สวัสดีวันจันทร์สุดท้ายของปี 2563 ที่หลายท่านน่าจะต้อง Work from Home หรือไม่ก็อยู่ระหว่างเดินทางไปเยี่ยมครอบครัว วันนี้ก่อนจะส่งท้ายปี ขอยกเอาคำคมของ ดร.ฟิล (Phillip C. Mcgraw) นักจิตวิทยา นักเขียน และผู้ดำเนินรายการชื่อดังชาวอเมริกัน ที่เคยพูดเอาไว้ว่า “Life is a marathon not a sprint” (ชีวิตคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่งระยะสั้น) มาพูดคุยกันค่ะ
ใช่ค่ะ! ชีวิตเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำงานอะไร มีฐานะร่ำรวย หรือยากจนแค่ไหน ชีวิตก็คือการวิ่งมาราธอน มันจะไม่จบเพียงแค่ระยะทาง 200 หรือ 400 เมตร แต่เราต้องวิ่งไปตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจกันอยู่ เส้นทางที่ได้พบเจอจะสลับกันไประหว่างสุขและทุกข์ ขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลาของเส้นทางนั้นจะยาวหรือสั้นมากกว่ากัน แต่ในระหว่างทางเราก็ยังได้แวะพัก ได้สำรวจตัวเอง ได้นึกถึงอดีตแล้วยิ้มออกมา ได้หลงออกนอกเส้นทางไปทำเรื่องที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งหมดนี้คือมาราธอนชีวิต
ดังเช่นชีวิตในปี 2563 เชื่อว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนธันวาคม ที่ผ่านมาแทบจะไม่มีสักเดือนเดียวเลยที่คนในเมืองไทย หรือคนทั่วโลกจะยิ้มกันได้เต็มยิ้ม ใช้ชีวิตกันได้ปกติสุขเหมือนก่อน เพราะนอกจากการระบาดของไวรัสที่แพร่กระจายไปทั่วโลกแล้ว สภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำก็ยังทำให้หลายคนต้องกลายเป็นคนว่างงาน หรือคนที่เคยอยู่ในงานที่เรียกว่ามั่นคงแล้ว ก็กลายเป็นว่างานนั้นไม่มั่นคงอีกต่อไป คำว่า Disruption เกิดขึ้นกับทุกวงการ เรียกได้ว่าเป็นปีแห่งความเปลี่ยนแปลง ชนิดที่หลายคนคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
แต่ถึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไร มีสถานการณ์ย่ำแย่ขนาดไหน แต่คนที่มีสติและตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ก็เปรียบเสมือนนักวิ่งมาราธอนที่ฝึกซ้อมมาดีรู้จักจังหวะว่าตรงไหนต้องเร่งหนี ตรงไหนต้องออมแรง และตรงไหนต้องหยุดเพื่อดูว่าเรามาถูกทางหรือยัง ถ้ามีคุณสมบัติครบหมดเราก็ยังคงเป็นนักวิ่งมาราธอนที่แข็งแกร่ง วิ่งต่อไปได้
ส่วนคนที่ล้ม ระหว่างทางคุณยังมีสิทธิ์ลุกขึ้นมาได้ เพราะข้อดีของมาราธอนชีวิต คือเปิดโอกาสให้คุณลุกขึ้นมาลงสนามแข่งเสมอเมื่อคุณพร้อม และถึงจะล้มอีกสักกี่ครั้ง คุณก็ยังได้สิทธิ์ลุกขึ้นใหม่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกที่จะลุกขึ้นมา หรือจะฟูมฟายตีอกชกตัว แล้วนั่งนิ่ง ๆ อยู่บนความพ่ายแพ้นั้นตลอดไป
เขียนมาถึงตรงนี้ก็ให้นึกถึงพี่ ๆ น้อง ๆ หลายคนในแวดวงสื่อที่ได้คุยกันในช่วงปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นปีที่ทั่วทั้งวงการถูก Disruption อย่างหนัก หนังสือพิมพ์บนแผงเหลือแบบนับนิ้วได้ไม่เกินมือหนึ่งข้าง คลื่นวิทยุ และโทรทัศน์ที่เคยเป็นเค้กชิ้นโตของงบโฆษณากลายเป็นเค้กชิ้นบาง เพราะงบโฆษณาถูกตัดไปลง ดิจิทัลมีเดีย ส่งผลให้หลายคนต้องปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลง บางคนปรับได้ดีก็รอด บางคนไม่อยากปรับก็เดินออกไปทำอย่างอื่น
ถามว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าไหม สำหรับผู้เขียนที่อยู่ในแวดวงสื่อมานานและทำมาครบทุกสื่อที่มีอยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาแล้ว มองว่าเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลามากกว่า เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรยั่งยืน หากในความเปลี่ยนแปลงนั้นเราจะใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาปรับใช้กับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ดีแค่ไหน ก็เหมือนการวิ่งมาราธอนที่เราต้องเจอกับเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยแต่ความที่เราวิ่งมานาน วิ่งมาก่อน เราจะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าทางข้างหน้านั้นจะต้องเจอกับอะไรบ้าง และสิ่งที่ต้องเจอนั้นจะเป็นเรื่องใหม่กว่าที่เจออยู่ในปัจจุบันมากขนาดไหน
“ชีวิตคือการวิ่งมาราธอน” ยิ่งวิ่งมานานเท่าไรคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงมามากเท่านั้น คุณจะคุมสติของตนเองได้ดีพอที่จะเผชิญกับสิ่งใหม่ คุณจะรู้จักปรับใช้ประสบการณ์กับเส้นทางที่คุณคิดว่าตนเองไม่คุ้นเคย เพราะเอาเข้าจริงแล้วโลกนี้ไม่มีอะไรใหม่ สิ่งที่คุณคิดว่าใหม่ก็เป็นแค่การเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอ เพื่อให้เข้ากับโลกปัจจุบัน แต่ยังคงอยู่บนพื้นฐานความชอบความต้องการเดิมของคนในสังคม
ถึงบรรทัดสุดท้ายก่อนจะกลับมาพบกันใหม่ในวันจันทร์ปี 2564 ก็ขอให้คอลัมน์วันนี้เป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่ได้อ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่ ๆ น้อง ๆ ในแวดวงสื่อสารมวลชนที่อย่าเพิ่งท้อใจกันไป มีลงก็มีขึ้นได้ มีขึ้นก็มีลงได้ ดังเช่นข้อคิดจากวงไพ่ที่ว่า “คุณจะได้ไม่เกิน 10 ตาและเสียไม่เกิน 10 ตา ถ้าเจ้ามือไม่โกงคุณ” (ฮา)
แล้วพบกันใหม่ในวันจันทร์แรกของปี 2564