“ถ้ามีความรักความสัมพันธ์ที่ไม่ดี ก็แค่เดินออกมา ไม่ต้องไปทนอยู่” มันไม่ใช่สิ่งที่พูดง่ายทำง่ายเสมอไป คนแต่ละคนมีเงื่อนไขและรูปแบบความผูกพันในความสัมพันธ์ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น การเดินออกมาจึงไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายขนาดนั้น หรือนึกว่าจะทำก็ทำได้เลย อาจมีปัจจัยรอบตัวหลาย ๆ อย่างที่ไม่ได้เอื้อให้คุณทำได้
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมีปัญหาในความสัมพันธ์ เช่น คุณไม่สามารถทนต่อพฤติกรรมบางอย่างของคนรักได้ คุณรู้สึกแย่มากจนมองไม่เห็นทางอื่นนอกจากการเดินออกมาแล้วจากไป แต่จริง ๆ แล้วมันตัวคุณเองก็ยังไม่พร้อมที่จะเดินออกมาหรือยังมีเหตุผลส่วนตัวอื่น ก็ยังมีอีกวิธีที่จะช่วยฝึกให้คุณรู้จักที่จะปลดเปลื้องปล่อยวางจากความรัก แบบที่ว่าความสัมพันธ์ที่มีปัญหา อาจไม่ต้องจบด้วยการเดินออกมาเสมอไปก็ได้ เป็นธรรมดาที่เมื่อความรักเริ่มมีปัญหา สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำแต่แรกเลยคือ “การเดินออกมา” ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็จะพยายามรั้งไว้ก่อน แต่รั้งธรรมดาก็ไม่ไหว เพราะคุณก็เจ็บเหมือนกัน คุณก็ต้องปกป้องตัวเองด้วย
อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าให้คุณยังดันทุรังที่จะอดทนหากเจอเข้ากับสถานการณ์ที่แย่ลงและเลวร้ายขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นเพียงวิธีรับมือเบื้องต้นก่อนที่จะตัดสินใจทำการใหญ่ขึ้น เป็นวิธีที่ช่วยประนีประนอมในขณะที่คุณยังรักษาความสงบของจิตใจได้อยู่ แต่ถ้าคุณลองทำทั้งหมดนี้แล้ว คุณยังรู้สึกไม่สบายใจ ไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์และความสงบอีกต่อไปได้ รวมถึงคนรักของคุณไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แปลว่าถึงเวลาที่คุณต้องปล่อยมือจากความสัมพันธ์นี้
อย่าทำให้ปัญหาของอีกฝ่ายเป็นปัญหาของคุณ
ก่อนอื่น คุณต้องพิจารณาตัวเองก่อนว่าสิ่งที่กำลังทำให้คุณเป็นทุกข์เป็นร้อนอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นปัญหาของตัวคุณเองจริง ๆ เท่าไร แล้วเป็นปัญหาที่คุณแค่เอาตัวเข้าไปมีส่วนร่วมเองเท่าไร ถ้าการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือในฐานะคนรักทำให้คุณต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้รู้สึกเกรงใจและขอบคุณคุณเลยแม้แต่น้อย คุณคงต้องตัดใจทิ้งปัญหาที่ไม่ใช่ของคุณให้เจ้าตัวเขารับผิดชอบเอง พยายามอย่าให้ปัญหาของคนอื่นมาเป็นของคุณ ทุกคนต่างมีทางเดินชีวิตของตัวเองที่เลือกเอง ถ้าไม่มีคุณ เขาก็ต้องผ่านความยากลำบากนี้ไปด้วยตัวเอง
แน่นอนว่ามันผิดวิสัยที่ว่าเป็นคนรักกันก็ต้องช่วยเหลือกัน แต่มันไม่ใช่เรื่องดีที่คุณจะทำร้ายตัวเองด้วยการทำเพื่อคนอื่น คุณต้องใจแข็งและนึกถึงความจริงที่ว่าประสบการณ์ที่ยากลำบากและความเจ็บปวดอาจเป็นครูที่ดีที่สุด คุณจึงควรปล่อยให้เขาได้มีบทเรียนบ้าง จะได้รู้จักเข็ดและจำ ลองนึกถึงกรณีตัวเองดูก็ได้ ความผิดพลาดในอดีตที่ต่อให้มีคนเตือนแล้วแต่คุณก็ไม่ฟัง สุดท้ายเมื่อเกิดปัญหาคุณยังต้องเรียนรู้และผ่านเรื่องต่าง ๆ ไปด้วยตัวเองเลย ดังนั้น ก่อนที่จะใช้เวลามากเกินไปในการช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่น ถามตัวเองว่า “ฉันเป็นใคร ถึงจะไปเอาความเจ็บปวดของพวกเขาออกมา หรือฉันเป็นใคร ที่จะไปขโมยประสบการณ์ของพวกเขามา”
แยกอารมณ์ของคุณออกจากคนรัก
คือการที่คุณต้องมีสติเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้เต้นไปตามจังหวะที่ถูกกระตุ้น ไม่ได้โมโหรุนแรงทั้งที่คนรักทำเรื่องน่าโมโห มันคือการนิ่งเฉย ไม่ให้ตัวเองเข้าไปมีอารมณ์ร่วม หรือผูกอารมณ์ของตัวเองไว้กับคนรัก ไม่ต้องเก็บอารมณ์และความรู้สึกของคนอื่นมาทำให้ตัวคุณเองเครียด เพราะแค่เรื่องต่าง ๆ ของตัวเองที่คุณต้องรับผิดชอบให้ดีพอมันก็มากโขอยู่แล้วจะต้องรับอะไรมาอีก ต้องรู้ตัวเองว่าตอนนี้กำลังตอบสนองเวลาที่เห็นคนรักไม่ได้ดั่งใจ ไม่เป็นอย่างที่คาดหวังแบบไหน เพราะเรื่องนี้จะมีผลต่อการยอมรับนับถือตัวตนของคุณเองและเรื่องความสำเร็จในชีวิต
ยอมรับว่าความสัมพันธ์สุดหวานชื่นไม่ได้อยู่ตลอดไป
ความสัมพันธ์มีช่วงโปรและหมดโปร ความรักที่อยู่ในช่วงโปรโมชัน น้ำต้มผักก็ว่าหวาน แต่พอนานวันไปรักหมดโปรโมชันแล้ว น้ำตาลยังทำให้คุณขมได้เลย คุณต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่าความสัมพันธ์ไม่มีคำว่าถาวร คนเราต่างมีชีวิตเป็นของตัวเองแบบถูกยืมตัวได้เสมอ แบบที่เมื่อวานคุณอาจคบกับคนนั้น พอวันนี้คุณก็เลิกคนเก่าและคบคนใหม่ ความสัมพันธ์สุดหวานชื่นและโรแมนติกน่ะไม่ได้อยู่ตลอดไปหรอก ดังนั้น ในเมื่อทุก ๆ ความสัมพันธ์มันอาจจบได้ในวันหนึ่ง คุณก็ต้องปลง ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ตามวิถีของมัน อย่าคิดว่าคุณควบคุมมันได้
ไม่จำเป็นต้องให้คำแนะนำหากอีกฝ่ายไม่คิดจะเก็บไปพิจารณา
เข้าทำนอง “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” ถ้าคุณพยายามเตือนหรือให้คำแนะนำไปต่าง ๆ นานากับคนรัก แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่มีการแก้ไขหรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น คุณควรจะหยุดได้แล้ว! เข้าใจว่าคุณก็คงอดที่จะพูดเตือนหรือให้คำแนะนำกับเขาไม่ได้ถ้าเห็นว่าคนรักกำลังเดินผิดทาง แต่ความจริงก็คือคุณไม่ใช่คนที่จะต้องมาทนทุกข์กับปฏิกิริยาที่เขาจะแสดงตอบกลับมานี่นา
ยิ่งถ้าคนรักของคุณมีนิสัยที่ชอบขอคำแนะนำจากคุณ แต่หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงก็มาบ่นว่าไม่มีคำแนะนำไหนที่ได้ผล คุณก็ไม่ต้องพูดให้เปลืองน้ำลายหรอก แม้ว่าเขาจะร้องขอก็ตาม ลองถามกลับก็ได้ว่า “คุณต้องการคำแนะนำของฉันจริง ๆ เหรอ เพราะดูเหมือนคุณไม่เคยทำมันจริง ๆ เลยนี่”
อย่าคาดหวังสูง
เป็นเรื่องปกติที่เราจะคาดหวังบางอย่างในตัวคนรัก แต่ถ้าถึงจุดหนึ่ง คุณจะพบว่าสิ่งที่คุณรู้และเคยพบเจอเกี่ยวกับตัวเขามันมากพอที่จะทำให้คุณผิดหวังได้เสมอ คุณก็ต้องเลิกคาดหวัง คุณจะได้ไม่ต้องผิดหวังและรู้สึกเจ็บด้วย รับเฉพาะสิ่งที่เขาให้มา แต่อย่าขออะไรไปมากกว่านั้น เพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกว่างเปล่าและขมขื่นได้ ถ้าคุณยังมีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ทั้งที่ไม่เคยมีแนวโน้มให้เห็น เรื่องจะจบลงด้วยความรู้สึกเศร้าและเจ็บปวด และสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึก “แย่มาก” ที่ยอมใจอ่อนแล้วทำผิดต่อตัวเอง ยอมรับซะว่าเขาไม่ได้มีความหวังให้คุณขนาดนั้น
กำหนดขอบเขตที่ชัดเจนในการยืนหยัดเคียงข้างคนรัก
กำหนดพื้นที่ของคุณให้ชัดเจนว่าคุณจะยืนหยัดอยู่ข้างคนรักอยู่ที่แค่ไหน ช่วยเหลือเท่าที่ช่วยได้ ถ้ามากกว่านี้ก็ต้องปล่อยไปตามบุญตามกรรม ความรักอาจไม่มีเงื่อนไขก็จริง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่คุณจะต้องยอมรับพฤติกรรมที่เกินจะเยียวยาของคนรักโดยไม่มีเงื่อนไขเช่นกัน เพราะความอดทนของคนนั้นมีจำกัด นอกจากการกำหนดขอบเขตของตัวคุณเองแล้ว อย่าลืมบอกและตกลงเงื่อนไขนี้กับคนรักของคุณด้วย ว่าพฤติกรรมไหนของเขาที่จะทำให้ฟางเส้นสุดท้ายขาด และเมื่อตกลงกันแล้ว คุณสามารถปกป้องพื้นที่ของคุณได้เต็มที่ ถ้าเขาละเมิดก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ที่จะตามมา
อย่าลืมเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง
นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะกำหนดได้ว่าความสัมพันธ์นี้ คุณจะอยู่หรือจะไป การที่คุณยังอยู่ไม่ได้แปลว่าคุณไม่มีที่ไปหรือยังให้โอกาส แต่มันมีความจำเป็นบางอย่างที่รั้งไว้ ทุกครั้งที่จะติดสินใจเรื่องสำคัญ จึงต้องเอาเป้าหมายในชีวิตของคุณมาคำนวณรวมด้วย คุณต้องหล่อเลี้ยงเป้าหมายและความหมายในชีวิตด้วยตัวคุณเอง รักตัวเอง คิดถึงตัวเองให้มาก ๆ เพราะคุณมีค่ามากกว่าที่คิด อย่ารักเขาขนาดที่เสียสละจิตวิญญาณของตัวเองเพื่อพยายามช่วยเหลือเขาหรือเพื่อประคับประคองความสัมพันธ์นี้ เพราะในที่สุดคุณจะไม่เหลืออะไรเลย
ข้อมูลจาก Psychology Today