The Golden Spoon ใช้ชีวิตแบบคาบช้อนทอง แถมเลือกพ่อแม่เอง

ภาพจาก MBC

ใครอยากเป็นเศรษฐี >> ฉันน่ะสิ ฉันน่ะสิ

เปิดคอลัมน์วันนี้อาจจะดูแปลก ๆ ไปสักหน่อย เพราะซีรีส์เรื่องนี้จำเป็นต้องเปิดนำด้วยมุกนี้ถึงจะเข้ากัน ความที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งอยากเป็นลูกเศรษฐี เพื่อที่จะหนีให้พ้นจากความยากจนที่ทำให้ตัวเขาต้องทุกข์ทรมานมาตลอดชีวิต แล้วเขาจะใช้วิธีไหนที่จะได้เป็นเศรษฐีสมใจอยากในเวลาอันสั้น ใบ้ให้ว่าแค่ไปกินข้าวที่บ้านเศรษฐีเพียง 3 ครั้งเท่านั้น ด้วย “ช้อนทองวิเศษ”

The Golden Spoon แปลไทยง่าย ๆ เลยว่า “ช้อนทอง” เป็นซีรีส์ที่จะดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อดังในชื่อเดียวกัน เวลานี้กำลังตกคนดูจำนวนมาก เพราะนอกจากนักแสดงนำแต่ละคนที่น่าตาชวนมอง ยังมีเรื่องพล็อตเรื่องเป็นแบบดราม่า-แฟนตาซี ใช่! มีความแฟนตาซีอยู่ในความดราม่า ดูน่าสนใจดีใช่ไหมล่ะ และถ้าได้ลองเปิดดูแค่เพียงตอนเดียว จะรู้เลยว่าเขาขยี้ความดราม่าเรื่องของ “ชีวิตคนรวย-คนจน” ออกมาได้แบบดุเด็ดเผ็นมันตามกรอบของสังคมเกาหลีใต้ ปัญหาชนชั้น ความเหลื่อมล้ำ โดยมีเส้นเรื่องที่ตัวละครหนึ่งใช้ความแฟนตาซีแก้ปัญหา

The Golden Spoon เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มจน ๆ คนหนึ่งที่ไม่เคยพอใจกับโชคชะตาที่ตัวเองเป็นอยู่เลยสักนิด (ก็ถ้าจะเจอชีวิตบัดซบขนาดนั้นใครมันจะพอใจ) เขาได้ทุนเข้าไปเรียนอยู่ในโรงเรียนลูกคนรวย สิ่งที่ต้องเจอเมื่อต้องอยู่ร่วมโลกกับพวกคนรวยนิสัยไม่ดี คือการถูกเปรียบเทียบ โดนดูถูกเหยียดหยาม สังคมโรงเรียนแห่งนี้ใช้ “ช้อน” มากเปรียบเทียบชะตาชีวิตของเด็ก ๆ ในโรงเรียน พระเอกของเรากับเพื่อนอีกคน คือ เด็กช้อนดินสกปรก ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือพวกคนจนที่เป็นกาอยู่ในฝูงหงส์ เด็กเกือบทั้งหมดของโรงเรียนล้วนเป็นลูกเศรษฐี เคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดเป็นลูกคนรวย ไม่ก็มีครอบครัวเป็นชนชั้นสูง มีอันจะกิน มีอำนาจในการปกครอง

ภาพจาก MBC

เด็กหนุ่มที่พบว่าความแตกต่างของตัวเองและเพื่อนร่วมโรงเรียนเริ่มสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเขา เพราะเขาถูกบูลลี่ ถูกกลั่นแกล้งใช้ความรุนแรงสารพัด ไหนจะการเหยียบย่ำน้ำใจด้วยการพูดย้ำชัด ๆ ถึงครอบครัว การเอ่ยถึงบุพการีที่ไม่มีปัญญาจะทำให้ตัวเองเป็นคนรวย ถึงได้มีลูกจน ๆ ตามไปด้วย และแน่นอนว่าก็ต้องอยู่กันไปจน ๆ แบบนี้ทุกชั่วอายุคน

ทุก ๆ วัน เด็กหนุ่มจะคิดง่าย ๆ แค่ว่า “ขอแค่ให้ฉันรวย ทุกอย่างมันก็จะดีเอง” เพราะเขาเริ่มที่จะอดรนทนไม่ได้กับชีวิตที่ต้องดิ้นรนขนาดนี้ จนมาวันหนึ่ง เขากลับได้โอกาสชีวิตมาง่าย ๆ จากการเจอเข้ากับหญิงชราที่เปิดร้านขายของสัพเพเหระอยู่ข้างทางระหว่างเดินทาง เขาเก็บลูกแก้วที่กลิ้งไปอยู๋ตรงหน้าเขามาคืนคุณยาย เลยเจอคุณยายขายตรงของที่อยู๋ในร้าน ซึ่งของสิ่งนั้นคือ “ช้อนทองพารวย” ราคา 30,000 วอน (ประมาณ 800 บาท) พร้อมกับอวดอ้างสรรพคุณที่ไม่ธรรมดาของมัน มันจะทำให้เขาเป็นเศรษฐี เพียงแค่ใช้ช้อนกินข้าวให้ครบ 3 มื้อที่บ้านของเพื่อนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาก็จะกลายเป็นลูกเศรษฐี เพราะจะได้สลับพ่อแม่กันด้วย

ภาพจาก MBC

การสลับตัวกับเพื่อนที่เป็นลูกเศรษฐี คือวิธีการที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดที่เขาจะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตเป็นคนรวย ความแฟนตาซีก็คือ คนอื่น ๆ รอบตัว (แม้กระทั่งคนที่สลับตัวด้วย) จะรับรู้ตามตัวตนใหม่หมด มีเพียงแค่เจ้าของช้อนทองเท่านั้นที่ยังรับรู้ตัวเองเป็นตัวตนเดิม ปัญหาคือเพื่อนเศรษฐีรุ่นราวคราวเดียวกับเขาที่ถูกเขาขโมยโชคชะตาไป ก็ต้องไปเผชิญหน้ากับชีวิตแบบยาจก ที่มีความทุกข์และน่าเวทนาแบบพลิกสุดขั้วแบบเดียวกับที่เขาเคยเจอ ในขณะที่เขาได้เสวยสุขเป็นลูกเศรษฐีแทน แต่อะไร ๆ มันก็คงไม่ง่ายขนาดนั้น ด้วยแต่ละคนล้วนมีปัญหาต่างกัน

นั่นเท่ากับว่าเขาจะได้ไปทดลองใช้ชีวิตเป็นคนรวย ได้เรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเองในเวอร์ชันจนกับเวอร์ชันรวยว่ามันมีอะไรแตกต่างกันบ้าง และลูกคนรวยที่เขาไปขโมยมา มีปัญหาเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรที่ทุกข์ใจบ้างหรือไม่ในฐานะลูกเศรษฐี โอกาส 3 ครั้งที่เขามีกับช้อนทอง ครบ 1 เดือน ครบ 1 ปี และครบ 10 ปี เขาจะตัดสินใจอย่างไรต่อไปกับชีวิต และการเป็นคนรวย มีพ่อแม่รวย จะทำให้เขามีความสุขได้จริง ๆ หรือไม่

ภาพจาก MBC

เรื่องนี้มันน่าสนใจตั้งแต่การนำเอา “ช้อน” มาปรากฏเป็นสัญลักษณ์ในการเปรียบเทียบชะตาชีวิตและฐานะทางสังคมของครอบครัว สัญลักษณ์ช้อนในไทยก็มีการใช้เปรียบเทียบ ในหลาย ๆ สังคมก็เช่นกัน ดังที่มีสำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า Born with a silver spoon in one’s mouth แปลไทยว่า “คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด” นั่นแหละ

ฉันว่าจะตบแกสักทีสองทีว่ะ ทำไมน่ะเหรอ ฉันมีเงินถมเถเลยไง

“คนเราล้วนเท่าเทียมกัน ทั้งพระเยซู พระพุทธเจ้า มาร์กซ์ และคานธีก็พูดเหมือนกัน สิทธิพื้นฐานที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญก็เขียนไว้แบบนั้น แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าชีวิตจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น ทุกคนสวมชุดนักเรียนแบบเดียวกัน นั่งท่าเดียวกัน  แต่ที่นี่คือ…ประเทศเกาหลี คือสังคมแห่งชนชั้น โลกที่ปกครองโดยพวกคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด”

ภาพจาก MBC

ข้อความข้างต้นเป็นข้อความที่ซีรีส์เรื่องนี้ใช้เปิดตัวกับผู้ชม อ้างคำพูดของบุคคลที่เป็นที่รู้จักของโลก ที่มักจะพูดอยู่เสมอ ๆ ว่ามนุษย์นั้นเท่ากัน ในแง่ของวิทยาศาสตร์ก็ค่อนข้างชัดเจน ร่างกายแต่ละคนที่ธรรมชาติจะให้อวัยวะมาเหมือน ๆ กัน และส่วนใหญ่ก็จะให้มาแบบซ้ายขวาสมดุล ไม่เช่นนั้นก็จะอยู่ตรงกลาง ธรรมชาติในการดำรงชีวิตของทุกคนเหมือนกัน คือ ต้องกิน จากนั้นขับถ่ายออก มีการสืบพันธุ์เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ ต้องนอนหลับพักผ่อน และต้องหายใจ ส่วนปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต มีเพียงปัจจัยสี่ก็น่าจะเพียงพอต่อการมีชีวิต

ภาพจาก MBC

ทว่านี่ก็เคยนึกสงสัยเหมือนกัน ว่าถ้าเรา “ไม่มีเงิน” เราจะมีปัจจัยสี่ได้ยังไงก่อน เหมือนชีวิตของพระเอกในเรื่องนี้เลยล่ะ การไม่มีเงินทำให้ชีวิตของเขาอยู่แบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ ปัจจัยด้านอาหารที่ไม่เคยได้กินดี ๆ แบบคนอื่น และจะซื้ออาหารกินทีต้องคิดแล้วคิดอีกว่าเพียงพอกับสมาชิกในบ้านหรือไม่ เงินพอซื้อหรือเปล่า จะมีเงินเหลือถึงมื้อหน้าไหม ถ้าไม่เหลือแล้วมื้อหน้าจะกินอะไร ปัจจัยด้านที่อยู่อาศัย ที่แม้ว่าไม่ต้องนอนข้างถนน แต่สภาพบ้านกึ่งใต้ดินก็กันอะไรแทบไม่ได้ อยู่กับเพื่อน ๆ ที่เป็นหนูและแมลงสาบ แถมวันดีคืนดีเจ้าของบ้านยังยกพวกมาทวงค่าเช่า ไม่มีเงินจ่ายก็ถูกทำร้าย จะโดนไล่ออกจากบ้านเมื่อไรก็ไม่รู้

ปัจจัยด้านเครื่องนุ่งห่ม แม้ว่าเสื้อผ้าราคาถูกมันก็สวมใส่ได้ปกปิดร่างกายได้เหมือนกัน แต่ชุดนักเรียนที่อ้างกันว่าทำให้เด็กทุกคนเท่ากัน เขายังต้องใส่ของมือสอง ให้เพื่อนคนรวยได้แซะเล่น ๆ และปัจจัยด้านยารักษาโรค เวลาเจ็บป่วยแต่ละที ถ้าไม่มีเงิน ก็ต้องแลกกับการรอ รอ และรอวนไป เพื่อใช้สิทธิในการรักษาพยาบาลของภาครัฐ ระหว่างที่รออาจตายเมื่อไรก็ได้ รักษาเสร็จก็ได้แต่กังวลว่าจะโดนเรียกเก็บเพิ่มเท่าไร แต่ถ้ามีเงินสามารถรักษาได้ทันที ได้รับการบริการอย่างดี เรียกหมอมาหาถึงบ้านยังทำได้เลย

ภาพจาก MBC

ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่เด็กที่คาบช้อนดินมาเกิดต้องเจอ ความไม่เท่ากันเรื่องของ “เงิน” นี่แหละที่ทำให้คนไม่เท่ากันในที่สุด เหตุผลที่พระเอกมักจะโดนเพื่อนคนรวยบูลลี่ กลั่นแกล้ง ทำร้ายร่างกาย โดยที่เขาตอบโต้ไม่ได้ ก็เพราะเขาไม่มีเงินจะจ่ายถ้ามันกลายเป็นคดีความขึ้นมา ไหนจะค่าปรับ ไหนจะค่ารักษาพยาบาลที่ใช้บริการของคนมีเงิน เขาจะเอาเงินไหนจ่าย ในขณะที่หลังจากเพื่อนคนรวยซ้อมเขาเสร็จก็โยนเงินใส่หน้าเขา เงินที่มูลค่ามากกว่าการทำงานพาร์ตไทม์ทั้งวันของเขาด้วยซ้ำไป แล้วถ้าเป็นคดีความขึ้นมาจริง ๆ คิดว่าระหว่างคนรวยกับคนจนใครรอดใครนอนคุกเดาไม่ยาก อันที่จริงลูกคนจนอย่างพระเอกกำลังโดนใส่ร้ายให้เป็นคนผิดด้วย เพื่อกำจัดพวกคนจนให้พ้นทาง

นี่แหละ ความไม่เท่ากันของคนที่มีอยู่ในทุกที่ทุกสังคม โดยเฉพาะสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง ๆ เด็กจน ๆ คนหนึ่งที่ต้องกัดฟันอดทนเวลาที่โดนดูถูกและกลั่นแกล้งมาตลอด หลังเลิกเรียนต้องวิ่งวุ่นทำงานพาร์ตไทม์ก่อนจะกลับมาอ่านหนังสือเองคนเดียว ไปเก็บตัวอย่างข้อสอบเก่า ๆ มาจากกองขยะที่โรงเรียนกวดวิชาคัดไว้ทิ้ง ในขณะที่เพื่อนคนรวยได้เรียนพิเศษมีครูสอน กลับมาบ้านก็เจอแก๊งทวงหนี้กำลังทำร้ายพ่อแม่ที่ไม่มีเงินจ่ายหนี้คืน ข้าวปลาอาหารเน้นกินข้าวเข้าไปเยอะ ๆ จะได้อิ่มเร็ว ๆ นี่คือวิถีชีวิตที่แตกต่างของลูกคนจนกับลูกคนรวย วิถีชีวิตที่คนรวยไม่เข้าใจ

ภาพจาก MBC

จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าคนรวยไม่จำเป็นต้องพยายามอะไรเลย หรือคนจนก็ไม่มีทางที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ แต่แค่มีต้นทุนเริ่มต้นที่สูงกว่า โอกาสมันก็มีมากกว่าอยู่แล้ว ล้มเหลวบนฟูกกับล้มเหลวแบบสิ้นเนื้อประดาตัวมันต่างกัน แถมคนประเภทที่มีทั้งทุนและโอกาสที่สูงกว่าก็ยังหาทางเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่าอยู่ได้เรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีความผิดอะไร สังคมช่างน่าสมเพช ถ้ายังจำกันได้ คำพูดหนึ่งของตัวละครหัวหน้าฮงในเรื่อง Hometown Cha Cha Cha ทุกวันนี้ยังคงติดอยู่ในใจ “ชีวิตคนเรามันไม่เท่าเทียมกันขนาดนั้นหรอกนะ บางคนก็มีชีวิตเหมือนถนนลูกรังที่ขรุขระ และมีคนที่วิ่งแทบตาย แต่ท้ายที่สุดก็เจอกับหน้าผาสูงชัน”

เขาไม่เหมือนเด็กอย่างเราที่กินหรูอยู่สบายเพราะพ่อแม่

ต้นทุนที่ใคร ๆ ก็ชอบพูดถึง ส่วนหนึ่งคือคือต้นทุนที่ได้เกิดมาเป็นลูกที่มีพ่อแม่รวย แค่เกิดมาลืมตาเห็นเพดานโรงพยาบาลที่แตกต่างกัน ต้นทุนก็ไม่เท่ากันแล้ว เพราะเด็กไม่ใช่คนที่เกิดมาแล้วรวยได้ด้วยตัวเองทันที เด็กคนหนึ่งเห็นโคมไฟระย้าและแสงสว่างจ้าแบบระยิบระยับ กับเด็กอีกคนเห็นหลอดไฟขั้วดำ ๆ ที่ให้ความสว่างไม่เต็มที่ เปิดไฟแต่ห้องมืดสลัว แถมมีหยากไย่ห้อยระย้าลงมาจากหลอดไฟด้วย

ย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้กล่าวหาว่าคนรวยไม่ต้องพยายามอะไร แต่ไม่ต้องมองอะไรไกล แค่ตอนเรียนหนังสือเด็กบ้านจนกับเด็กบ้านรวยก็พยายามแตกต่างกันแล้ว เด็กรวยเรียนในห้องไม่รู้เรื่อง เพราะครูสอนไม่ดี ไม่เป็นไรพ่อแม่มีเงินจ่ายค่าเรียนพิเศษให้ ให้ครูสอนพิเศษเก่ง ๆ มาสอนเดี๋ยวก็เข้าใจ แต่เด็กจนที่พ่อแม่ไม่มีปัญญาหาเงินส่งให้เรียนพิเศษ เด็กพวกนี้ต้องดิ้นรนที่จะเข้าใจบทเรียนนั้นด้วยตัวเอง ไปหาครูให้อธิบายเพิ่มเติม ก็เสี่ยงจะโดนไล่ออกมาเพราะไปยุ่งกับเวลาว่างของครู (ครูแบบนั้นมีถมเถ ถ้าเจอเองก็จะรู้) หรือครูคนเดิมที่สอนในห้องไม่ดี ให้อธิบายใหม่ก็ไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม ห้องสมุดเหรอ มันก็ไม่ได้มีทุกอย่างขนาดนั้นหรอกนะ วิธีการคำนวณที่ต้องอาศัยครูอธิบายก็ไม่มีในหนังสือ

ภาพจาก MBC

เมื่อไม่นานมานี้ มีคลิปไวรัลหนึ่งที่ดังมากในบ้านเรา เป็นคลิปการสัมภาษณ์ลูกคนรวยคนหนึ่ง (เป็นการแสดง) เบื้องหลังความสำเร็จของนักธุรกิจพันล้านวัย 26 ปี คือ “บ้านผมรวย” เกิดมาบนกองเงินกองทอง มีต้นทุนที่อนุญาตให้มีโอกาสได้ลองผิดลองถูกมากกว่าคนอื่น ๆ เวลาล้มก็ล้มบนฟูก กรณีที่เลวร้ายที่สุดจริง ๆ ก็แค่เดินกลับไปที่บ้านเพื่อทำธุรกิจต่อจากที่บ้าน เขาให้สัมภาษณ์ว่ารากการเป็นคนรวยในสังคมมันง่ายกว่าคนจน ทั้งโครงสร้างสังคม การเติบโต กฎหมาย หรือว่านโยบาย มันเอื้อให้คนรวยได้เปรียบจนไม่รู้จะได้เปรียบยังไง เขาจบการสัมภาษณ์ด้วยถ้อยคำสร้างแรงบันดาลใจที่โด่งดังสุด ๆ ว่า “เกิดเป็นลูกคนรวย ถ้าไม่ทำตัว…จนเกินไป ยังไงก็ประสบความสำเร็จ”

ภาพจาก MBC

นั่นแหละ แค่เกิดมามีพ่อแม่รวยอะไร ๆ มันก็ง่ายขึ้นเยอะ อีกทั้งในโลกของความเป็นจริง วิธีที่ชนชั้นสูงใช้สืบทอดอำนาจและความมั่งคั่งของตัวเอง ก็คือการเหยียบย่ำคนจนให้จมลง ๆ เพื่อให้ตัวเองได้สูงขึ้นไปอีก เพราะพวกคนรวยจะทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ หากพวกเขาทุจริต พวกเขาก็คิดว่าตัวเองจะไม่ถูกลงโทษ เพราะการมีเงินและอำนาจสามารถทำให้รอดได้เสมอ แถมยังคอยสอดส่องหาช่องว่างเพื่อเอาเปรียบคนอื่นด้วยอำนาจในทางมิชอบได้เรื่อย ๆ หากพ่อแม่รวย ๆ ของลูกบางคนเป็นแบบนี้ แล้วลูกไม่เห็นด้วย ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี!

ภาพจาก MBC

ในทางกลับกัน คนที่คาบช้อนดินมาเกิดหรือคนชนชั้นกลางต่างหากที่ยังต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่ในสนามการแข่งขันที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งมันมีปัจจัยหลายอย่างที่กดทับลงมาอย่างหนักแบบที่ไม่เห็นหนทางลืมตาอ้าปากเลยด้วยซ้ำ ความพยายามอยู่ที่ไหนความพยายามก็อยู่ที่นั่น ดิ้นรนแค่ไหน ดิ้นรนมานานเท่าไรก็ไม่หลุดพ้นวงจรความจนไปสู่ความรวย ทำได้มากที่สุดแค่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยเท่านั้น หนทางเดียวที่จะหลุดพ้นอะไรแบบนี้ คือการไม่จนอีก!

ภาพจาก MBC

เมื่อพระเอกได้รับช้อนทอง ที่คุณยายคนขายอ้างสรรพคุณว่าจะทำให้เขาเปลี่ยนพ่อแม่และมีชีวิตที่ร่ำรวยได้ แม้ว่าจะฟังดูเพ้อเจ้อ แต่เด็กหนุ่มจึงก็ตกลงที่จะเชื่ออย่างสนิทใจทันที ในที่สุดเขาก็ยอมทิ้งพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองเพื่อเงิน โดยที่ไม่รู้ว่าไม่มีอะไรที่แลกได้มาฟรี ๆ และเรื่องราววุ่นวายที่ตามมาหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ถึงเขาจะทิ้งพ่อแม่จน ๆ ของตัวเองไปใช้ชีวิตเป็นลูกคนรวย แต่เขากลับยังพยายามหาทางช่วยพ่อแม่จน ๆ ของเขาให้ลืมตาอ้าปากให้ได้ แม้ว่าพ่อแม่จะจำไม่ได้ว่าเขาต่างหากที่เป็นลูกชายแท้ ๆ ก็ตาม

พอเป็นคนรวยแล้ว ฉันจะมีชีวิตรอดให้ได้

ถ้าจะให้เปรียบเทียบความที่ชีวิตคาบช้อนดินมาเกิด เลเวลความอนาถาของพระเอกเรื่องนี้ และความทะเยอทะยานปรารถนาที่จะรวย อาจจะเทียบได้พอ ๆ กับพี่สาวคนโตแห่งเรื่อง Little Women เพราะพวกเขาทั้งคู่มีความคิดไปในทางเดียวกันว่า จน=ตาย พระเอกของเรื่องนี้เห็นเคส จน=ตาย จากเพื่อนสนิทและครอบครัว ที่ฆ่าตัวตายจากโลกนี้ไปก็เพราะหนี้สินมหาศาลที่ต่อให้ขยันทำงาน 24 ชั่วโมงตลอดทั้งปีก็ไม่มีวันใช้หนี้หมด ไหนจะการโดนขับไล่ออกจากพื้นที่ที่จะพัฒนาใหม่ ที่จะทำให้กลายเป็นคนไม่มีบ้านด้วย

ภาพจาก MBC

ส่วนตัวของเขาเองเจอเข้ากับเรื่องที่ไม่ยุติธรรม โดนใส่ร้ายทั้งที่ไม่มีความผิดอะไรเลย ชีวิตเขากำลังจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนและอาจกลายเป็นคนที่โดนคดีด้วย คนรวยทำได้ทุกอย่างเพื่อใส่ร้ายคนจน เพราะคำพูดของพวกเขามันมีราคา ในเสี้ยววินาทีหนึ่งที่พระเอกเกือบหมดลมหายใจบ๊ายบายโลกใบนี้ไป เขาก็มีความคิดหนึ่งที่แว่บมาในหัว ว่าถ้าต้องดิ้นรนในฐานะช้อนดินไปตลอดชีวิต แบบนี้ (ความตาย) อาจจะดีกว่ามั้ง ก่อนที่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเขาจะถูกปลุกให้ตื่นในวินาทีสุดท้าย ว่าถ้าหากเขาไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา เขาก็จะมีชีวิตรอด

ภาพจาก MBC

การไปปรากฏตัวที่บ้านเพื่อนเศรษฐีเพื่อที่จะขอข้าวบ้านเพื่อนกินในมื้อสุดท้ายตามเงื่อนไขของช้อนทอง ทำให้เเห็นจริง ๆ เลยว่าเขาต้องการที่จะมีชีวิตรอดแค่ไหน แต่ถ้ารอดแล้วต้องกลับไปยากจนเหมือนเดิม ถูกใส่ร้าย ถูกกระทำต่าง ๆ นานาเหมือนไม่ใช่คน เขาก็คงไม่เอาอีกเหมือนกัน คนจนตรอกแบบเขา สามารถทำเรื่องโง่ ๆ ได้แม้กระทั่งการเชื่อว่าช้อนทองนั้นจะเปลี่ยนให้เขากลายเป็นลูกเศรษฐีได้จริง ๆ เพราะเขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ก็ต้องลองมันทุกหนทาง เหมือนที่พี่สาวคนโตของซีรีส์อีกเรื่องที่ก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน 7 หมื่นล้านวอนมาครอบครองให้ได้ เสี่ยงตายแค่ไหนก็ยอม แค่ของให้มีคนจัดแจงเงินส่วนนั้นให้น้องสาวอีก 2 คนของตัวเอง

ภาพจาก MBC

การที่พระเอกยอมเชื่อเรื่องไร้สาระที่หญิงชราคนขายช้อนทองพูด ทั้งที่ตัวเขาก็เคยคิดว่าการที่จู่ ๆ ยาจกจะกลายเป็นคนรวยได้ มันก็แค่นิทานเก่าเก็บ ถึงอย่างนั้นเขากลับตัดสินใจซื้อช้อนทองมาด้วย ก่อนที่จะใช้มันกินข้าวจนครบสามมื้อที่บ้านของเพื่อนเศรษฐีที่เป็นตระกูลเศรษฐีที่มีธุรกิจใหญ่โต ด้วยวามรู้สึกแบ่งรับแบ่งสู้และยังไม่ได้ตัดสินใจ หากแต่ชีวิตเขายังคงถูกคนรวยตามรังแกไม่เลิกจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เขาจึงแบกหน้าไปขอข้าวมื้อที่สามกิน ชี้ชะตากันไปเลยว่าช้อนทองนี่ใช้งานได้จริงไหม และทันใดนั้นเอง…โชคชะตาของเขาก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

ภาพจาก MBC

สุดท้ายแล้ว ความจนมันก็ยังน่ากลัวเสมอ สำหรับคนที่เคยเกือบตายเพราะความจน แต่เมื่อการอยากมีชีวิตรอดของเด็กหนุ่มมีความโลภและความทะเยอทะยานที่ต้องการอยากจะมีชีวิตและความเป็นอยู่สุขสบายเยี่ยงเศรษฐีเข้ามาเจือปน ความเป็นเศรษฐีของเขามันจะเป็นความสุขที่เขาแสวงหามาทั้งชีวิตหรือไม่ การที่ต้องทิ้งพ่อแม่จน ๆ ที่ไม่ใช่เซฟโซนของตัวเองไป เขาทำได้แบบไม่รู้สึกอะไรเลยจริง ๆ งั้นเหรอ ท้ายที่สุดเขาจะถลำลึกลงไปมากกว่านั้น…หรือจะพอแค่นี้ ในเมื่อเขาเริ่มเรียนรู้แล้วว่าไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี ๆ เขาเริ่มได้บทเรียนจากการตัดสินใจนั้น และเจอกับผลลัพธ์ที่ไม่อาจหวนคืน🥄