Extraordinary Attorney Woo เอาใจช่วยทนายสาวออทิสติกผู้น่ารัก

กระแสแรงจนแทบต้านไม่ไหว สำหรับซีรีส์เรื่อง Extraordinary Attorney Woo หรือชื่อภาษาไทยจาก Netflix ว่า “อูยองอู ทนายอัจฉริยะ” นาทีนี้ถ้าใครไม่รู้จักซีรีส์เรื่องนี้ ถือว่าคุณพลาดเทรนด์โลกเลยกว่าได้ เพราะนี่คือซีรีส์ที่ไม่ใช่แค่เป็น Talk of the Town ในเกาหลีใต้ในเวลานี้ จากการกวาดเรตติ้งได้สูงที่สุดถึง 9.6% ในอีพีล่าสุด ทั้งที่ออกสตาร์ทด้วยเรตติ้งแค่ 0.9% เท่านั้นในอีพีแรก เรียกได้ว่าเรตติ้งพุ่งทยานเพิ่มขึ้นถึง 10% อย่างก้าวกระโดด ในช่วงเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ด้วยตอนเพียง 6 ตอนเท่านั้น ขึ้นแท่นเป็นรายการที่ทำเรตติ้งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของช่องเคเบิลทีวี ENA นับตั้งแต่เปิดสถานีโทรทัศน์ ที่สำคัญ ENA เป็นเพียงช่องเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักด้วย

อย่างไรก็ตาม กระแสของซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้แรงเฉพาะในบ้าน แต่ยังสร้างปรากฏการณ์ระดับโลกด้วยการทำยอดสตรีมขึ้นอันดับ 1 ใน Netflix ทั่วโลกสำหรับซีรีส์ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แรงจนฝั่งอเมริกาสนใจที่จะซื้อลิขสิทธิ์ไปรีเมกเป็นเวอร์ชันอเมริกาแล้วด้วยซ้ำ โดยทาง ASTORY บริษัทผู้ผลิตซีรีส์เรื่องนี้ได้ออกมายืนยันถึงข่าวนี้ว่า “เราได้รับข้อเสนอสำหรับการนำไปรีเมคในเวอร์ชันอเมริกาจริง ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบข้อเสนอ” เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์เกาหลีที่ยืนหนึ่งในช่วงนี้เลย เพราะฉะนั้น เริ่มดูซะ เดี๋ยวคุยกับใครไม่รู้เรื่อง

Extraordinary Attorney Woo เป็นเรื่องราวของทนายความสาวที่ชื่อว่า “อูยองอู” เธอค่อนข้างภาคภูมิใจกับชื่อที่อ่านจากหน้าไปหลังหรือจากหลังมาหน้าก็ยังคงเป็นอูยองอู เธอคือนักกฎหมายที่เป็น “ออทิสติก” กลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ (บกพร่องทางพัฒนาการของการเข้าสังคม) คนแรกของเกาหลีใต้ ดู ๆ แล้วเหมือนจะเป็นอุปสรรคต่ออาชีพที่ต้องว่าความ เจอลูกความ และต้องใช้วาทศิลป์ในการขึ้นศาลใช่ไหม แต่ไม่ต้องห่วง เพราะเธอเป็นอัจฉริยะที่มีไอคิวสูงถึง 164 แถมมีวิธีคิดและความจำอันโดดเด่น

สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือการที่เธอต้องใช้ชีวิตอยู่อย่าง “แตกต่าง” กับคนอื่น ๆ ในสังคมรอบข้าง ทำให้เธอต้องพยายามอย่างหนักมากกว่าคนทั่วไปในการพิชิตอุปสรรคต่าง ๆ จากการที่เธอมีป้ายติดว่าเป็นคนออทิสติก ทั้งไขปริศนาของคดีและการแก้ต่างให้ลูกความ การทำงานในสำนักงานกฎหมายอันโด่งดัง ปริศนาของชีวิตส่วนตัว และการปรับตัวให้เข้ากับสังคม ซึ่งหนักว่าเป็นสิ่งที่ยากที่สุดของคนเป็นออติสทิก

น้ำหนักของความพิการนี้ที่พวกเราแบกรับไว้

ปมหลักปมใหญ่ของเรื่องก็คงหนีไม่พ้นภาวะความพิการของนางเอกที่เป็นออทิสติก ซึ่งต้องบอกเลยว่าขออวยยศให้กับคนเขียนบทและนักแสดงที่รับบททนายออทิสติก “พัคอึนบิน” และคนอื่น ๆ ที่มีส่วนช่วยให้การนำเสนอเรื่องเป็นไปได้อย่างกลมกล่อม แต่งานยากจริง ๆ ก็คือพัคอึนบินนั่นแหละ จริง ๆ แล้วผลงานที่ผ่านมาของเธอนั้น แต่ละเรื่องก็ไม่ธรรมดา ท้าทายความสามารถของเธอเหลือเกิน เรื่องก่อนหน้าอย่าง The King’s Affection ก็รับบทผู้หญิงที่ปลอมตัวเป็นกษัตริย์ เรื่องนี้ก็ต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อแสดงเป็น “คนออทิสติก” แสดง “เป็น” คนออทิสติกยากแค่ไหนในฐานะคนที่ดูเฉย ๆ ไม่อาจรู้ได้ แต่การแสดง “ให้คนเชื่อ” ว่าเป็น อันนี้แหละที่ยากมากแน่ ๆ

สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือพัคอึนบินเคยให้สัมภาษณ์และกล่าวถึงตัวละครอูยองอูที่เธอต้องแสดงว่า “อูยองอู ไม่ใช่คนที่คุณอยากจะช่วย แต่เป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ที่คุณต้องการจะเป็นเพื่อนด้วยค่ะ กับบทนี้ฉันได้เรียนรู้ความกล้าหาญจากเธอค่ะ” ประเมินจากซีรีส์ 6 ตอนที่ออนแอร์มา กล้าพูดเลยว่าเธอทำมันออกมาได้ดีมาก ๆ เพราะเธอไม่ได้ทำให้ทนายความอูยองอูที่เป็นคนพิเศษที่น่าสงสาร แต่เธอทำให้เห็นว่ายองอูคือคนคนหนึ่งที่อยู่ร่วมในสังคมกับเราได้ อาจจะดูแปลก ๆ ไปบ้างถ้าต้องเป็นเพื่อนกับเธอ แต่การเป็นเพื่อนกับเธอเป็นเรื่องที่โชคดี

ในอีพี 3 เป็นอีพีที่ทำเอาคนดูน้ำตารื้น เมื่อซีรีส์พยายามจะนำเสนอชีวิตของผู้ที่ป่วยเป็นออทิสติกว่าพวกเขาถูกสังคมตราหน้าว่าอย่างไร โดยการนำเอาคนออทิสติก 2 คนมาเจอกัน คนหนึ่งคือทนายความสมองอัจฉริยะที่จะพบเป็นส่วนน้อยในคนออทิสติก และอีกคนมีอาการหนักกว่า ถึงขนานที่ถูกประเมินว่าเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางจิตใจ สื่อสารแทบไม่รู้เรื่อง แม้ว่าเขาเข้าใจความเป็นไปว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็มีความบกพร่องด้านทักษะทางสังคมร่วมกับมีพฤติกรรมไม่ยืดหยุ่น จึงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตที่อาจจะสื่อสารกับผู้อื่นแทบไม่ได้

จริง ๆ แล้วสิ่งที่เรื่องนำเสนอมาตั้งแต่อีพีแรก คือการที่สังคมมองเหยียดคนกลุ่มนี้และเลือกปฏิบัติต่อพวกเขา ขนาดทนายความพี่เลี้ยงของอูยองอู นาทีแรกก็ยังอคติกับเธอว่าเขาจะสอนงานเธอได้ยังไงในเมื่อเธอเป็นออทิสติก ก็เลยโดนตอกหน้ามาว่าเขาเป็นพวกที่ “ยึดติดกับ (เรซูเม่) แผ่นหลัง จนไม่เหลือบดูแผ่นแรก” เพราะแค่เธอเป็นออทิสติก เขาก็สามารถเขี่ยเรซูเม่เธอทิ้งได้ทันที โดยไม่ชายหางตาอ่านด้วยซ้ำว่าเธอใช้ชีวิตในสังคมได้ เธอมีความสามารถ จบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล (มหาวิทยาลัยท็อป 1 ใน 3 ของประเทศ) ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แถมสอบเนติบัณฑิตได้คะแนนสูงเกือบเต็ม แต่ทุกอย่างจะถูกตัดสินว่าเธอเป็นผู้ป่วยออทิสติกเท่านั้น

ยังดีที่คุณทนายพี่เลี้ยงเปลี่ยนความคิดได้เร็วกว่าที่คิด เพราะในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าเธอไม่ได้ขาดคุณสมบัติที่จะเป็นทนายแม้แต่น้อย เขาแค่อคติเพราะเธอเป็นผู้พิการ ในขณะที่เกิดเรื่องขึ้นกับผู้ป่วยออทิสติกอีกคนที่ไม่ได้อัจฉริยะเป็นแบบเธอ เราจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างผ่านความคิดของนางเอก อะไรบางอย่างที่คนปกติธรรมดาหลงลืมเพราะมัวแต่อคติกับพวกเขา ก็คือ “ไม่มีใครอยากเกิดมาเป็นแบบนี้” ผู้ที่เป็นออทิสติกลับถูกสังคมพิพากษาว่า “ไม่ควรค่าแก่การมีชีวิตอยู่” เพราะชีวิตของพวกเขาทำให้คน “ดี ๆ” เดือดร้อน เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากนะถ้าเราจะมองคนด้วยกันแบบนี้ ทั้งที่เขาก็มีสิ่งที่ต้องแบกรับมากพอแล้วจากความผิดปกตินั้น

ตลอดชีวิตของอูยองอูก่อนที่จะมาเป็นทนายความ เธอเป็นคนผิดปกติก็ถูกลั่นแกล้งและรังแกจาก “คนดี ๆ” มาโดยตลอด ทั้งความรุนแรง ทั้งสายตาที่มองมาเพื่อขีดเส้นกับเธอว่าเธอเป็นพวกที่ไม่เหมือนชาวบ้าน คนที่สงสารเห็นใจก็มี แต่ก็เป็นสายตาที่บอกว่าเธอเป็นผู้ด้อยโอกาส ทั้งที่เธอสามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตนเองเหมือนคนปกติทุกอย่าง ยกเว้นการเข้าสังคม แต่ในเวลานี้เธอกำลังจะมีชีวิตในสังคมใหม่ สังคมที่มีอีจุนโฮเป็นพ่อหนุ่มไมโครเวฟละมุนบอย ที่ดันมาตกหลุมรักสาวออทิสติกผู้น่ารักคนนี้เข้าให้แล้ว

สำหรับพ่อแม่ทุกคน จะมีวันหนึ่งที่พวกเขานึกสงสัยว่าลูกของพวกเขาเป็นคนพิเศษ

ตลอด 6 อีพี (ที่ใช้เวลาตามเก็บอยู่ 2 คืน) ไม่มีอีพีไหนเลยที่ซีรีส์เรื่องนี้ไม่เรียกน้ำตาคนดู คือมันอาจจะไม่ได้เศร้าตามตัวละครขนาดว่านอนร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรจนตาปูดบวมเหมือน Tomorrow (อันนั้นแต่ละเคสคือร้องไห้หนักมากของจริง) หรือ Twenty-Five, Twenty-One ที่อินตามช่วงชีวิต ความรัก และมิตรภาพของตัวละครกันอย่างท่วมท้น ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากจะร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่มันเป็นอะไรที่หน่วง ๆ หนึบ ๆ อึดอัดมากกว่า

สำหรับเรื่อง Extraordinary Attorney Woo นี้ ต้องบอกว่ามันเป็นความรู้สึกปวดร้าวลึก ๆ ในใจมากกว่าความเศร้า ความปวดร้าวที่เห็นตัวละครต้องดิ้นรนต่อสู้ ต้องผ่านเหตุการณ์สู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับอย่างหนักหน่วง แต่พวกเขาก็ยังมีความหวัง ยังคงสู้ต่อไปอย่างไม่คิดที่จะยอมแพ้ พอเราตกตะกอนตาม น้ำตาถึงได้ค่อย ๆ รื้นออกมา ออกแนวสะเทือนอารมณ์ รู้สึกประทับใจมากกว่าที่จะสงสารตัวละคร (แต่ในเคสย่อย ๆ ก็มีจุดน่าสงสารเยอะนะ)

ประเด็นหนึ่งที่สะเทือนอารมณ์แต่ไม่ใช่ความรู้สึกเศร้าเสียใจ คือเรื่องที่พ่อของนางเอกได้เจอเข้ากับเรื่องเซอร์ไพรส์ ว่าลูกของตนเองไม่เหมือนกับเด็กทั่ว ๆ ไป มันเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับและทำใจว่าลูกของพวกเขาพิการ สำหรับหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากจะได้ยินว่าลูกตัวเองเป็นคนพิการ! และเรื่องที่แย่ที่สุดในการรับมือ ก็คือลูกของพวกเขาจะต้องเติบโตต่อไปอย่างไร จะอยู่ในสังคมนี้ได้ไหม ในอนาคตพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร และจะมีชีวิตความเป็นอยู่แบบไหนในวันที่ไม่มีพ่อแม่คอยอยู่เป็นผู้ช่วยเหลืออีกต่อไป

และสำหรับพ่อของอูยองอู ความพิเศษยิ่งคูณสอง นอกจากลูกจะเป็นออทิสติกแล้ว เขายังเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวด้วย ถ้าให้พูดตามชีวิตจริงไม่ใช่ซีรีส์หรือละคร ก็คือเขาจะมีความกังวลมากแค่ไหนก็ไม่อาจทราบได้ ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยทำให้เขาต้องด่วนจากลูกไปในวันที่ลูกของเขายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คงต้องนอนตายตาไม่หลับแน่ ๆ แค่เด็กธรรมดาที่ยังไม่โตก็น่าห่วงแล้ว แล้วเด็กพิเศษที่บกพร่องกว่าเด็กธรรมดาลงไปอีกล่ะจะขนาดไหน โชคดีที่อูยองอูไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้น พ่อยังคงอยู่กับเธอในวันที่เธอเรียนจบ เป็นผู้ใหญ่ และมีงานการดี ๆ ทำ

มันเป็นเหมือนกับคำสาปเลยนะ พ่อแม่ที่ต้องเจอกับสภาพแบบนี้ นี่จำได้ว่าแม่เคยเล่าให้ฟังครั้งหนึ่งว่าตอนท้องนั้น เขามีแต่ความกังวลใจเต็มไปหมด สมัยนั้นเทคโนโลยีทางการแพทย์ไม่ได้ก้าวหน้าขนาดทุกวันนี้ที่จะสามารถตรวจเจอได้ว่าทารกมีความผิดปกติตั้งแต่อยู่ในครรภ์ แม่บอกว่าสิ่งที่เครียดมากที่สุดคือลูกจะเกิดมามีอวัยวะครบไหม แขนขาไม่ได้ขาด หน้าเน่อไม่ได้แหว่ง และต่อให้อวัยวะภายนอกมีมาครบ ก็ต้องมาลุ้นอีกว่าพัฒนาการจะเป็นปกติเหมือนเด็กทั่วไปไหม ถึงเวลาคือพูดได้ ไม่ใบ้ไม่หนวก ลุกมาตั้งไข่ และที่สำคัญสติปัญญาปกติเหมือนเด็กทั่วไป

มันคือความคาดหวังเบื้องต้นของคนเป็นพ่อเป็นแม่อยู่แล้ว อย่างที่บอกว่าไม่มีใครอยากให้ลูกตัวเองเกิดมาพิการหรอก แค่เลี้ยงเด็กธรรมดาก็ว่ายากแล้ว แล้วยิ่งเป็นเด็กพิการอีกมันจะต้องยากคูณเข้าไปอีกเท่าไร เป็นพ่อเป็นแม่คนนี่ไม่ได้ง่ายเลยจริง ๆ แต่ก็นะ โชคดีไม่ได้เป็นของทุกคน ถ้าลูกของพวกเขาพิการขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรได้ล่ะ นอกจากต้องเลี้ยงดูกันต่อไปให้ตลอดรอดฝั่ง ต่อให้จะไม่มีทางรักษาให้หายขาด ทว่าก็จะทำทุกทางเพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้แบบเด็กปกติทั่วไปให้ได้มากที่สุด พอจะช่วยเหลือตัวเองได้ อยู่ในสังคมได้ ไม่ลำบากในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว

น่าทึ่งมากที่พ่อของอูยองอูสามารถเลี้ยงดูเธอให้เติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดีทั้งที่เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว อันที่จริงก็น่าจะมีหลายครอบครัวทีเดียวที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้ เลี้ยงลูกที่พิการมาด้วยตัวคนเดียว ไม่ว่าจะพ่อเลี้ยงเดี่ยวหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว แม้กระทั่งการเลี้ยงดูเด็กพิการที่ไม่ใช่ลูกในไส้ อาจเป็นเพียงญาติของเด็กหรืออาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ เลยก็ได้ พวกคุณเก่งมาก ๆ นะที่พยายามมอบชีวิตปกติให้กับพวกเขา ทั้งที่พวกเขาจะรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองไม่ปกติ

ฉันจะเป็นเพื่อนเธอเอง เธอไม่มีเพื่อนนี่นา

โชคดีมาก ๆ อีกอย่างของอูยองอูก็คือ การที่เธอมีเพื่อนดี ๆ ถึงสองคนคอยปกป้องเธอ (และเพื่อนที่คิดเกินเพื่อนอีกหนึ่ง) ผู้คนใกล้ชิดก็เปิดใจยอมรับ ไม่ได้รู้สึกรังเกียจรังงอนอะไรขนาดนั้นที่จะต้องทำงานร่วมกับคนพิการแบบเธอ แม้ว่าจะมีอคติอยู่บ้าง แต่กำแพงนั้นก็ค่อย ๆ ลดลงเมื่อเธอสามารถพิสูจน์ตัวเองว่าเธอคือคนพิการที่มีความสามารถสูงไม่แพ้คนธรรมดา มีคนอิจฉาและเห็นเป็นคู่แข่งก็จริง ทว่ามันก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ มันแปลว่าเขายอมรับว่าเธอเป็นคนมีศักยภาพ ไม่ใช่คนออทิสติกที่พูดจาสื่อสารไม่รู้เรื่อง และก็อาจไม่พอใจนิดหน่อยที่เหมือนว่าเธอจะมีสิทธิพิเศษบางอย่างก็เท่านั้น ตราบใดที่ยังแข่งกันตามกติกา (แต่แอบเอาเปรียบนิดหน่อย) มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

ความสัมพันธ์ระหว่างนางเอกและเพื่อนทั้งสองอาจเริ่มต้นขึ้นมาจากความรู้สึกสงสารก็จริง ทนเห็นคนพิการกลายเป็นตัวตลกของเพื่อนคนอื่นไม่ได้ หรือทนเห็นคนพิการถูกเด็กนิสัยไม่ดีรังแกไม่ได้ รู้สึกว่าเขามีบางอย่างที่ไม่เหมือนกับเรา ก็เลยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ความสัมพันธ์อาจจะเริ่มมาจากจุดนี้ โดยที่ต่างฝ่ายก็คงไม่รู้หรอกว่าในที่สุดพวกเขาจะกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน การมีเพื่อนดี ๆ สักคนนับเป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดสำหรับชีวิตมนุษย์ กับคนทั่วไปยังรู้สึกดีเลย แล้วกับคนพิเศษที่ปกติเจอแต่คนมองด้วยสายตาเวทนาหรือรังเกียจ เพื่อนจะมีค่ากับพวกเขามากแค่ไหนกันนะ

เพื่อนคนหนึ่งรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย เพื่อนคนนี้อาจจะไม่ใช่เพื่อนที่เพอร์เฟคของอูยองอู เพราะก็ดูเป็นเด็กแปลก ๆ ที่ไม่ค่อยจะเอาอ่าวเท่าไร เข้าสาย โดดเรียน พฤติกรรมเกินต้าน มีห้องคาราโอเกะเป็นห้องเรียน ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพื่อนออทิสติกเพราะเห็นว่ามันไม่สมควรที่ใครจะมารังแกเธอง่าย ๆ เพียงเพราะเธอเป็นคนพิการ ทีแรกก็ไม่ได้เต็มใจจะเป็นเพื่อนกัน แต่เพราะยองอูพูดตรง ๆ ว่าเวลาอยู่กับเธอแล้วรู้สึกปลอดภัย และจะเป็นเพื่อนกับเธอเองเพื่อแลกเปลี่ยนกัน เพราะเธอไม่มีเพื่อน จนทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนที่พากันแปลก แต่ยังคอยช่วยเหลือกันเสมอมา

ส่วนเพื่อนอีกคนเป็นเพื่อนที่รู้จักกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ที่โรงเรียนกฎหมาย เธอเป็นเพื่อนที่ยองอูนิยามว่าเป็น “แสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ” เพราะเธอใส่ใจในตัวเพื่อนออทิสติกของเธอเป็นอย่างมาก คอยบอกตลอดว่าห้องเรียนอยู่ที่ไหน คอยบอกเรื่องยกคลาส (ไม่แกล้งให้มาเรียนเก้อ) แนวข้อสอบเป็นอย่างไร แถมยังพยายามห้ามเพื่อนนักศึกษาไม่ให้มาล้อ มาหลอก หรือมารังแกยองอูอีกด้วย แม้แต่ทุกวันนี้ที่ทั้งสองมาทำงานที่เดียวกัน เธอก็ยังคงช่วยเหลือแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย แนะนำให้ยองอูออกประตูที่เปิดเองแทนประตูหมุนที่ออกลำบาก ยังคอยเปิดฝาขวดน้ำให้ รับปากว่าจะบอกถ้าที่โรงอาหารมีเมนูโปรดของเพื่อน เธอทำทั้งที่ไม่รู้ว่าเพื่อนรู้สึกขอบคุณเธอมากแค่ไหน

แม้ว่าในตอนแรก ๆ เพื่อนคนนี้จะดูน่าหยุมหัวอยู่ไม่น้อย จากการที่พูดกับเพื่อนออทิสติกด้วยคำพูดแรง ๆ แถมเรื่องยังชี้นำว่าเธอเองก็แอบอิจฉายองอูอยู่ลึก ๆ ที่เธอช่วยเหลือก็เพราะสงสารที่เห็นว่าทำอะไรเก้ ๆ กัง ๆ แต่เอาเข้าจริงยองอูกลับเก่งกว่า เป็นที่หนึ่งตลอด ส่วนตัวเธอได้แต่ตามหลังต้อย ๆ พยายามเท่าไรก็เอาชนะไม่ได้ เธอเคยพยายามที่จะไม่ช่วยเพราะรู้สึกรำคาญใจ แต่สุดท้ายก็ทนดูไม่ได้ แต่ที่สำคัญ เธอก็ไม่เคยมองว่ายองอูเป็นคู่แข่งด้วยซ้ำ เพื่อนก็คือเพื่อน ในอีพีล่าสุด จะเห็นว่าทั้งสองสามารถทำงานเข้าขากันได้เป็นอย่างดี พากันเดือดไม่มีใครห้ามใครด้วย ตอนออกไปพบพยานเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นนิดหน่อย เธอก็ปกป้องเพื่อนออทิสติกด้วยอ้อมกอดและแผ่นหลังของเธอ

แต่จะว่าไปก็ใช่ว่าทุกคนจะใจดีกับอูยองอู เอาเข้าจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลาย ๆ คนยังมองเธอด้วยสายตาเหยียดว่าเป็นคนพิการ เป็นหมาหัวเน่าที่อยู่ด้วยแล้วก็มีแต่จะแพ้ ทำให้หลายคนอาจจะรู้สึกอยากหยุมหัวตัวละครทนายหนุ่มน้องใหม่อีกคนที่เห็นยองอูเป็นคู่แข่งในที่ทำงาน นี่ก็อยากจิกหัวนางมาถามนะว่าเป็นอะไรมากปะคะ แต่ถ้าพิจารณาดูดี ๆ การเห็นยองอูเป็นคู่แข่งก็อาจจะดีกว่าเห็นยองอูเป็นคนด้อยศักยภาพหรือเปล่า คนเราจะให้ใครเป็นคู่แข่ง แปลว่าต้องยอมรับระดับหนึ่งแล้วว่าเขามีความสามารถมากพอที่จะแข่งกับเราได้ คนปกติจะไม่ลดตัวไปแข่งกับคนที่ด้อยกว่า และท่าทีของเขา นอกจากอิจฉาเขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรยองอูขนาดนั้น ดู ๆ แล้วก็ไม่เลวร้ายอะไรนัก

กล้าพูดเลยว่าไม่ผิดหวังที่เปิดเรื่องนี้ขึ้นมาดู รวมถึงไม่มีข้อกังขาด้วยว่าทำไมซีรีส์เรื่องนี้ถึงเป็นกระแสมากขนาดนี้ ทุกอย่างมันกลมกล่อมไปหมด เป็นซีรีส์น้ำดีที่นำเสนอได้น่าสนใจ มีมุกตลกขบขันน่ารัก ๆ ที่ไม่ใช่การเอาปมด้อยของคนพิการมาล้อ แถมยังทำให้เราคอยเอาใจช่วยไปกับตัวละคร ไม่ใช่แค่การลุ้นให้ยองอูชนะคดี แต่ยังลุ้นให้เธอผ่านอุปสรรค “การตีตรา” ว่าเป็นคนพิการ พวกคนที่มีปากสักแต่พูด มีนิ้วสักแต่พิมพ์ มีสมองไว้เพื่อให้เกิดมามีอวัยวะครบด้วย คนพวกนี้มีอยู่ในชีวิตจริงที่คอยรังแกคนที่ด้อยกว่า มีผู้ป่วยออทิสติกหลายคนตกเป็นเหยื่อของคนพวกนี้ พวกเขาควรมีชีวิตอย่างภาคภูมิเหมือนเรา ๆ ไม่ใช่คนที่ไม่สมควรมีชีวิต 🤗