาก และพวกสมบัติเก่าแก่พวกนี้ก็มีแต่คนที่จ้องอยากได้มาเสริมบารมีให้ตัวเอง จะทำงานได้ทันอาชญากร ก็ต้องเป็นอาชญากรที่ตัดหน้าพวกมันก่อน

แต่ยังไงก็ตาม กฎหมาย คือสิ่งที่ซีรีส์เกาหลีพยายามเน้นย้ำมาตลอดว่าเป็นสิ่งที่คนต้องเคารพและปฏิบัติตาม และหากว่าเจ้าหน้าที่รัฐทำผิดกฎหมายเสียเอง มันก็ย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว แม้ว่าเรื่องที่ทำผลลัพธ์มันจะดี แต่มันก็ผิดกฎหมายอยู่ดี ทีนี้ก็อยากรู้เหมือนกันว่าทีมนี้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาล้วนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องเดินเกมนอกกฎหมายเพื่อจับอาชญากรและหยุดยั้งการขายสมบัติชาติ แล้วเหล่าทีมตำรวจจะทำอย่างไรกับหัวขโมยที่ขโมยของมาส่งคืนตำรวจกันแน่ ตำรวจจะจับหัวขโมย เพราะมันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำได้หรือเปล่า

ไม่มีอนาคตสำหรับประเทศที่ลืมประวัติศาสตร์ของตัวเอง ไม่มีอดีตสำหรับประเทศที่สูญเสียทรัพย์สินทางวัฒนธรรม

จะบอกว่าซีรีส์เกาหลีพล็อตโจรขโมยมรดกชาติเป็นอะไรที่ไม่ได้แปลกใหม่เท่าไรนักหรอก แต่วิธีการเล่าเรื่องของซีรีส์เรื่องนี้ที่ทำให้มันเป็นแอกชันคอมเมดี้ต่างหากที่ทำให้ได้กลิ่นอายใหม่ ๆ พอสมควร การออกแบบคาแรกเตอร์ของพระเอกที่มีความยียวนกวนบาทาเวลาที่สวมหน้ากากเป็นจอมโจรสกังก์ มันก็คือมุกตลกดี ๆ นี่เอง ปล้นอยู่ แต่ก็ยังขี้เล่นไม่ลดละ ชอบเล่นใหญ่บ้าพลัง หรือจะเป็นวิถีชีวิตปกติในเวลากลางวันของพระเอกที่มันช่างแตกต่างจากเวลากลางคืน กลางวันเขาคือข้าราชการที่ทำงานแบบไร้แพชชัน เช้าชามเย็นชามไปวัน ๆ นิ่งเป็นหลับ (คาโต๊ะทำงาน) ขยับก็ทำงานด้วยวิธีแปลก ๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นการกรุยทางไว้สำหรับภารกิจยามค่ำคืนต่างหาก

ภาพจาก tvN

วิธีการเดินเรื่องการอ้างถึงกลุ่มโจรที่พยายามจะขโมยสมบัติชาติไปขายแล้วเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง กับกลุ่มคนที่พยายามจะปกป้องสมบัติชาติทั้งหลายด้วยการไปขโมยมาจากโจรอีกที คนกลุ่มหลังนำทีมโดยข้าราชการหนุ่มที่ใช้ชีวิตแบบสองขั้ว และแฮกเกอร์ฝีมือดีคู่ใจ ขั้วกลางวัน ทั้งคู่เป็นไม้เบื่อไม่เมากันด้วยสถานะของเจ้าหน้าที่รัฐกับคนเจ้าของที่ดินที่พื้นที่ของตัวเองกลายเป็นแหล่งโบราณคดี ทั้งสองติดต่อสื่อสารกันด้วยวิธีนี้ เกี่ยวกับภารกิจที่จะทำยามค่ำคืน ขั้วกลางคืน ทั้งคู่ร่วมมือกันภารกิจขโมยมรดกทางวัฒนธรรมจากมือโจร แล้วนำกลับไปคืนสู่กรุสมบัติของแผ่นดินอย่างที่ควรจะเป็น มีอุปกรณ์สุดไฮเทคมากมายตระการตา และอีกไม่นาน ทีมของพวกเขาจะมีสมาชิกใหม่

คำถามคือที่พระเอกกลายมาเป็นฮีโร่ปกป้องทรัพย์สินของชาติมันคือเรื่องบังเอิญหรือ ที่จู่ ๆ เขาก็นึกครึ้มที่จะทำ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แบบนั้น เพราะมันถูกโยงไปถึงรุ่นพ่อของเขาที่พยายามทำทุกอย่างเพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมทั้งหลายด้วย ถึงขั้นที่คิดค้นน้ำยากลิ่นเหม็นน่ารังเกียจขึ้นมา แต่แท้จริงแล้วมันกลับเป็นน้ำยากันบูดที่ช่วยปกป้องของเก่าจากการผุพังและการกัดกร่อนกะทันหันเมื่อสัมผัสอากาศภายนอกและช่วยกำจัดแมลงและแบคทีเรียด้วย รวมถึงอาชญากรอีกคนหนึ่งที่เก่งกาจเรื่องฆ่าคนด้วยปากกาแค่ด้ามเดียว คนในตำนานที่พวกที่คร่ำหวอดในวงการขโมยของเก่าเข้าใจว่าตายไปนานแล้ว นี่ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับพ่อของพระเอกเหมือนกัน

ภาพจาก tvN

ซีรีส์พยายามเน้นย้ำมาตลอดว่าของเก่าเหล่านี้มีความสำคัญมากขนาดไหน ขึ้นชื่อว่าโบราณวัตถุยิ่งมันเก่าเท่าไรมูลค่าก็ยิ่งสูง และเมื่อมันตกทอดมาถึงปัจจุบันได้ มันก็จะกลายเป็นสิ่งล้ำค่าไปโดยปริยาย สร้างความตระหนักด้วยคำคมที่มีความหมายลึกซึ้ง “ไม่มีอนาคตสำหรับประเทศที่ลืมประวัติศาสตร์ของตัวเอง และไม่มีอดีตสำหรับประเทศที่สูญเสียทรัพย์สินทางวัฒนธรรม” ทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งอยากมีมันไว้ในครอบครอง ไม่เกี่ยงว่ามันจะเป็นของที่ถูกขโมยมาหรือต้องรับซื้อของจากโจรก็ตามที ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีฮีโร่ปกป้องมันไว้ให้อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่

บอกตามตรงว่าตอนแรกที่เปิดดูซีรีส์ Stealer: The Treasure Keeper ก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะแตกต่างจากที่คิดไว้ แต่พอดูจบอีพีที่ 2 แล้ว มันมีความชวนให้ตามลุ้นต่อ แล้วมันก็สนุกแบบบ้าบอดี ไม่ใช่แค่ความโปกฮาของพระเอกที่เล่นใหญ่อย่างเดียว แต่มันโยงไปถึงคดีฆาตกรรมเพื่อฉกฉวยเอาสมบัติมีค่าเหล่านั้นมาเป็นไว้ในครอบครอง อีกทั้งยังมีมีเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับการครองครองเหรียญกษาปณ์มีรูอายุโบราณที่ถ้าครอบครองได้ครบ 7 เหรียญแล้วจะบรรลุวัตถุประสงค์บางอย่าง รวมถึงการร่วมมือกันระหว่างทีมพระเอกที่เคยขโมยของออกมาแล้วแพ็กส่งคืนตำรวจ กับทีมตำรวจที่หัวหน้าเริ่มเปิดเผยวัตถุประสงค์แล้วว่าไม่ได้ต้องการจะจับจอมโจรสกังก์อีกต่อไป 🥷