
เคยได้ยินมาว่าถ้าจู่ ๆ เราก็รู้สึกถวิลหาอดีต นึกอยากจะย้อนไปในช่วงนั้นช่วงนี้ ตอนที่อายุเท่านั้นเท่านี้ แปลว่าในเวลานี้เราไม่ค่อยจะมีความสุขกับชีวิตสักเท่าไร ก็แบบว่าช่วงเวลาที่เรานึกอยากจะย้อนไปเนี่ยมันมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ส่วนตัวก็เชื่อนะ เชื่อโดยไม่ต้องหยิบยกทฤษฎีอะไรมาอ้างอิงเลย มันบอกได้จากความรู้สึก แม้ว่า ณ เวลานั้นเมื่อหลายปีก่อนมันจะมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่ค่อยดี แต่พอมายืนมองจากจุดที่ “นึกย้อนกลับไป” แล้วมันก็รู้สึกดีกว่าในเวลานี้จริง ๆ
นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงนี้ถึงยังวน ๆ เวียน ๆ อยู่กับซีรีส์ชีวิตวัยรุ่น หรือซีรีส์ที่ทำให้นึกย้อนไปในช่วงวัยรุ่น ก็นะ มันเป็นช่วงที่ผ่านมาแล้ว กลับไปแก้ไขอะไรก็ไม่ได้ ทำได้มากที่สุดคือแค่นึกถึง แล้วก็หาอะไรดูเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่รู้ว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ เป็นช่วงที่มีเรื่องให้แอบเสียดาย เสียใจอยู่ไม่น้อย แต่บางเรื่องความสุขก็ยังมวนอยู่ในท้อง การนึกถึงวันวานน่ะนะ มันก็มีทั้งความทรงจำที่เป็นทุกข์ผสม ๆ ปน ๆ กับความสุขนั่นแหละ แบบนี้มั้งที่เรียกว่าชีวิตอะ

Twenty-Five, Twenty-One ไม่ได้จะมาใบ้เลขงวดหน้า เพราะดิฉันก็ดวงกุดด้านนี้! แต่มันเป็นชื่อซีรีส์เรื่องใหม่บน Netflix ที่เพิ่งออนแอร์ได้แค่ 2 ตอน หลังจากนั้นก็กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงบนโลกโซเชียลในหลาย ๆ ด้านตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ทั้งเรื่องที่พระเอกหล่อแบบสิ้นเปลืองมาก (เรื่องผู้ชายมักจะมาก่อนเสมอ) นางเอกก็สดใสน่ารัก คาแรคเตอร์สาวพลังล้นเหลือ แบบเป็นดวงอาทิตย์ของเรื่องที่ให้ทั้งแสงสว่างและพลังงาน และที่น่าสนใจมากที่สุดก็คงจะเป็นฉากหลังของเรื่องที่จะพาทุกท่านที่มีประสบการณ์ร่วมในช่วงยุค 90’s ปลาย ๆ ได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงนั้น
Twenty-Five, Twenty-One เป็นเรื่องราวเส้นทางชีวิต ความสัมพันธ์ และการเติบโตของกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่สูญเสียอะไรหลาย ๆ อย่างไปเพราะ “ยุคสมัย” เริ่มเล่าถึงชีวิตในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 1998 ซึ่งเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักมากพอ ๆ กับไทย (ที่ไทยเรียกวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง) และเรื่องราวของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ได้พบกันและเรียกชื่อกันครั้งแรกเมื่อตอนที่อายุ 22 กับ 18 ปี เวลาผ่านมาจนกระทั่งพวกเขาอายุ 25 และ 21 ปี จึงเริ่มที่จะตกหลุมรักกัน โดยซีรีส์ยังชวนให้เราได้ย้อนนึงถึงความทรงจำอันบริสุทธิ์ที่เปี่ยมไปด้วยไฟแห่งความฝันของวัยรุ่นกลุ่มนี้

การเล่าเรื่องย้อนกลับไปก็น่าสนใจ เปิดเรื่องมาเป็นฉากในยุคปัจจุบันที่โควิด-19 กำลังระบาดอยู่นี่แหละ ตัวละครต้องใส่หน้ากากไปไหนมาไหน นางเอกพาลูกสาวไปแข่งบัลเลต์ แต่ตรรกะบางอย่างและน่าจะด้วยความกดดันในใจเรื่องที่เป็นลูกสาวของนักกีฬาดัง ทำให้เธอวิ่งหนีการแข่งออกมาในขณะที่ถึงคิวตัวเองต้องออกไปแสดงพอดี เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองสู้คู่แข่งไม่ได้ ซึ่งถ้าแข่งแล้วไม่ได้ที่ 1 สู้ไม่แข่งซะเลยจะดีกว่า ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังบอกกับแม่ว่าเธอจะเลิกเต้นบัลเลต์ เธอทิ้งชุดและอุปกรณ์ทั้งหมดลงถังขยะหน้าสนามแข่งขัน แล้วตัวเองก็หนีออกจากบ้านไปอยู่บ้านยาย
ที่บ้านยาย เด็กสาวก็ต้องไปนอนในห้องเก่าของแม่ตัวเองอยู่ดี (ทั้งที่เพิ่งหนีเงาแม่มา) ในห้องแม่มีทั้งเหรียญรางวัลถ้วยรางวัลการแข่งขันเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ก็ทำเอาเด็กสาวรู้สึกไม่สบอารมณ์เบา ๆ ด้วยความเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ เธอก็เลยเปิดลิ้นชักหยิบนู่นนั่นนี่ออกมา แน่นอนว่ามันเป็นของที่เธอไม่รู้จัก ไม่รู้ว่ามันใช้ยังไง เพราะมันเป็นของใช้สมัยก่อน เธอก็ไปสะดุดตาเข้ากับสมุดเล่มหนึ่ง เมื่อเปิดดูก็พบว่ามันเป็นไดอารี่ของแม่ที่บันทึกเรื่องราววัยรุ่นของตัวเองไว้ เด็กสาวสนใจขึ้นมาเพราะไปเจอเข้ากับข้อความที่ดูเหมือนว่าแม่บันทึกถึงคนที่เป็นรักแรก จากนั้นเรื่องในอดีตก็ถูกเล่าจากบันทึกในไดอารี่ของนางเอก
ยังไม่ทันลองก็ยอมแพ้แล้ว นี่มันตรรกะอะไรกัน
ฉันขอเดาว่าหลังจากยัยลูกสาวอ่านไดอารี่แม่ตัวเองจบ นางต้องมีไฟกลับไปลงแข่งบัลเลต์อีกครั้งแน่นอน เพราะในไดอารี่เล่มนั้นคงจะบอกนางหมดแล้วว่าในสมัยนั้นแม่ต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักมากขนาดนี้ นางจะได้รู้ว่าแม่ตัวเองมุ่งมั่นและสู้ไม่ถอยแค่ไหน หลังจากที่ถูกวิกฤติเศรษฐกิจ IMF พรากความฝันไป ชมรมฟันดาบในโรงเรียนก็ถูกยุบ แม่ต้องทำอะไรบ้างเพื่อที่จะได้ย้ายไปอยู่โรงเรียนที่ยังมีชมรมฟันดาบอยู่ เพื่อให้ได้สานความฝันต่อไป และระหว่างทางที่ยังเป็นนักกีฬาโนเนม ต้องเจอกับคำดูถูกสารพัด แม่ผ่านมันมาได้ยังไง
เอาจริง ๆ คือเข้าใจในมุมของนางนะที่วิ่งหนีการแข่งขันออกมาหลังจากเห็นความสามารถของคู่แข่ง ส่วนตัวคิดว่าสาเหตุลึก ๆ ไม่ใช่เพราะนางกลัวคู่ต่อสู้ แต่กลัวความผิดหวังที่ตัวเองจะรับไม่ได้มากกว่า นางบอกกับแม่ว่าตัวเองแพ้แล้ว เพียงแค่เห็นว่าคู่แข่งทำอะไรได้บ้าง คือลงแข่งไปยังไงก็ไม่ชนะอยู่ดี เพราะนางมาแข่งเพื่อชิงที่ 1 เรามองว่านางเกิดและโตมาตอนที่แม่ประสบความสำเร็จเป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงแล้ว นางอยู่ใต้เงาแม่มาโดยตลอด เห็นเหรียญางวัลเห็นถ้วยรางวัล มันเป็นความรู้สึกกดดันลึก ๆ ว่าเป็นลูกแม่ก็ต้องเก่งให้ได้เหมือนแม่ ถ้าทำไม่ได้ อย่างทำเลยดีกว่า

ไอ้ความรู้สึกกดดันตัวเองเพราะถือเอาคนในครอบครัวเป็นมาตรฐานเนี่ยน่าเศร้านะ มันจะเป็นฟีลที่เราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนในครอบครัวตลอดเวลา นางคงอยากเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จเหมือนกับแม่ แข่งแล้วชนะ แม่จะได้ภูมิใจและไม่อายใคร ประมาณว่าตัวเองเป็นนักกีฬาแต่ลูกสาวเล่นกีฬาไม่เอาไหน แข่งทีไรก็แพ้ตลอดงี้ แม่ก็จะผิดหวัง มันจะเป็นความคิดแบบเด็ก ๆ ก็จริง แต่ก็ใช่ไง นางก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กคนหนึ่งจะมีความคิดแบบนี้ เพราะสิ่งรอบข้างหล่อหลอมให้นางรู้สึกแบบนั้น
ขณะเดียวกัน เราจะเห็นว่านางเอก ซึ่งได้กลายมาเป็นแม่คนในปัจจุบันไม่ได้กดดันอะไรลูกตัวเองเลย เธอพาลูกมาแข่งบัลเลต์โดยบอกกับลูกแค่ว่า “ทำให้พวกเขาเห็นว่าลูกรักบัลเลต์แค่ไหน ไม่ต้องคิดว่าจะต้องทำให้ดีหรอก” ขนาดลูกสวนกลับมาว่าจะคิดแบบนั้นได้ไง เพราะมาแข่งก็ต้องได้ที่ 1 สิ เธอยังบอกลูกเลยว่า “การได้ที่ 1 มันไม่สำคัญหรอก” แต่พอเห็นลูกยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่แข่ง เพราะกลัวตัวเองจะไม่ได้ที่ 1 เธอถามลูกว่า “ไม่ชนะแล้วยังไง ไม่ใช่ที่ 1 ก็ไร้ความหมายงั้นเหรอ”
ย้อนกลับไปสมัยที่นางเอกอายุ 18 จะเห็นเลยว่าที่เธอทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ฟันดาบต่อไป มันเป็นเพียงแค่ว่า “เธอชอบการฟันดาบ” ก็แค่นั้นเอง และความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือได้เป็นคู่ต่อสู้ของนักกีฬาที่ตัวเองชื่นชมและนับถือ ไม่ได้หวังจะชนะเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อเป้าหมายในการเล่นกีฬาของแม่กับลูกต่างกัน ความไม่เข้าใจกันจึงเกิดขึ้น แม่แค่อยากให้ลูกได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักโดยไม่ต้องสนใจว่าจะแพ้หรือชนะ แต่ลูกมองว่ากีฬาคือการแข่งขัน ถ้าคิดจะลงแข่งขันก็ต้องได้รางวัลใหญ่กลับมาสิ! ถ้าไม่ได้ก็อย่าไปต่อเลย
มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน
หลังจากอ่านเรื่องย่อ ในหัวมีแต่ความคิดที่เกาหลีใต้นี่บ้าดีเดือดดีเนอะที่กล้าเอาประวัติศาสตร์วิกฤติเศรษฐกิจมาเป็นปมใหญ่ของซีรีส์ คือมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มีคนบอบช้ำเพราะได้รับผลกระทบจริง ๆ อีกทั้งมันยังเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว การหยิบข้อเท็จจริงเก่า ๆ มาทำ มันคือการปลุกความทรงจำของคนที่มีประสบการณ์ร่วมในเหตุการณ์นั้นขึ้นมา แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่เคยได้รับผลกระทบในวันนั้นจะลุกขึ้นมาร้องแรกแหกกระเชอว่าห้ามทำนะ มันอ่อนไหว มันมีผลต่อความรู้สึกก็จริง แต่คนที่มีประสบการณ์ร่วมก็อยากจะอินตามมากกว่า
สำหรับเรื่องนี้ ชอบการที่เปิดเรื่องมาแล้วบอกว่านางเอกยังเป็นเด็ก ในวัย 18 ปี เป็นวัยที่เปี่ยมไปด้วยความฝัน สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ไม่ได้มีภาระอะไรที่ต้องแบกไว้บนบ่า สามารถขอความช่วยเหลือได้ ความเครียดของเด็ก ๆ ก็หนีไม่พ้นกังวลเรื่องการบ้านเยอะ รุ่นพี่น่ากลัว กลัวทำพลาดบนเวที กลัวว่าคนที่แอบชอบจะไม่ชอบกลับ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราดูถูกความเครียดของเด็กนะ เคยเป็นเด็กมาก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ของเด็กจริง ๆ แต่พอโตมาแล้วเราก็รู้ว่าชีวิตในวัยผู้ใหญ่มันมีอะไรมากกว่านั้น นึก ๆ ดูแล้วถ้าในวัยนี้ได้เครียดแค่เรื่องแบบวัยเด็กมันก็คงจะดี
คิมแทรี ในคาแรคเตอร์เด็กสาววัย 18 ปี คือว้าวมาก ตัวจริงออนนี่คืออายุ 32 ปีแล้วนะ อายุจริงของออนนี่มากกว่าอายุจริงของนัมจูฮยอกที่เป็นพระเอกอีกต่างหาก แต่เรื่องนี้คือไม่ตะขิดตะขวงใจเลยที่เล่นออกมาได้เด็กสมวัยขนาดนั้น มีความเอเนอจี้ล้น เฟี้ยวเงาะ ความฝันความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม สดใส ร่าเริง โก๊ะ ๆ ดูมอมแมม และที่สำคัญคือเรื้อนมาก เห็นแล้วนึกถึงตัวเองในวัยนั้นที่ก็คล้าย ๆ แบบนี้ (แต่ดิฉันยังเรื้อนอยู่เลย ฮ่า ๆ) การเล่นเป็นเด็กที่มองว่าปัญหาของโลกเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่เกี่ยวน่าจะไม่ได้เล่นได้ง่าย ๆ กับคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ออนนี่ทำมันออกมาได้ดีมาก

ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่เด็กจะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เพราะปกติความวุ่นวายอะไรหลาย ๆ อย่างมันไม่ได้ตกกระทบมาที่เด็กตรง ๆ อยู่แล้ว จะมีผู้ใหญ่เป็นเบาะรองรับไว้ก่อนชั้นหนึ่งเสมอ และมันก็จะถูกแก้ปัญหาไปก่อนที่เด็กจะรู้ด้วยซ้ำ แต่วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนั้น แม้แต่เด็กยังได้รับผลกระทบตรง ๆ หลายคนในวันนั้นยังเป็นวัยเด็กกันอยู่เลย ก็ถูกพรากอะไรหลายอย่างไปจากชีวิต พระเอกที่อายุ 22 ปี เรียกว่าเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น เขาคือตัวละครที่แบ่งแยกความเป็นเด็กกับผู้ใหญ่อย่างชัดเจน
จากคนรูปหล่อบ้านรวย พ่อแม่พี่น้องอยู่บ้านหลังใหญ่โต กลายมาเป็นบุคคลล้มละลาย บ้านแตกสาแหรกขาด ทุกคนต้องกระจัดกระจายแยกย้ายกันไป การที่เคยอยู่สุขสบายแล้วมาตกอับ มันเป็นชีวิตที่น่าสับสนมาก จากเด็กหนุ่มที่เรียนวิศวกรรมในมหาวิทยาลัย ต้องลาออกมาเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ ทำพาร์ตไทม์ในร้านเช่าหนังสือ และกำลังหางานประจำทำเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง ความเป็นลูกคนโตต้องออกมาเผชิญปัญหาที่ไม่เคยเจอ มันคงเป็นความบอบช้ำที่เกินจะกล้ำกลืน ร่องรอยของความเจ็บปวดที่ซ่อนไว้ยังไงก็ไม่มิด นี่เป็นสิ่งที่นางเอกไม่เข้าใจในตอนแรก จนกระทั่งรู้เรื่องของพระเอก ที่อายุมากกว่าตัวเองไม่กี่ปี
การเอาชนะคู่แข่ง ต้องรู้จักคู่แข่งให้ดี
จริง ๆ ในเรื่องนี้มีหลายซีนมากนะที่รู้สึกประทับใจ คือรายละเอียดของซีรีส์มันงดงามมาก ดูแล้วแบบว่าได้อะไรมาเป็นเครื่องประดับทางความคิดหรือหลักในการใช้ชีวิตจริง ๆ แต่มีซีนหนึ่งที่ประทับใจมากใน EP ที่ 2 หลังจากโค้ชให้นางเอกแข่งกับนักกีฬาเหรียญทอง ซึ่งเป็นเหมือนไอดอลของนางเอก แล้วโค้ชมาสอนตอนท้ายหลังแข่งขันกันจบ ว่าทำไมนางเอกถึงเอาชนะนักกีฬาเหรียญทองได้ ฟังแล้วรู้สึกขนลุกมาก
โค้ชบอกว่าที่นางเอกชนะ เพราะนางเอกรู้ทุกอย่างของคู่ต่อสู้ แม้ว่าตัวนางเอกไม่ได้ศึกษาคู่แข่งเพราะหวังจะเอาชนะจากการแข่งแบบซ้อมเช่นนี้ แต่รู้จักคู่ต่อสู้ดีเพราะเธอแค่ดูการแข่งทุกครั้งด้วยความชอบส่วนตัว และนับถือในฐานะไอดอลที่ตัวเองอยากจะเป็นให้ได้แบบนี้บ้าง แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับนางเอกเลย นั่นก็แปลว่าไม่รู้ว่าสไตล์การเล่นเป็นยังไง และจะต้องรับมือนางเอกยังไง
“เธอรู้ไหม พวกนักกีฬาผู้ใหญ่คิดว่าใครเป็นคู่ต่อสู้ที่ปราบยากที่สุด ก็นักกีฬาม.ปลายอย่างพวกเธอนี่ไง เพราะไม่มีข้อมูลบอกเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นยังไง นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอคว้าเหรียญทองจากการแข่งครั้งก่อน และที่นาฮีโดชนะเธอในวันนี้” มันเป็นคำพูดที่ไม่ต้องคิดตามอะไรเลย เพราะแต่ละคำอธิบายตัวเองได้ในตัว การแข่งขันที่เราไม่รู้ว่าแข่งกับใคร ไม่รู้อะไรในตัวอีกฝ่าย ก็แปลว่าเราไม่รู้ว่าจุดแข็งของอีกฝ่ายคืออะไร จึงเป็นเรื่องยากที่จะเตรียมแผนไว้รับมือ เพราะจุดแข็งของอีกฝ่ายอาจจะเป็นจุดอ่อนของเราก็ได้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องทำการบ้านให้มาก ๆ เพื่อที่จะรู้จักคู่ต่อสู้ โดยเฉพาะคู่ต่อสู้โนเนม อย่าคิดว่ารู้จักแค่ตัวเองว่าฉันเก่งแล้วทุกอย่างจะจบ โดยเฉพาะกับคู่ต่อสู้ที่ไม่เคยมีข้อมูลมาก่อน มันเท่ากับเราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าจริง ๆ แล้วเขาอาจจะเก่งกว่าเราก็ได้ แค่ที่ผ่านมาไปอยู่ที่ไหนมาก็ไม่รู้ การทำสงครามยังต้องรู้ความเคลื่อนไหวของฝ่ายศัตรูเลย ต้องรู้ว่าใครคุมทัพ แล้วกลยุทธ์ที่จะใช้รับมือศัตรูถึงจะตามมา ต้องรู้ทั้งเขา และรู้ตัวเรา ถึงจะหาวิธีเอาชนะได้
ไม่แปลกใจเลยที่ซีรีส์เรื่องนี้ดันเรตติ้งที่ฉายในเกาหลีได้ดีขนาดนี้ใน 2 ตอนแรก (6.4 และ 8.0%) โดยขึ้นอันดับหนึ่งในช่วงเวลาเดียวกันของช่องเคเบิลทุกช่อง เพราะแค่นี้มันก็เห็นแววความเป็นซีรีส์น้ำดี ให้ความฟีลกู๊ดกับคนดู แม้ว่าซีรีส์จะไม่ได้มีฉากชวนตื่นเต้นอะไร แต่ก็หลับใส่ไม่ลงเหมือนกัน มันมีเรื่องราวน่าสนใจให้น่าติดตาม โดยเฉพาะเสน่ห์และฝีมือของนักแสดงที่ไม่ได้มากันเล่น ๆ เมื่อรวมกับเรื่องราวที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ ภาพสวย โทนสีให้บรรยากาศเก่า ๆ มาหมดแบบนี้ ถึงได้ตกคนดูได้ง่าย ๆ 🤺





























