Underdog เรื่องของคนที่สู้โดยไม่มีเงื่อนไข

สวัสดีวันจันทร์ ช่วงหัวค่ำ วันจันทร์ที่โรงเรียนเปิดเทอมครบ ท่ามกลางสภาพอากาศแปรปรวน น่าจะเป็นวันจันทร์ ที่หลายคนรู้สึกอิดออดกับการทำงาน อิดออดกับการเรียน อิดออดกับการเผชิญชีวิตบนท้องถนน เพราะชีวิตของผู้เขียนเองก็อิดออดมาจนเย็นย่ำของวันจันทร์กว่าจะได้มาชวนคุยเรื่อง Underdog ตามพาดหัวด้านบน

แล้วทำไมอยู่ดีๆมาชวนหาความหมายที่แท้ของคำคำนี้ เรื่องนี้คนเขียนจะไม่ตอบ แต่จะถามกลับคุณผู้อ่านว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเคยมีห้วงเวลาแบบนี้กันไหมคะห้วงเวลา Underdog

คำว่า Underdog ถ้าเอาไปค้นหาในกูเกิ้ลจะได้ความหมายหลากหลาย แต่ถ้าเอาไปถามในวงการกีฬา คำนี้จะเป็นแสลงที่เปรียบถึงสถานการณ์ของนักกีฬา หรือ ทีมกีฬาที่อ่อนด้อยกว่าคู่แข่งทุกทาง แต่พวกเขาก็ยังสู้ยิบตา และ Underdog บางคน หรือ บางทีม ก็สามารถเอาชนะทีมที่แกร่งกว่าได้เสียด้วย

เริ่มเห็นภาพชัดแล้วใช่ไหมคะว่าสถานการณ์แบบ Underdog นั้นเป็นอย่างไรและคุณผู้อ่านเคยประสบมาหรือไม่ ลองนึกย้อนกันดูค่ะ บอกเลยว่ามันคือน้ำทิพย์ในการดำเนินชีวิตที่กำลังแห้งผากได้เป็นอย่างดี

สำหรับคนเขียนเอง เวลาที่ต้องใช้คำว่า Underdog จะชอบนึกย้อนไปสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยปี 1 มีวิชาที่เกี่ยวข้องกับกีฬาอยู่หนึ่งวิชาแล้วเป็นวิชาพื้นฐานที่ต้องเรียนกันทั้งคณะ (ขออภัยนึกชื่อรหัสวิชาไม่ออกจริงๆ) แล้วกีฬาที่อาจารย์ผู้สอนเลือกให้นักศึกษาจับกลุ่มกันแล้วมาแข่งขันกัน คือ บาสเกตบอล เวลานั้นบอกเลยว่าไม่โอค่ะ เพราะถึงแม้ตนเองจะเล่นกีฬาอยู่แล้ว แต่ก็เป็นประเภทบุคคล แล้วไม่ถนัดเลยประเภททีม ยิ่งบาสเกตบอลด้วยแล้วมีความทรงจำที่เลวร้ายติดมาตั้งแต่เรียนมัธยมจากอาการบาดเจ็บที่ข้อมือ

และด้วยความรู้สึกที่ไม่โอ ทำให้ผู้เขียนเข้าร่วมทีมแบบ ทีมไหนคนไม่ครบก็ไปขอเสียบเขาอยู่ก็กลายเป็นทีมที่ชนิดรวมการเฉพาะกิจ แน่นอนว่าทีมแบบนี้ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จไปได้ แล้วก็หาได้มีใครสนใจ เพราะคิดว่าไปทำข้อสอบเอาก็ได้คะแนนเหมือนกัน ภาคปฏิบัติก็เล่นพอเป็นพิธี แต่วิธีคิดแบบนี้ดูเหมือนอาจารย์ผู้สอนจะรู้ทันและไม่ยอมให้นักศึกษาที่ลงเรียนวิชานี้ผ่านภาคปฏิบัติกันง่ายๆ

อาจารย์ท่านแก้ลำด้วยการให้มีการจัดการแข่งขันขึ้นมา และด้วยเป็นวิชาพื้นฐาน การแข่งขันบาสเกตบอลครั้งนี้จึงกลายเป็นการชิงชัยกันแบบที่ทุกคนในทีมผู้เขียนไม่มีใครได้ทันตั้งตัว แล้วทีมที่ มีคนเล่นบาสเกตบอลเป็นแค่สองคนคือผู้เขียนกับเพื่อนสาวสุพรรณผู้เล่นตำแหน่งเซนเตอร์ จะไปเหลืออะไร สถิติของเราย่อยยับชนิดที่ อาจารย์ตราหน้าว่าเป็นทีมที่ไร้ความตั้งใจ

แต่การแข่งขันยังไม่จบง่ายๆ อาจารย์ให้พวกที่ตกรอบไปแล้วมาแข่งกันอีกครั้งเพื่อให้ได้ทีมที่ 5 มันเหมือนได้โอกาสอีกครั้ง แล้วทำให้สมาชิกของทีมที่ถูกปรามาสมีแรงฮึดที่จะสู้ขึ้นมา โดยเพื่อนสาวสามคนที่เหลือแสดงความตั้งใจเลยว่าถึงจะไม่เก่งแต่ก็ขอให้ได้สู้ แล้วพวกเธอก็ทำอย่างที่พูด แม้ในเชิงบาสเกตบอลจะได้แค่ท่าพื้นฐาน แต่วิธีการที่สู้ยิบตาของเพื่อนสาวทั้งสามนั้นทำให้ ผู้เขียนรู้สึกฮึดตามไปด้วย จนทำให้ทีมที่ถูกปรามาสว่าไร้ความตั้งใจผ่านไปถึงรอบชิงที่สาม และสุดท้ายแม้ว่าทีมเราจะได้เพียงอันดับที่สี่ แต่ทีม Underdog ทีมนี้ก็ทำให้อาจารย์ผู้สอนเปลี่ยนจากวาจาปรามาส มากลายเป็น คำชม

นึกถึงช่วงเวลานั้นทีไร เหมือนเป็นการย้ำกับตัวเองว่า ขีดจำกัดของคนเรานั้นมันไม่มีที่สิ้นสุดและการสู้แบบ Underdog นั้นเป็นการต่อสู้ที่ไม่ใช่เรื่องของไก่รองบ่อน แต่เป็นการสู้โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ใช่เพื่อชัยชนะ หากแต่เป็นการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีภูเขาลูกไหนที่จะสูงจนเกินความสามารถของคนเรา…แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ