เปิดที่มา “ชุดไทย” ที่เจ้าสาวใช้สวมใส่ในวันแต่งงาน

สำหรับคนหลาย ๆ คน “การแต่งงาน” ถือว่าเป็นความฝันสูงสุดของชีวิต นั่นหมายถึงว่าสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องมีก็คือ “งานแต่งงาน” เพื่อเป็นเกียรติแก่คู่บ่าวสาวและครอบครัวของทั้งฝ่าย อีกทั้งยังเป็นการเฉลิมฉลองครั้งสำคัญในการเริ่มต้นชีวิตคู่

และเมื่อมีงานแต่งงาน สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คงจะเป็น “ชุดแต่งงาน” คู่บ่าวสาวคนไทยหลายคู่นิยมจัดงานแต่งงานกัน 2 แบบ คือแบบไทย ซึ่งมักจะเป็นพิธีสงฆ์และรดน้ำสังข์ในตอนเช้า และเฉลิมฉลองด้วยงานแต่งงานแบบตะวันตกในช่วงค่ำ หมายความว่าคู่บ่าวสาวจะต้องมีชุดสำหรับสวมใส่ในพิธีแต่งงานอย่างน้อยคือ 2 ชุดนั่นเอง

ที่มาของการใส่ชุดไทยในงานแต่งงาน

เมื่อมีพิธีสงฆ์แบบไทย นั่นก็แปลว่าชุดที่คู่บ่าวสาวควรสวมใส่ในพิธีนี้จำเป็นต้องเป็นต้องชุดไทย โดยที่มาของการสวมใส่ชุดไทยนั้น เริ่มมาจากกระแสนิยม ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชดำริในการส่งเสริมผ้าไทยอย่างจริงจัง เริ่มจากการตัดเย็บเป็นฉลองพระองค์ของพระองค์ก่อน จนต่อมาได้กลายเป็นมาตรฐานการแต่งกายด้วยชุดไทยผ้าไทย ที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์อันงดงามของลวดลายไทย และฝีมือในการถัก ทอ ปัก ตัดเย็บของช่างเสื้อที่ทำออกมาได้อย่างประณีตและวิจิตรตระการตา

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จขึ้นครองราชย์ อภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร และสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ พระองค์ทรงได้รับคำกราบบังคมทูลเชิญให้เสด็จไปเยือนประเทศต่าง ๆ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี ทำให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในฐานะพระอัครมเหสีมีโอกาสตามเสด็จด้วย แต่การเสด็จออกงานก็ทำให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเห็นว่าไทยเรายังไม่มีชุดประจำชาติที่แสดงออกถึงความเป็นไทยได้อย่างประเทศอื่น อาทิ ชุดกิโมโนของญี่ปุ่น ชุดส่าหรีของอินเดีย ชุดกี่เพ้าของจีน ชุดฮันบกของเกาหลี

นั่นทำให้พระองค์มีพระราชดำริว่าสตรีไทยควรมีเครื่องแต่งกายประจำชาติ จึงทรงริเริ่มสำหรับใช้เป็นฉลองพระองค์ของพระองค์เอง และเครื่องแต่งกายสำหรับข้าราชบริพารฝ่ายในก่อน แต่เพราะพระองค์สนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับผ้าไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผนวกกับทรงศึกษาธรรมเนียมการแต่งกายของสตรีไทยในราชสำนักโบราณ ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงสมัยอยุธยา จึงได้นำรูปแบบการแต่งกายของสตรีในอดีต มาผสมผสานกับวิธีการตัดเย็บสมัยใหม่อย่างกลมกลืน เพื่อให้ง่ายต่อการสวมใส่ เหมาะสมแก่โอกาสและยุคสมัย โดยยังคงความเป็นไทยไว้

เมื่อได้แบบที่ถูกพระราชหฤทัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คุณไพเราะ พงษ์เจริญ ช่างฉลองพระองค์ตัดเย็บเป็นฉลองพระองค์ถวาย และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ คุณหญิงอุไร ลืออำรุง ช่วยเลือกแบบและนำมาผสมผสานกันจนเกิดเป็นชุดไทยแบบต่าง ๆ ขึ้นหลายชุด

อีกทั้ง ในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสในปีพ.ศ. 2493 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วยชุดไทย เมื่อมีการเผยแพร่ภาพออกสู่สาธารณะ ทำให้คนไทยได้เห็นพระสิริโฉมที่งดงามของพระองค์ขณะทรงชุดไทย ที่ถ้าสตรีไทยได้สวมใส่ชุดที่งดงามเช่นนี้ในวันสำคัญของชีวิตก็คงจะดีไม่น้อย จึงเริ่มมีการใช้ชุดไทยในพิธีแต่งงานของตนเองบ้าง

ดังนั้น การที่พระองค์ทรงเป็นต้นแบบสตรีที่สวมใส่ชุดไทย ก็เป็นพระราชกุศโลบายในการเผยแพร่และส่งเสริมผ้าไทย รวมทั้งศิลปวัฒนธรรมด้านการแต่งกายของสตรีไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากลด้วย ฉลองพระองค์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไทยนั้นมีความงดงาม สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็น ที่สำคัญ ก็เพื่ออนุรักษ์ผ้าไหมพื้นบ้านที่ในขณะนั้นใกล้จะสูญหายเต็มที จากผ้าไหมพื้นบ้านสู่ฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ทำให้คนไทยได้เห็นคุณค่าและให้ความสำคัญของผ้าไหมไทย ซึ่งถือเป็นงานศิลปะท้องถิ่นของราษฎร และมีการรณรงค์ให้สวมใส่ชุดไทยผ้าไทยในโอกาสสำคัญ ๆ เรื่อยมา

แบบของชุดไทย

เนื่องจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นผู้นำการแต่งกายแบบไทยอย่างแท้จริง ทรงฉลองพระองค์ชุดไทยแบบต่าง ๆ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินติดตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ ฉลองพระองค์ชุดไทยของพระองค์จึงเป็นต้นแบบชุดประจำชาติของสตรีไทยในปัจจุบัน ที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย สะท้อนวัฒนธรรม ประเพณี เชื้อชาติ และอื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นความเป็นไทยอย่างชัดเจน

แบบของชุดไทยที่คุณหญิงอุไร ลืออำรุง ช่วยเลือกแบบและนำมาผสมผสานกันจนเกิดเป็นชุดไทยแบบต่าง ๆ นั้น เดิมทียังไม่มีชื่อเรียกเฉพาะ แต่ภายหลังทรงพระราชทานชื่อชุดไทยทั้งหมด 8 แบบ โดยเรียกรวมว่าเป็น “ชุดไทยพระราชนิยม” ซึ่งได้แนวคิดมาจากชื่อพระตำหนักและพระที่นั่งในพระบรมมหาราชวัง ได้แก่

  • ชุดไทยอมรินทร์ (Thai Amarin) สำหรับงานพิธีตอนค่ำ ไม่คาดเข็มขัด ใช้ผ้ายกไหมที่มีทองแถบหรือยกทอง ทั้งชุด ผู้สูงอายุใช้คอกลมกว้าง ไม่มีขอบตั้ง และแขนสามส่วนได้ เครื่องประดับจะเป็นชุดสร้อยคอ ต่างหู สร้อยข้อมือ และกระดุมทอง ซึ่งเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงานเฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษา หญิงต้องประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์

    ภาพจาก Facebook.com : Queen Sirikit Museum of Textiles
  • ชุดไทยจิตรลดา (Thai Chitlada) สำหรับใช้ในพิธีกลางวัน ใช้ผ้าไหมเกลี้ยง มีเชิง หรือยกดอกทั้งตัว ผ้าซิ่นยาวป้ายหน้า คนละท่อนกับตัวเสื้อ แขนยาว ผ่าอก คอกลม มีขอบตั้งน้อย ๆ สำหรับงานพระราชพิธีจะนิยมเครื่องประดับที่หรูหรา ไม่ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์และไม่ต้องคาดเข็มขัด ควรประดับด้วยสร้อยคอ ติดกระดุมทอง สร้อยข้อมือ และต่างหู

    ภาพจาก Facebook.com : Queen Sirikit Museum of Textiles
  • ชุดไทยบรมพิมาน (Thai Boromphiman) ใช้ในพิธีตอนค่ำ ใช้เข็มขัดใช้ยกผ้าไหมหรือยกทอง มีเชิงหรือยกทั้งตัวก็ได้ เป็นชุดติดกัน ซิ่นมีจีบยกข้างหน้า ยาวจรดข้อเท้า ที่ชายพกใช้เข็มขัดไทยคาด เสื้อแขนยาว คอกลม มีขอบตั้ง ผ่าด้านหน้าหรือด้านหลังก็ได้ ใช้ในงานเต็มยศหรือครึ่งยศ งานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ มักใช้กับเครื่องประดับงดงาม โดยเป็นชุดที่เจ้าสาวนิยมใช้ใส่ในการเข้ารับพระราชทานน้ำสังข์ ชุดนี้ต้องคาดเข็มขัดทอง ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สวมสร้อยคอ ต่างหู สร้อยข้อมือและเกี้ยวประดับผม

    ภาพจาก Facebook.com : Queen Sirikit Museum of Textiles
  • ชุดไทยจักรพรรดิ (Thai Chakkraphat) ใช้ผ้ายกทั้งตัว มีเชิงยกไหมทองหรือดิ้นทอง ผ้าซิ่นจีบ หน้านางมีชายพกคาด เข็มขัดไทย แล้วห่มสไบปักด้วยดิ้นและพลอย ทับบนสไบอัดจีบใช้เครื่องประดับสวยงานที่สุด เจ้าสาวโดยทั่วไปนิยมสวมใส่ชุดนี้ในงานเลี้ยงช่วงค่ำ และมักประดับด้วยสร้อยคอ สร้อยสังวาล สร้อยข้อมือ เข็มขัด รัดเกล้า และต่างหู

    ภาพจาก Facebook.com : Queen Sirikit Museum of Textiles
  • ชุดไทยจักรี (Thai Chakkri) ใช้ในพิธีเต็มยศงานราตรี ผ้านุ่งจีบยกข้างหน้ามีชายพก คาดเข็มขัดไทย และห่มสไบ ผ้ายกเป็นแบบมีเชิงหรือยกทั้งตัว ท่อนสไบจะเย็บติดกับซิ่นหรือแยกต่างหากก็ได้ เปิดบ่าข้างหนึ่ง ชายสไบคลุมไหล่ ทิ้งชายยาวด้านหลังพอสมควร เหมาะกับพิธีสมรส สามารถสวมเครื่องประดับทองครบชุด ได้แก่ สร้อยคอ สร้อยสังวาล สร้อยข้อมือ ต่างหู รัดแขน และเข็มขัด

    ภาพจาก Facebook.com : Queen Sirikit Museum of Textiles
  • ชุดไทยเรือนต้น (Thai Ruean Ton) เป็นชุดสำหรับใช้ในโอกาสลำลอง ไม่เป็นพิธีการ ผ้าซิ่นมีริ้วตามยาวหรือขวางยาวจรดข้อเท้า ป้ายหน้า สีของเสื้อจะกลมกลืนหรือตัดกันกับผ้าซิ่นก็ได้ เป็นชุดคนละท่อน แขนสามส่วนผ่าอก กระดุมห้าเม็ดคอกลมตื้นไม่มีขอบ เครื่องประดับที่ใช้นิยมติดเป็นเข็มกลัดขนาดใหญ่พอสมควรบริเวณเหนืออกเสื้อด้านซ้าย ต่างหูต้องเป็นแบบติดกับใบหู สวมสร้อยคอประเภทไข่มุกหรือสร้อยทองสามสาย ไม่ต้องคาดเข็มขัด

    ภาพจาก Facebook.com : Queen Sirikit Museum of Textiles
  • ชุดไทยศิวาลัย (Thai Siwalai) ใช้ผ้ายกไหมหรือยกทอง ตัดแบบติดกัน ซิ่นยาวจีบ หน้านางมีชายพก ใช้เข็มขัดไทยคาด ตัวเสื้อแขนยาว คอกลม มีขอบตั้งเล็กน้อย ผ่าหลัง ตัวเสื้อตัดติดกับซิ่นคล้ายแบบไทยบรมพิมาน แต่ห่มผ้า ปักลายไทยใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศ เจ้าสาวไทยนิยมใส่ชุดนี้ ในพิธีรดน้ำสังข์หรือพิธีเลี้ยงฉลองงานตอนค่ำ มักประดับด้วยเครื่องประดับทอง เช่น สร้อยคอ สร้อยสังวาล เข็มขัด ต่างหู และรัดเกล้า

    ภาพจาก Facebook.com : Queen Sirikit Museum of Textiles
  • ชุดไทยดุสิต (Thai Dusit) เน้นการปักตกแต่งเสื้อ ผ้าซิ่นยกไทยหรือทอง คาดชายพกด้วยเข็มขัดไทย ตัวเสื้อแบบคอกลมกว้าง ไม่มีแขน ผ่าหลัง ปักแต่งลวดลาย ที่ตัวเสื้อใช้ในงานพระราชพิธีที่กำหนดให้แต่งเต็มยศ เป็นอีกชุดที่เจ้าสาวนิยมใช้เป็นชุดในงานสมรส ควรสวมสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู และเข็มขัด แบบที่เข้าชุดกัน

    ภาพจาก Facebook.com : Queen Sirikit Museum of Textiles

ชุดไทยราชนิยมเหล่านี้ พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เคยจัดแสดงนิทรรศการให้ชาวไทยได้เข้าชม โดยใช้ชื่อนิทรรศการ “ไทยพระราชนิยม”

การใส่ชุดแบบตะวันตกในงานแต่งงาน

รูปแบบของชุดแต่งงานที่ชินตาคนทั้งโลกมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นชุดแต่งงานแบบตะวันตก หรือชุดเจ้าสาวสีขาวนั่นเอง ในหลาย ๆ ประเทศที่มีประเพณีการแต่งงานเฉพาะตามวัฒนธรรม ก็จะคล้ายกันกับบ้านเรา คือมีชุดประจำชาติ และชุดสีขาวตะวันตก (สำหรับวัฒนธรรมมีชุดเฉพาะของศาสนาที่นับถือ) แต่ถึงกระนั้น ชุดเจ้าสาวสีขาวที่สตรีหลายคนอยากจะลองสวมใส่สักครั้งในชีวิตนี้ ก็มีประวัติความเป็นมาเหมือนกัน

ต้นกำเนิดชุดเจ้าสาวสีขาวที่นิยมใส่กันทั่วโลกทุกวันนี้ เริ่มต้นโดยชนชั้นสูงในราชสำนักในยุโรป ย้อนไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 เจ้าหญิงฟิลิปปาแห่งอังกฤษ สวมชุดเสื้อคลุมที่ถักทอด้วยผ้าไหมสีขาว ประดับด้วยขนกระรอกและพังพอน เดินเข้าพิธีสมรสกับกษัตริย์เอริคแห่งสแกนดิเนเวีย ต่อมาราชินีแมรี่แห่งสกอตแลนด์ ก็สวมชุดเดรสสีขาวเข้าพิธีสมรสกับเจ้าชายโดฟีนแห่งฝรั่งเศส เพราะสีขาวเป็นสีที่พระนางชื่นชอบ ทั้งไม่ได้สนใจความเชื่อดั้งเดิมของชาวฝรั่งเศสด้วย ว่าสีขาวเป็นสีที่ใช้สำหรับการไว้อาลัย

แต่จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญของชุดเจ้าสาวสีขาวเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1840 ราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ เข้าพิธีสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งแองโกลแซกซอน พระนางสวมชุดเจ้าสาวสีขาว ประดับลายลูกไม้ฮอนิตัน เมื่อพิธีแต่งงานนี้ถูกเผยแพร่สู่สาธารณชน ทำให้บรรดาว่าที่เจ้าสาวบนเกาะอังกฤษอยากจะสวมชุดเจ้าสาวสีขาวที่สวยสง่างามแบบราชินีวิกตอเรียบ้าง จนต่อมาก็ได้รับความนิยมและกลายเป็นแฟชั่นชุดเจ้าสาวที่กระจายไปทั่วแผ่นดินยุโรปในเวลาไม่นาน

เมื่อชุดเจ้าสาวสีขาวกลายเป็นแฟชั่น นิยมสวมใส่กันเป็นธรรมเนียม ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน ชุดดังกล่าวก็มีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ เพื่อให้เข้ากับเทรนด์แฟชั่นของแต่ละยุคสมัย แต่ไม่ว่าดีไซน์จะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน สิ่งที่ยังเหมือนเดิมคือ “สีขาว” ที่ถูกให้ความหมายโดยนัยยะว่าเป็นความบริสุทธิ์ของหญิงสาวในวัยผลิบาน ที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ด้วยการออกเรือนไปมีครอบครัวเป็นของตัวเอง

ชุดเจ้าสาวสีขาวที่เผยแพร่เข้ามาในประเทศไทยนั้น ส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาคริสต์ เพราะชาวตะวันตกส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ และทางยุโรปเองก็เป็นเทรนด์ที่พวกเขานิยมกันอยู่แล้ว ถึงกระนั้น งานแต่งงานในบ้านเราก็ไม่ได้ใช้แค่ชุดเจ้าสาวสีขาวเพียงสีเดียว เพราะมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ชุดเจ้าสาว ด้วยอิทธิพลจากหลาย ๆ ที่ เช่น ชุดกิโมโนสีขาวของเจ้าสาวชาวญี่ปุ่น ก็เป็นอีกแรงบันดาลใจหนึ่งของชุดเจ้าสาวบ้านเราเหมือนกัน

ดังนั้น ชุดเจ้าสาวบ้านเราจึงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะสีขาว แต่ดัดแปลงเป็นชุดไทยที่มีสีโทนอ่อน ให้ความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนหวาน และความบริสุทธิ์ของหญิงสาวนั่นเอง และแม้ว่าชุดเจ้าสาวสีขาวจะมีที่มาจากตะวันตก เมื่อนำมาใช้ในบ้านเรา ก็ถูกดัดแปลงให้เข้ากับสังคมและวัฒนธรรมไทย รวมถึงยุคสมัย ดังที่เราเคยเห็นชุดเจ้าสาวแบบไทยประยุกต์ (เกิดเป็นชุดไทยแบบที่ 9) ที่มีดีไซน์ผสมผสานแฟชั่นตะวันตกเข้ากับรูปแบบของชุดไทยได้อย่างกลมกลืน กลายเป็นชุดเจ้าสาวที่มีลักษณะเฉพาะตัว สำหรับวันสำคัญที่สุดในชีวิตของผู้หญิงหลาย ๆ คน และยังเป็นสากลทางการ เข้ากับชุดสูทสากลของเจ้าบ่าว

ข้อมูลจาก CNN Style, พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, กรมหม่อนไหม