เกิดอะไรขึ้นกับ CNN+ และ Netflix

สัปดาห์ที่แล้วเล่าเรื่อง CNN+ สตรีมมิ่งข่าวของ CNN ที่เปิดตัวมาแล้วหล่นตุ้บ กับยอด “สับตะไคร้” (Subscriber) ที่เดิมคาดหวังไว้วันละ 10,000 รายแต่กลับกลายเป็นว่าเปิดตัวมาครึ่งเดือนเพิ่งได้ยอดไปเพียง 10,000 ราย

เรื่อง “ตุ้บ” ยังไม่ทันจะข้ามไปสัปดาห์ใหม่ดี ปรากฏว่าปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา คริส ลิชต์ ซีอีโอของ CNN ออกมาประกาศกับพนักงานและส่งแถลงไปยังสื่อว่าจะปิดการให้บริการ สตรีมมิ่ง CNN+ ในสิ้นเดือนเมษายน (ตามรายงานข่าวนั้นระบุว่าจะเป็นการจัดกระบวนทัพใหม่หลังจากที่มีการควบรวมกับ Discovery ภายใต้การดูแลของบริษัทแม่ Warner Bros. Discovery Inc.) ซึ่งการประกาศดังกล่าว เรียกว่าฟ้าผ่ากลางออฟฟิศ CNN ที่แอตแลนต้ากันเลยทีเดียว

ตามรายงานข่าวนั้นระบุว่า เนื้อหาบางส่วนที่อยู่ใน CNN+ จะกระจายไปตามช่องทางเผยแพร่ของ CNN และช่องในเครือข่าย แต่ที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดคือเงินลงทุนที่ Warner Bros Discovery Inc. ลงทุนไปกับ CNN+ ที่สูงถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในจำนวนนี้รวมไปถึงการดึงตัวผู้ประกาศและเซเลบริตี้ชื่อดังมาร่วมงาน เมื่อเกิดคำสั่งแบบหักดิบเช่นนี้ เรียกว่าสะเทือนกันไปทั้งฟลอร์เลยทีเดียว

แล้วก่อนหน้าที่ CNN+ จะถูกประกาศยุติให้บริการ ก็มีเรื่องสั่นสะเทือนวงการสตรีมมิ่ง เมื่อหุ้นของ Netflix ดิ่งลงถึง 35 เปอร์เซ็นต์ หลังจากมีรายงานว่ายอดสมาชิกของ Netflix ยกเลิกการใช้บริการในช่วงไตรมาสแรก 200,000 รายและกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีแนวโน้มว่าจะใช้บริการอาจจะหันไปหาเจ้าอื่น ซึ่งคาดกันว่าจะมีประมาณ 2 ล้านรายที่หายไปในไตรมาสที่สอง งานนี้เนติเซนทั่วโลกต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันในโซเชียลมีเดียจนติดเทรนด์ทวิตเตอร์กันเลยทีเดียว

ส่วนของ CNN+ นั้นได้เล่าให้ฟังไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน ลองย้อนกลับไปอ่านได้ค่ะ แต่สำหรับ Netflix ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่เกินเลยไปมาก เพราะเอาเข้าจริง สมาชิกที่หายไปนั้น ถ้าเทียบกับตัวเลขสมาชิกทั่วโลกที่มีอยู่ 221.8 ล้านรายปัจจุบันเหลือ 221.6 ล้านรายคิดเป็นเพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ด้วยความที่ Netflix ร้อนแรงมาตลอด ยิ่งในช่วงสามปีที่ผ่านมาท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดหุ้น Netflix ก็พุ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพราะผู้คนอยู่บ้านกันมากขึ้น

แต่จุดแข็งดังกล่าวก็เปรียบเสมือนจุดอ่อนของ Netflix เพราะถ้าย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของผู้ให้บริการสตรีมมิ่งภาพยนตร์และซีรีส์ชื่อดังเจ้านี้ ถือกำเนิดมาจากการให้บริการให้เช่าดีวีดี พอพัฒนาจนกลายมาเป็นผู้ให้บริการสตรีมมิ่งภาพยนตร์และซีรีส์ Netflix ก็ต้องซื้อมาจากผู้ผลิต Content ซึ่งเป็นสตูดิโอเจ้าใหญ่ พอมีสมาชิกมากขึ้นมีความต้องการหลากหลายขึ้น Netflix จึงถึงเวลาผลิตภาพยนตร์และซีรีส์ที่เป็น Original Netflix เอง

ซึ่งคนในแวดวงก็เม้าต์กันว่าส่วนใหญ่เป็นบทหรือพล็อตที่สตูดิโอใหญ่ ๆ ไม่เอาแล้ว (ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เราต้องอยู่หน้าจอ Netflix ไม่ต่ำกว่า 30 นาที ในการหาว่าจะรับชมภาพยนตร์หรือซีรีส์อะไรดี)​ แต่ด้วยความที่ต้องการ Content เพื่อป้อนเข้าสู่ระบบ สุดท้ายบทหรือพล็อตที่ถูกเม้าต์กันว่าถูกปฏิเสธมาจากสตูดิโอใหญ่ ก็ถูก Netflix สอยมาผลิต

ยิ่งในช่วงที่โควิดระบาดไปทั่วโลก และเป็นเหตุให้ผู้คนต้องอยู่บ้านกันมากขึ้น Netflix เหมือนเป็นทางเลือกหลักในการหาความบันเทิง แต่ปรากฏว่า Original Content ที่ Netflix ลงทุนไปนั้นไม่ค่อยโดนใจผู้ชมสักเท่าไรนัก ขณะที่เจ้าของ Content รายใหญ่อย่าง Disney ก็เปิดตัว Disney+ แถมมีคู่แข่งสตรีมมิ่งเจ้าอื่นอย่าง Amazon Prime, Apple+ ไปจนถึงสตรีมมิ่งในภูมิภาคที่เข้าใจคนดูในพื้นที่ได้มากกว่าแบรนด์ใหญ่

แม้ว่า CEO ของ Netflix จะพยายามออกมาบอกว่ายอดที่ตกลงส่วนหนึ่งเป็นเพราะการให้สมาชิก Netflix แชร์ account เพื่อใช้งานกันง่ายเกินไป (ตลกน่า) และส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบต่อการบอยคอตรัสเซีย สมาชิกที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเลยหายไป (อันนี้พอฟังขึ้นหน่อย)

แต่เอาเข้าจริงแล้ว Reed Hastings CEO ของ Netflix เองก็น่าจะเห็นปัญหาเช่นกัน เพราะแม้แต่ Elon Musk CEO Tesla ยังทวิตข้อความข้ามวงการในวันที่หุ้น Netflix ร่วงเอาไว้ว่า “The woke mind virus is making Netflix unwatchable” (เนื้อหาใน Netflix บางส่วนทำให้สตรีมมิ่งรายนี้ไม่น่าดู)

ทั้งนี้หนทางแก้ปัญหาที่ Reed Hastings เตรียมเอาไว้คือเปิดตัวค่าสมาชิกในราคาสบายกระเป๋า แต่ผู้ชมต้องยอมดูโฆษณา และอีกส่วนที่ Netflix ทำอยู่แล้วแต่ไม่ได้บอกคือการ ใช้ระบบ Data Driven ที่จะรวบรวมข้อมูลของผู้ที่เข้ามาชมและใช้ AI ในวิเคราะห์แบบ personalize เพื่อตรึงให้ผู้ชมยังคงอยู่กับตนเอง

จากนี้คงต้องมาดูกันว่าสถานการณ์ของ Netflix จะเป็นไปตามที่ถูกคาดในไตรมาสที่สองหรือไม่ เพราะตอนนี้ Netflix เหมือนถูกสะกิดเตือนแล้วว่ามีคู่แข่งรายอื่นที่คอยเข้ามาแย่งสมาชิกเดิมของตนเองอยู่ ถ้ายังเชื่อมั่นว่าเป็นเพราะ Account การใช้งานถูกแชร์ใช้งานง่ายเกินไป มากกว่าจะหันกลับมามองคุณภาพ Original Contents ของตนเอง Reed คงต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมากเลยทีเดียวในระยะเวลาอีก 8 เดือนของปี 2022

ศึกสตรีมมิ่งเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นค่ะ จากนี้จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะความพยายามจะเป็นผู้ครอบครอง Original Content ให้ได้เป็นเจ้าแรก ของแบบนี้หาอ่านได้ใน My Dear Media ค่ะ ทางผู้เขียนจะมาเล่าให้ฟังทุกวันจันทร์

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ