ทักษะอย่างหนึ่งที่มนุษย์มักจะใช้เพื่อเป็นบันไดไต่ขึ้นไปสู่ความก้าวหน้าและความสำเร็จ คือ การเรียนรู้และการพัฒนาตนเองที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะหลาย ๆ คนรู้ดีว่าตนเองไม่ควรที่จะหยุดอยู่นิ่ง ๆ ในขณะที่โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน การที่ไม่คิดจะขวนขวายที่จะอยู่บนโลกใบเดิม ที่มีแต่อะไรใหม่ ๆ เข้ามาจนแทบจะไม่เหลือความคุ้นเคยเดิม ๆ แล้วนั้น อาจทำให้ตกที่นั่งลำบากได้ในภายภาคหน้า โดยเฉพาะเรื่องของการทำมาหากินเพื่อเลี้ยงปากท้อง คนที่ไม่แม้แต่จะพยายามตามให้ทันโลก สุดท้ายแล้วก็จะถูกทิ้งให้อยู่รั้งท้าย แล้วก็จะตามคนอื่นเขาไม่ทัน
ทุกวันนี้ หลายคนจึงพยายามดิ้นรนที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ตนเองถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่ง “การเรียนภาษา” ก็เป็นหนึ่งในทักษะที่คนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกันมากขึ้น ด้วยกระแสความต้องการไปทำงานต่างประเทศ ต้องการอัปเกรดตนเองให้เป็นคนที่สามารถใช้ได้มากกว่า 1 ภาษา เพื่อเพิ่มโอกาสในหน้าที่การงาน เพิ่มเงินเดือน ค่าภาษา เนื่องจากการสมัครงานในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ต้องใช้ผลการทดสอบภาษาในการยื่นประกอบการพิจารณาด้วย เบื้องต้นก็คือภาษาอังกฤษ แต่ถ้าได้ภาษาอื่นอีกก็จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ดูเหมือนว่าคนที่ได้ภาษาจะไม่มีทางอดตาย
เท่านี้ก็น่าจะพอเห็นภาพความสำคัญของการเรียนภาษาแล้ว แต่ถ้าจะให้ชัดเจนที่สุดก็คือ การเรียนภาษาเท่ากับการเปิดโลก เมื่อโลกของเรากว้างขึ้น โอกาสอื่น ๆ ก็จะตามมา หากเราได้ภาษาที่คนส่วนใหญ่ในโลกใช้สื่อสารกัน เราจะไปทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้บนโลก ดู ๆ แล้วก็เหมือนกับว่าคนที่ได้หลายภาษาไม่มีวันอดตาย เพราะแม้คุณจะไม่ได้มีงานประจำทำ แต่ความรู้ด้านภาษาของคุณเป็นต้นทุนในการประกอบอาชีพอื่น ๆ ได้
นี่อาจเป็นเหตุผลเบื้องต้นว่าทำไมเราจึงควรเรียนรู้ภาษาให้ได้มากกว่า 1 ภาษา และควรที่จะใช้ภาษานั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ ทว่าการเรียนภาษาใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายขนาดนั้น ต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการเรียนรู้และฝึกฝน ความขยัน ความมุมานะ และความอดทน อย่างไรก็ดี ถ้าอยากจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนที่เก่งภาษา ก็สามารถทำได้ โดยการฝึกจนเป็นกิจวัตรประจำวัน 5 กิจวัตรนี้สามารถใช้ฝึกได้กับทุกภาษาที่เราอยากจะเก่งเลยล่ะ
1. ฝึกฟัง พูด อ่าน เขียน ให้ได้ทุกวัน
ให้เห็นภาพก็คือ ต้องพาตัวเองเข้าไปคลุกคลีอยู่กับภาษานั้น ๆ ให้ได้มากที่สุด วันละนิดวันละหน่อย อาจเริ่มต้นจากการดูหนัง Soundtrack แล้วเปิดซับภาษาไทย การฟังเพลง หรือติดตามช่องออนไลน์ที่ฝึกภาษา จะทำให้เราได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ที่สำคัญคือสำเนียง การออกเสียงจะค่อย ๆ ซึมซับเข้ามาในหัว ฝึกพูดประโยคง่าย ๆ จากการฝึกแต่งประโยคที่ใช้จริงในชีวิตประจำวัน หมั่นเลียนแบบสำเนียง อาจจะฝึกจริงจังคนเดียวหน้ากระจกวันละ 15-20 นาที หรือนึกออกมาเป็นประโยคแบบบ่น ๆ พึมพำกับตัวเอง หรือจะหาเพื่อนสักคนที่ฝึกไปด้วยกันก็ไม่เลว
สำหรับการอ่าน ให้พยายามอ่านทุกอย่างเท่าที่จะอ่านได้ โดยเริ่มจากหนังสือง่าย ๆ เช่นนิทานเด็ก ป้ายข้างทาง อ่านไปเปิดพจนานุกรมไป แม้จะเสียเวลาและต้องใช้ความอดทน แต่คนที่เก่งภาษาก็ล้วนเริ่มต้นมาจากจุดนี้ทั้งนั้น เพื่อให้ได้คุ้นเคยกับการอ่านหนังสือภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทย เมื่อเริ่มคุ้นชินแล้วก็หาอย่างอื่นที่ยากขึ้น ส่วนการเขียน ลองใช้รูปประโยคที่จำได้และคำศัพท์ต่าง ๆ ที่ได้มาใหม่ มาดัดแปลงเป็นบันทึกประจำวัน เมื่อเก่งขึ้นแล้ว ก็พยายามร้อยเรียงให้เป็นรูปประโยคที่ซับซ้อนขึ้น ทั้งนี้ควรจะมีผู้รู้หรือเจ้าของภาษาคอยตรวจสอบความถูกต้องอย่างสม่ำเสมอด้วย
2. จดคำศัพท์แปะไว้ตามข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ
ศัพท์ใหม่ ๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นคำยาก ๆ หรือต้องไปดั้นด้นหาที่ไหนไกล เริ่มต้นดีที่สุดก็คือสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ใช้จริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็คือพวกข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวนั่นเอง ลองนึกภาพตามว่าถ้าเราเกิดอยากรู้ว่าของทุกอย่างในบ้านว่าภาษานั้น ๆ มันเรียกว่าอะไร เราก็จะได้คลังศัพท์มหาศาลตามของในบ้านนั่นแหละ โดยการติดป้ายคำศัพท์ไว้ตามข้าวของพวกนั้นจะทำให้เราได้เห็นทุกครั้งที่ใช้งาน เห็นแล้วก็เสียเวลาสะกด อ่าน แล้วจำมันหน่อย ผ่านทุกวัน หยิบใช้ทุกวัน เห็นทุกวัน อ่านทุกวัน จำไม่ได้ให้มันรู้ไป
นอกจากนี้ เวลาที่ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือพูดคุยกับเพื่อนต่างชาติ เมื่อได้คำศัพท์ใหม่มา ก็อย่าลืมที่จะบันทึกกันลืมไว้ด้วย ต่อจากนี้อาจต้องลองพกสมุดโน้ตเล่มเล็ก ๆ ไว้ใกล้ตัวให้เป็นนิสัย หรือจะลองใช้พวกแอปพลิเคชันสำหรับบันทึกมาประยุกต์ใช้ก็ได้ ทบทวนคำศัพท์เหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจนกว่าจะจำได้เอง
3. ลงเรียนคอร์สออนไลน์
ทุกวันนี้การเรียนภาษาแบบคอร์สออนไลน์เป็นอะไรที่หาได้ง่ายมาก แค่กดติดตามพวกเฟซบุ๊กแฟนเพจที่เกี่ยวกับการศึกษาไว้ ก็มักจะได้เจออะไรดี ๆ อยู่เสมอ และที่สำคัญคือส่วนใหญ่มันเป็นคอร์สฟรี! บางคอร์สหลังจากเรียนจบ หากทำคะแนนการสอบได้ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด เขาก็จะออกใบรับรองให้ด้วยว่าได้เรียนจนจบหลักสูตรแล้ว ซึ่งก็ไม่ต้องห่วงว่าหลักสูตรฟรีเหล่านี้จะเป็นการเรียนแบบไก่กา ส่วนมากเป็นหลักสูตรของมหาวิทยาลัยระดับต้น ๆ ของประเทศ ที่ทำขึ้นมาแล้วนำมาลงตามช่องทางคอร์สออนไลน์ที่เปิดไว้สำหรับการผู้เรียนที่ต้องการจะพัฒนาตนเอง
แต่ถ้าใครมีเวลาและมีทุนทรัพย์มากหน่อย จะเลือกไปลงเรียนหลักสูตรตามสถาบันสอนภาษาหรืออาจารย์ที่มีชื่อเสียงก็ได้ไม่ว่ากัน การจ่ายเงินอาจทำให้เราได้ใกล้ชิดกับผู้สอนมากกว่าการเรียนคอร์สฟรีที่เป็นวิดีโอที่อัดไว้แล้ว ไม่สามารถโต้ตอบกับผู้สอนได้ อาจสอบถามในสิ่งที่ต้องการได้ง่ายกว่า อาจได้รู้หลักหรือเทคนิคในการฟัง พูด อ่าน เขียน ที่เป็นวิธีเฉพาะของอาจารย์คนนั้น ๆ ที่จะช่วยให้เราเก่งได้เร็วขึ้น การลงเรียนคอร์สออนไลน์จะทำให้เราได้รู้สิ่งที่ต้องรู้ในการเรียนภาษาในทุก ๆ ด้านนั่นเอง
4. พูดคุยกับเพื่อนต่างชาติ/เจ้าของภาษา
การวัดความรู้จากการเรียนได้ดีที่สุด คือการที่เราสามารถนำไปใช้จริงได้ แต่ถ้ายังไม่มั่นใจที่จะใช้ในสถานการณ์จริงจังแบบการทำงาน หรือการติดต่อสื่อสารแบบกิจธุระ แนะนำให้หาเพื่อนต่างชาติ/เจ้าของภาษา ที่ใช้ภาษาที่เรากำลังฝึกอยู่มาเป็นคู่สนทนา เพราะกับคนเหล่านี้เราสามารถพูดคุยเรื่องสัพเพเหระได้ และไม่จำเป็นต้องใช้ให้เป็นทางการ หากใช้ผิดพวกเขาก็จะแนะนำว่าที่ถูกคืออะไร ที่สำคัญ การฝึกภาษากับคนกลุ่มนี้ อาจทำให้เราได้พวกภาษานอกตำรา เช่น คำแสลง หรือสำนวนต่าง ๆ ที่เจ้าของภาษาใช้ในภาษาพูด ซึ่งไม่มีสอนในหนังสือหรือหลักสูตรที่เป็นทางการ
ไม่ต้องกลัวหรือกังวลว่าจะพูดไม่รู้เรื่อง หรือใช้ผิด ๆ ถูก ๆ อย่างที่บอกว่าพวกเขาเข้าใจดีกว่าเรากำลังพยายามฝึกภาษาด้วยการใช้จริงในชีวิตประจำวัน ถ้าเราเก่งแล้ว ใช้ถูกต้องเป๊ะ ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องคุยกับพวกเขาก็ได้ พวกเขาเป็นมิตรมากพอที่จะไม่ดูถูก ดูแคลน หรือรำคาญเรา พวกเขารู้ว่าของแบบนี้ต้องค่อย ๆ ฝึกฝน ถ้าไม่ได้ฝึก ไม่ได้ลอง ไม่ได้ใช้จริงกับเจ้าของภาษา แล้วจะเก่งได้อย่างไร ถ้าผิด พวกเขาจะแนะนำสิ่งที่ถูกหรือสิ่งที่เจ้าของภาษาใช้กันแบบเป็นธรรมชาติกว่าให้ เราจะได้ฝึกใช้ภาษาที่พวกเขาใช้กันในชีวิตประจำวันจริง ๆ และใช้อย่างเป็นธรรมชาติ
5. มีแรงบันดาลใจ มีเป้าหมายที่จะทำให้เราฝึกฝนได้ทุกวัน
จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เพราะบางคนก็เรียนรู้เพราะอยากเรียนเอง แต่ถ้ามีไว้มันก็ดี จะช่วยให้การเรียนภาษาดูง่ายและน่าสนุกขึ้นมาก การมีแรงบันดาลใจทำให้สุขภาพจิตเรากระชุ่มกระชวย อยากที่จะเรียนภาษาทุกวัน เพราะอย่างนั้นเพราะอย่างนี้ เหมือนเป็นแรงขับเคลื่อนที่ช่วยส่งเสริมความตั้งใจให้ได้มากกว่าเดิม ให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้อย่างจริงจังในทุกวัน แต่ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเครียดหรือเรื่องกดดันอะไร
การมีแรงบันดาลในการเรียนภาษานั้น เราจะรู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นความตื่นเต้นที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ เป็นความท้าทาย ในการเอาชนะตัวเอง เมื่อเรารู้สึกว่าการเรียนภาษาเป็นกิจวัตรที่เราต้องทำเป็นประจำทุกวัน ก็เหมือนกับการกินข้าวที่ต้องกินทุกวัน เราจะรู้สึกว่ามันเป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องทำในทุกวัน แล้วเราจะรู้สึกเครียดน้อยลงว่าต้องมานั่งเรียน นั่งพยายามทุกวัน แต่จะรู้สึกว่าสนุก มั่นใจ ภาคภูมิใจ แล้วความประหม่า กลัว หรือเขินอายเวลาที่ต้องใช้ภาษาเหล่านั้นก็จะลดลงตามไปด้วย เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา