เมื่อ “อัลกอริธึมส์” เลือกการใช้ชีวิตให้คุณ

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วเมื่อโลกนี้ยังไม่ได้ทำความรู้จักกับคำว่าดิจิตอลสักเท่าไร เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการทำงานแบบ “อนาล็อก” สื่อที่ผู้คนคุ้นเคยคือ การฟังเพลง ชมโทรทัศน์ อ่านหนังสือพิมพ์ ขณะที่ตามต่างจังหวัดยังมีการกระจายข่าวแบบเสียงตามสาย

ในยุคดังกล่าวหากจะทำให้เพลงสักเพลงดัง หมายถึงการไปแนะนำตัวของศิลปินที่สถานีวิทยุ และให้ดีเจเปิดเพลงบ่อยๆจนกลายเป็นเพลงฮิตติดหู หรือผลิตมิวสิควิดีโอไปออกโทรทัศน์ให้ได้เห็นให้ได้ฟังกันทุกวัน ลงหนังสือพิมพ์ให้ได้เห็นข่าว ถ้านักร้องมีบุคลิกที่ดี เสียงไปได้ระดับหนึ่ง ไม่นานเพลงนั้นก็จะดัง ส่วนศิลปินจะเลี้ยงความดังของตนเองได้นานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเขาเอง

1.

นั่นคือโลกที่ยังไม่มีดิจิตอล และไม่มีใครรู้จักอัลกอริธึมส์ จนกระทั่งโลกเดินทางมาถึงจุดที่เกิด “สมาร์ทโฟน” ผู้คนเริ่มใส่ชีวิตเข้าไปในโทรศัพท์ จากนั้นก็เป็นการกำเนิดแพลตฟอร์มที่เรียกว่า โซเชียลมีเดีย (สื่อสังคมออนไลน์) และมีผู้ให้บริการอยู่หลายเจ้าไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ แอปลิเคชั่นสำหรับพูดคุยอย่างไลน์ What’s app ผู้ให้บริการเหล่านี้ต่างพัฒนาระบบการจัดการข้อมูล (อัลกอริธึมส์) ของตนเองมาโดยตลอด เพื่อให้ผู้ใช้งานอยู่บนพื้นที่ของตนเองให้ได้นานที่สุด และอัลกอริธึ่มส์บนโซเชียลมีเดีย ก็ได้พัฒนาจนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงให้คนอยู่แต่ในโลกของตนเอง (Echo Chamber) บนสื่อสังคมออนไลน์

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า แพลตฟอร์มทั้งหลายในโซเชียลมีเดียนั้นเต็มไปด้วยการใช้งาน อัลกอริธึมส์ (Algorithms) หัวใจสำคัญในการใช้อัลกอริธึ่มส์ หรือระบบการจัดการข้อมูลบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียนั้นคือทำให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่พวกเขาสนใจมากที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องใดที่คุณสนใจความสนใจของคุณจะปรากฎอยู่บนพื้นที่ของคุณในโซเชียลมีเดีย ชนิดที่ตัวคณเองก็ยังตกใจว่าโทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์ของคุณนั้นช่างเดาใจคุณได้ถูกต้องแม่นยำเสียเหลือเกิน

2.

ในความเป็นจริงนั้น ทุกไลก์ที่คุณกด ทุกความคิดเห็นที่คุณพิมพ์ลงในพื้นที่โซเชียลมีเดีย ทุกข้อมูลที่คุณกรอกเมื่อสมัครแอพลิเคชั่น ทุกสินค้าที่คุณซื้อออนไลน์ ทุกคลิ๊กที่คุณเข้าไปดูคลิป หรือแม้แต่คลิก Favorite เพื่อเก็บเอาไว้ดู อัลกอริธึมส์ หรือระบบจัดการข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย จะเก็บรวบรวมสิ่งที่คุณดู สิ่งที่คุณอ่าน สิ่งที่คุณฟัง โฆษณาที่คุณสนใจ หรือแม้แต่ภาพที่คุณหยุดดู คำศัพท์ที่คุณไม่รู้ความหมายแล้วคุณแคปไปหาคำแปล เหล่านี้เป็นพื้นที่ฐานของอัลกอริธึ่มส์ ในการจดจำข้อมูลของคุณ เพื่อที่จะนำเอาข้อมูลในรูปแบบเดียวกันมานำเสนอให้กับคุณ

โดยระบบจะประมวลผลที่เหมือนคาดเดาได้ว่าคุณต้องชอบข้อมูลดังกล่าว แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่การคาดเดา หากแต่เอามาจากอายุ เพศสภาพ เพื่อนที่คุณมี สถานที่ที่คุณเช็กอิน งานที่คุณทำ และสิ่งที่คุณดูบนโซเชียลมีเดีย มาประมวลเป็นข้อมูลของคุณ เป็นการตอบสนองที่จะทำให้คุณพึงพอใจและใช้เวลาอยู่บนโซเชียลมีเดียให้นานที่สุด

ยิ่งมีข้อมูลมากก็ยิ่งทำให้ “ตาสว่าง” ตัดสินใจได้ดีขึ้นมิใช่หรือ คำตอบคือไม่ใช่ เพราะข้อมูลที่คุณได้รับเป็นข้อมูลด้านเดียว เหมือนกับตัวอย่างในข้างต้นที่เล่าถึงการเปิดเพลงในอดีต ยิ่งเปิดซ้ำมากเท่าไร คนก็จะรู้สึกติดหูมากเท่านั้น เมื่อติดหูเพลงนั้นก็จะกลายเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมไป แต่วิธีการดังกล่าวใช้ในยุคอนาลอค ดังนั้นเสียงโต้แย้งจากนักวิจารณ์ หรือสื่อ เกี่ยวกับเสียงร้องหรือเพลง ยังทำให้คนฟังได้รับข้อมูลอีกด้านเพื่อตัดสินใจ

3.

แต่ในยุคนี้คำว่า “ตาสว่าง” หมายถึงคนที่อยู่ใน Echo Chamber หรือห้องเสียงสะท้อนของตนเอง รับฟังข้อมูลที่ตนเองอยากรับฟัง อยู่ในกลุ่มโซเชียลมีเดียที่มีความคิดเห็นเหมือนกัน แม้กระทั่งเวลาเห็นโฆษณาก็จะเห็นโฆษณาที่เรียกว่า “Tailor ads” (โฆษณาที่ผลิตตามความสนใจของผู้ชม)

ยิ่งใช้ชีวิตบนโซเชียลมีเดีย นานเท่าไรก็เท่ากับอยู่ให้ห้องของเสียงสะท้อนของตนเอง นานเท่านั้น ไม่มีข้อมูลโต้แย้งข้อมูลที่คุณมี เหนืออื่นใดข้อมูลที่คุณมีในห้องเสียงสะท้อนของตนเองนั้นเป็นข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่ หรือเป็นข้อมูลที่มาด้วยอคติแต่บังเอิญตรงกับจริตของคุณเอง ดังนั้น “ยิ่งมีข้อมูลมากยิ่งทำให้ ตาสว่าง” ในยุคนี้กลับกลายเป็นข้อมูลที่คุณได้มาจาการจัดการของ “อัลกอริธึมส์” การตัดสินใจจะซื้อเกิดขึ้นเพราะได้เห็นผ่านตาบ่อย เห็นรีวิวที่เกิดจากดิจิตอลมาร์เกตติ้ง กลายเป็นการซื้อที่ไม่ได้ข้อมูลอีกด้าน การตัดสินใจยิ่งง่ายขึ้นด้วยระบบอีคอมเมิร์ซ ที่ยุคนี้ใช้เพียงแค่ปลายนิ้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้คงต้องหันกลับมามองว่า ข้อมูลอันมากมายที่เราคิดว่าช่วยในการตัดสินใจเพื่อซื้อของหรือใช้บริการ หรือแม้กระทั่งเรียกให้เราเข้าร่วมนั้นเกิดขึ้นจากการได้รับข้อมูลเพียงด้านเดียวจากความชอบของเรา จากจริตของเราที่ถูกสรรหามาป้อนให้โดยอัลกอริธึมส์ บนโซเชียลมีเดียหรือไม่ เมื่อพิจารณาแล้วว่าเราอยู่ในห้องของเสียงสะท้อนนานเกินไปก็ต้องค่อย ๆ เอาตัวเองออกจากโลกที่เต็มไปด้วยเสียงของเรา แล้วหันไปรับฟังเสียงของคนอื่นบ้าง เพราะข้อมูลเพียงด้านเดียวไม่สามารถใช้ตัดสินใจ หรือ ตัดสินใครได้ว่าเขาดีหรือไม่ดีอย่างไร