เด็กไทยหาตัวเองไม่เจอ หากพ่อแม่ช่วยไม่ได้ หวังพึ่ง “ครูแนะแนว”

“โตขึ้นอยากเป็นอะไร” นี่เป็นคำถามที่เด็กไทยทุกคนน่าจะเคยถูกถาม เมื่อก่อนมันเคยเป็นคำถามที่ผู้ใหญ่มักใช้ถามเด็กที่ตนเองรู้สึกเอ็นดู โดยที่ส่วนใหญ่ก็คาดหวังว่าเด็กจะตอบว่าอยากเป็นนั่นเป็นนี่ ผู้ใหญ่ทั้งหลายมีคำตอบที่ปักธงไว้ในใจอยู่แล้ว นั่นหมายความว่าถ้าเด็กตอบได้ถูกใจ เด็กก็จะได้รับคำชมเชยต่าง ๆ นานา ทว่าหากเด็กตอบไม่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใหญ่คนที่ถามมีไว้ในใจแล้ว ก็จะเริ่มมีคำพูดยืดยาวว่า “มันคืออะไรล่ะ ทำไมถึงอยากเป็นอย่างนั้น ทำไมไม่เรียนนั่น ทำไมถึงไม่อยากเป็นนี่” ตามมา

คำถามข้างต้น ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกอึดอัดใจเสมอเวลาที่มีคนถามและต้องตอบคำถาม ซึ่งพวกเขามักจะเจอคำถามเดิมซ้ำ ๆ ทุกครั้งที่เจอหน้าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่และคนข้างบ้าน จากอึดอัดใจกลายเป็นไม่ชอบ จากไม่ชอบกลายเป็นเกลียด มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่เติบโตมาด้วยความรู้สึกเกลียดคำถามนี้เข้าไส้ และตั้งใจว่าจะไม่ถามคำถามนี้กับเด็กคนไหนอีก อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้เรื่องมันอาจเปลี่ยนไปนิดหน่อย จากคำถามที่ผู้ใหญ่ถามเด็ก กลายเป็นคำถามที่เด็กใช้ถามตัวเอง!

ปัจจุบัน มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่รู้ตัวเองว่าไม่มีความฝัน ไม่รู้ว่าอยากทำอะไร ไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร ในหัวว่างเปล่า ยิ่งถ้าเป็นเด็กที่อยู่ในช่วงวัยที่ต้องเลือกแผนการเรียน เพื่อเตรียมที่ความพร้อมที่จะเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยด้วยแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เด็กหลายคนเครียดและกดดันมาก ในเมื่อพวกเขายังไม่รู้ว่าตนเองคือใคร ก็มีแนวโน้มว่าพวกเขาจะเลือกแผนการเรียนตามเพื่อน เลือกตามกระแสสังคม ที่มักบอกว่าเรียนวิทย์-คณิตไว้ก่อน ไปได้หลายทาง หรือสิ้นหวังถึงขนาดที่พ่อแม่อยากให้เรียนอะไรก็เรียนตามคำสั่งด้วยไม่รู้จะเรียนอะไร ทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากเรียนไหม

“จุดเริ่มต้นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดจากการค้นหาตนเอง” คำกล่าวของ Chalmers Brothers แต่นี่แหละที่เป็นปัญหาของเด็กไทย เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะค้นหาตัวเองเจอได้อย่างไร ไม่รู้ว่าจะพาตัวเองเดินไปไหน และไม่รู้ว่าต้องพาตัวเองไปอยู่ที่ตรงไหนถึงจะเจอจุดที่ใช่และเหมาะสมกับตัวเอง

ปัญหาไม่ได้จบอยู่ที่ตรงนั้น เพราะเมื่อเด็กเหล่านี้เรียนจบ พวกเขาก็ไม่รู้ว่างานที่ใช่สำหรับตัวเองคืออะไร หลายคนเปลี่ยนงานบ่อย ทำกี่ที่ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ หลายคนฝืนทำไปงั้น ๆ ทั้งที่ไม่มีความสุข กว่าจะหาจุดลงตัวเจอก็ใช้เวลาอยู่นานหลายปีกว่าจะเจอสิ่งที่ตัวเองรัก บางคนจึงเปลี่ยนสายงานจากที่เรียนจบมาไปเลย แม้จะรู้สึกเสียดายเวลา ก็ยังดีที่ได้เจอตัวเองเสียที  แต่…มีที่น่าเสียดายกว่านั้น คือบางคนไม่เคยพบเลยว่าตัวเองเป็นใคร อยู่กับความสับสนหลงทางไปแบบนั้นตลอดชีวิต

พ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่ได้ช่วยให้บุตรหลานเจอทางที่ใช่ เพราะกำหนดทางไว้แล้ว

จริง ๆ แล้ว จุดเริ่มต้นของการช่วยเหลือเด็กทุกคน ควรจะเริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัว โดยพ่อแม่ผู้ปกครองต้องเป็นคนแรก ๆ ที่คอยสังเกต ถามไถ่ ให้โอกาส สนับสนุน และช่วยบุตรหลานเปิดประสบการณ์ให้หลากหลาย แต่กลับกลายเป็นว่าทุกสิ่งอย่างคือกรอบที่พ่อแม่ตีไว้ให้ลูกเสียเอง เด็ก ๆ ไม่โอกาสที่จะได้เรียนรู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าชอบอะไร เพราะเด็กไทยส่วนใหญ่เดินตามสิ่งที่พ่อแม่ออกแบบให้ตั้งแต่เริ่มจำความได้ พวกเขาจึงเดินตามกรอบที่มีไว้ให้อยู่แล้ว ในขณะที่พ่อแม่ก็เข้าใจผิดว่านี่คือการช่วยให้ลูกรู้จักตัวเอง เปล่าเลย มันคือสิ่งที่พ่อแม่ขีดเส้นไว้แล้วต่างหาก

ในทางตรงกันข้าม มีเด็กจำนวนหนึ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นชนชั้นแรงงาน เรียนมาน้อย พ่อแม่กลุ่มนี้ก็มุ่งหวังจะส่งลูกเรียนหนังสือจบสูง ๆ จะได้มีงานการดี ๆ ทำ และไม่ต้องมาเหนื่อยใช้แรงงานเหมือนตนเอง ซึ่งพ่อแม่ที่อยู่ในกลุ่มนี้ไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาในการค้นหาตัวตนของเด็กได้ เพราะพวกเขาก็ไม่ได้มีความรู้มาก และไม่ได้มีประสบการณ์ในเรื่องการเรียน สิ่งที่พวกเขาทำจึงเป็นการทำงานอย่างหนักเพื่อให้มีเงินส่งลูก แล้วให้ลูกตั้งใจขวนขวายเอาเอง ทำให้เด็กกลุ่มนี้ก็ขาดโอกาสที่จะเข้าถึงกระบวนการเรียนรู้ตัวเอง เด็ก ๆ ไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ลองอะไรมากมาย

ไม่ว่าจะเด็กกลุ่มไหนจาก 2 กลุ่มนี้ เมื่อพวกเขารู้สึกว่าทางที่ตัวเองกำลังเดินอยู่มันไม่มีที่ปรึกษา ไม่มีที่พึ่งพิง ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อนอกจากเดิน ๆ ไปจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เด็กหลาย ๆ คนจึงเรียนแบบเรียนไปให้จบ ๆ ตามที่กฎหมายบังคับ หรือเรียนเพราะพ่อแม่ยังส่งให้เรียน โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองชอบอะไร ถนัดอะไร สนใจอะไร มีความฝันอะไร เก่งหรือมีศักยภาพอะไร ใช้ชีวิตอย่างมีปลายทาง แต่เป็นปลายทางที่ไม่ใช่จุดที่มุ่งหมายจริง ๆ เดินไปถึงก็ไม่ได้รู้สึกดีใจหรือภาคภูมิใจอะไร ออกจะเป็นกังวลด้วยซ้ำว่าแล้วชีวิตหลังจากเรียนจบจะทำอะไรต่อไป

พ่อแม่ผู้ปกครองช่วยไม่ได้ ก็หวังพึ่งโรงเรียน

ถ้าหากว่าพ่อแม่ผู้ปกครองไม่สามารถช่วยให้บุตรหลานค้นพบตัวเองได้อย่างแท้จริง ก็คงจะต้องหวังพึ่งสถานศึกษา เพราะสถานศึกษาก็มีหน้าที่อบรมสั่งสอนในด้านวิชาความรู้ ที่ต้องสอนเด็กให้รู้เพื่อการใช้ชีวิตและการทำงานในอนาคตอยู่แล้ว หากแต่ก็จะมีอีกหน้าที่สำคัญ คือ พยายามไปส่งเด็กให้ถึงฝั่งที่พวกเขาจะไป แต่จริง ๆ แล้ว สถานศึกษาทำได้จริง ๆ แค่ไหนกัน

แม้ว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 จะมีบทบัญญัติชัดเจน ว่าให้โรงเรียนและสถานศึกษาจัดให้มีระบบงานและกิจกรรมแนะแนว โดย “ครูแนะแนว” จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาและฝึกอบรมแก่นักเรียนและผู้ปกครอง เพื่อส่งเสริมความประพฤติที่เหมาะสม ความรับผิดชอบต่อสังคม และความปลอดภัยแก่นักเรียนและนักศึกษา ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ในความเป็นจริง หลายคนกลับรู้สึกว่ามันเป็นเพียงตัวหนังสือที่อยู่ในหน้ากฎหมายเท่านั้น ในทางปฏิบัติไม่ได้บรรลุวัตถุประสงค์เท่าที่ควร

เพราะคาบหรือชั่วโมงแนะแนวแทบไม่มีประโยชน์กับเด็ก ๆ บางโรงเรียนเลย หลาย ๆ โรงเรียนมันไม่ต่างจากคาบว่าง บางที่ไม่สอน ไม่ให้คำแนะนำ ไม่ให้คำปรึกษาใด ๆ ทั้งสิ้น แค่ต้อนเด็กเข้าห้องแล้วเปิดหนังหรือการ์ตูนให้เด็กดู ปล่อยเด็กอิสระตามอัธยาศัยจนหมดเวลา 50-60 นาที หรือกว่าครูจะเข้าห้องมา เวลาก็หายไปร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว

ในความเป็นจริง สถานศึกษาหลายแห่งมีปัญหาในการปฏิบัติระบบงานแนะแนว เพราะแต่งตั้งครูที่มีวุฒิทางการศึกษาอื่นหรือสังกัดกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นหรือจ้างครูอัตราจ้างที่วุฒิการศึกษาไม่ใช่ครูด้วยซ้ำก็มี มาปฏิบัติหน้าที่ครูแนะแนว ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ครูแนะแนวจะมีวุฒิการศึกษาโดยเฉพาะ พวกเขาเรียนครูในสาขาที่เพื่อให้คำปรึกษา การแนะแนวทางการเรียน การประกอบอาชีพกับเด็ก ๆ โดยตรง พวกเขาต้องมีจิตวิทยาในการพูดคุย ในเมื่อสถานศึกษาขาดครูแนะแนวจริง ๆ มีผลทำให้ครูแนะแนวไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่งานแนะแนวในสถานศึกษาได้เต็มที่เต็มเวลา

นี่ยังไม่รวมพวกระบบในสถานศึกษาที่เรียกประชุมครูเป็นว่าเล่น ต้องทำงานพิเศษในโรงเรียน ตามกลุ่มบริหารต่าง ๆ เช่น ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายกิจการนักเรียน ฝ่ายงบประมาณ ฝ่ายบริหารทั่วไป การดูแลงานเหล่านี้มีงานเอกสารที่ต้องทำเป็นตั้ง ๆ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลนักเรียนได้อย่างทั่วถึงจริง ๆ หากเป็นโรงเรียนของรัฐ เด็กแต่ละห้องเรียนมีจำนวนมากเกินไป มากถึง 40-50 คน ทั้งระดับชั้นก็มีหลายร้อยคน แต่ครูแนะแนวมีคนเดียว และคาบแนะแนวก็มีสอนเพียงสัปดาห์ละครั้ง

บทบาทของครูแนะแนว ที่ต้องช่วยเหลือเด็กอย่างจริงจัง

จะเห็นว่าบทบาทหน้าที่ของครูแนะแนวจะสำคัญมาก ที่จะปั้นเด็กคนหนึ่งให้เป็นว่าที่บุคลากรคุณภาพของประเทศชาติ แต่สถานศึกษาหลายที่ ครูแนะแนวมีบทบาทน้อยมากดังเช่นที่กล่าวไปก่อนหน้า ทำให้เด็กที่กำลังจะมุ่งไปสู่การศึกษาในระดับที่สูงขึ้นเพื่อเป็นฐานในการประกอบอาชีพก็ไม่มีที่พึ่งเหมือนเดิม พวกเขาต้องเรียนอย่างหนักทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร พอจบมาก็ไปไม่ถูก รู้สึกเคว้งคว้าง หลงทาง สับสน แล้วต้องมาเริ่มหาตัวเองหลังจากที่เรียนจบมาแล้ว ซึ่งเริ่มต้นถูกไหมก็ไม่รู้

น่าเสียดายที่เด็กหลายคนเป็นเด็กเก่ง เรียนเก่งผลการเรียนดี เหมือนอัจฉริยะที่ทำได้ทุกอย่าง แต่ทำดีได้ไม่สุดสักทาง และสิ่งเดียวที่เด็กทำไม่ได้ คือการรู้ว่าจริง ๆ แล้วตนเองถนัดอะไรมากที่สุด เก่งอะไรที่สุด เด็กพวกนี้มีความรู้มากมาย ทำได้ทุกอย่างแต่ก็ไปไม่สุดสักทาง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะนำความรู้ที่มีไปใช้อย่างไร สุดท้ายคือเอาตัวเองไม่รอด เพราะไม่รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ ซึ่งถ้ามีคนมาคอยชี้แนะพวกเขาสักหน่อย พวกเขาจะมีอนาคตที่สดใสรออยู่แน่ ๆ

คนนั้นควรจะเป็นครูแนะแนว ที่มีหน้าที่หลักคือการแนะนำและให้คำปรึกษาในเรื่องการศึกษาต่อ แนะแนวทางวิชาชีพที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละคน ว่านักเรียนคนนี้เหมาะสมจะเรียนต่อสาขาวิชาใด จบแล้วประกอบวิชาชีพใดได้บ้าง นอกจากนั้นครูแนะแนวยังเป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่เด็กนักเรียนในหลาย ๆ เรื่องที่ไม่ใช่แค่การเรียน เพราะถ้าเด็กไว้ใจครู พวกเขาจะขอปรึกษาเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว และเรื่องอื่น ๆ เป็นที่พึ่งทางใจให้กับนักเรียน ถ้าเด็ก ๆ มีหลักให้จับ มีที่พึ่งพิง มีคนคอยแนะแนวทาง พวกเขาจะเริ่มมีแสงสว่าง มีทางให้เดิน และมีเป้าหมายอีกครั้ง

ครูแนะแนวไม่ได้ชี้นำว่าอะไรดี ไม่ดี ไม่ตัดสิน ไม่ดูถูกความคิดเด็ก แต่จะแนะว่าอะไรที่เหมาะสมที่จะทำตามบุคลิก ลักษณะ ความชอบ ระดับสติปัญญา และความสามารถของเด็กแต่ละคน ชี้ชวนให้เด็กตระหนักในคุณค่าของตัวเอง รวมถึงดึงเอาสิ่งที่เด็ก ๆ ซ่อนไว้เพราะความไม่มั่นใจออกมา เมื่อไรก็ตามที่ครูแนะแนวพึ่งพาได้ จนกระทั่งมีนักเรียนกล้าที่จะหันมาปรึกษาเรื่องต่าง ๆ กับครูแนะแนว เชื่อได้เลยว่าพวกเขาจะได้คำแนะนำที่เหมาะสม เพื่อให้พวกเขาก้าวเดินไปบนเส้นทางสายวิชาชีพที่พวกเขามุ่งหวังได้ดีกว่าการเดินงมทางคนเดียวโดยไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

การรู้จักตัวตนของตัวเอง คือการเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง เพื่อให้พบศักยภาพที่มีในตัว จนต่อยอดไปสู่การประกอบอาชีพจากพื้นฐานความชอบ ความสนใจ ความสุข และความสามารถของตัวเรา นอกจากนี้ยังเพื่อตั้งเป้าหมายให้ถูกทางและวางแผนชีวิตโดยไม่ผิดพลาด การรู้จักตัวเอง คือรากฐานสำคัญในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ

การค้นหาตัวเองต้องใช้เวลา และไม่มีอะไรที่ถูกหรือผิด มีแค่เหมาะหรือไม่เหมาะกับตนเอง ดังนั้น สำหรับเด็ก ๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงค้นหาตนเอง ยังไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลกับมันมากขนาดนั้น แค่เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ เป็นตัวของตัวเอง ใครไม่ให้โอกาสแต่เราต้องให้โอกาสตัวเองได้เรียน ได้รู้ ได้ลอง ชอบอะไรมีความสุขกับอะไรก็อย่าได้โกหกตัวเอง อีกไม่นานก็จะรู้เองว่าตัวเราเป็นใครและจะทำอะไรดี