ถ้าทีมฟุตบอลชายชุดอายุไม่เกิน 23 ปีของไทยเราไม่แพ้อินโดนีเซียในเกมแรก ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็คงยังไม่รู้ว่า มหกรรมกีฬาซีเกมส์ เปิดฉากขึ้นแล้วที่ประเทศฟิลิปปินส์! ใช่แล้วครับ ซีเกมส์เริ่มแล้ว และพิธีเปิดอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 30 พ.ย.นี้
ไม่รู้ผมรู้สึกไปคนเดียวหรือเปล่านะครับ ว่าในยุคสมัยนี้เราไม่ตื่นเต้นกับกีฬาซีเกมส์กันแล้ว ไม่เหมือนในสมัยผมเด็กๆที่ลุ้นสนุกทุกครั้ง ที่ฟุตบอล มวย ตะกร้อ ว่ายน้ำ รวมถึงกรีฑา แต่มาในยุคหลังๆ แทบจำไม่ได้แล้วว่า ราชา หรือ ราชินีเหรียญทองของเราคือใคร
ซีเกมส์ในความทรงจำของผมส่วนใหญ่จะเป็นการลุ้นผ่านหน้าจอทีวี เพราะครั้งสุดท้ายที่กรุงเทพฯเป็นเจ้าภาพปี 2528 ตอนนั้นผมยังอายุได้ 2 ขวบ ส่วนอีก 2 ครั้งต่อมาที่ 2538 ที่เชียงใหม่ และ 2550 ที่นครราชสีมา ผมก็ไม่ได้มีโอกาสได้เดินทางไปเกาะติดขอบสนาม แม้ว่าไทยเราจะเป็นเจ้าภาพก็ตาม
และหากนึกถึงฟุตบอลทีมชาติไทย กับอินโดนีเซีย ในสมัยผมเด็กๆ เวลาเจอกันแต่ละครั้ง รู้สึกได้เลยครับถึงอาการลุ้นจนตัวเกร็ง ไม่ว่าจะเป็นการเจอกันในรอบแรกที่ซีเกมส์ เชียงใหม่ ตอนนั้นว่ากันว่า ‘คูร์เนียวาน‘ เก่งสุดๆ รวมถึงเหตุการณ์เผาสนามเสนายันในซีเกมส์ 1997 ที่จาการ์ต้าเป็นเจ้าภาพ
ทว่าหลังจากนั้น เมื่อทีมฟุตบอลไทยของเราผูกขาดความสำเร็จเหรียญทองในซีเกมส์ และทุกคนเคยชินและรู้สึกได้เราคือชาติที่ไร้เทียมทานในอาเซียน นับจากวันนั้น อินโดนีเซีย ก็ไม่อยู่ในสายตาผมอีกเลย รวมถึงเกมคัดฟุตบอลโลกของทีมชุดใหญ่ล่าสุด เราก็บุกอัด ‘อิเหนา‘ ถึงถิ่นมาแล้ว ก่อนที่เราจะมาแพ้ในนัดแรกของซีเกมส์ 2019 ครั้งนี้
ความพ่ายแพ้นัดเดียว ไม่ได้หมายความว่าเราหมดลุ้นเหรียญทอง มองในแง่ดี มันยิ่งทำให้เรา โดยเฉพาะนิชิโนะและนักเตะที่เขาเลือกมา รู้ตัวว่าควรจะทำอย่างไรในนัดต่อๆไป ซึ่งผมยังเชื่อว่าไทยเราน่าจะทะลุถึงรอบรองฯได้เป็นอย่างน้อย
อย่าลืมว่าทีมไทยชุดนี้ เป็นชาติเดียวในซีเกมส์หนนี้ที่ไม่ใช้โควต้านักเตะอายุเกิน ตามแนวทางการสร้างทีมของนิชิโนะ ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะหนทางข้างหน้าเรายังมีทัวร์นาเมนท์ชิงแชมป์เอเชียเพื่อลุ้นโควต้าไปโอลิมปิกรออยู่
ส่วนจะไปถึงเหรียญทองหรือไม่ ก็ต้องส่งใจเชียร์กันต่อไปครับ แต่ถ้าถามแฟนบอลอย่างผม ผมเห็นทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองซีเกมส์มาบ่อยแล้ว หากเลือกได้ ก็อยากเห็น ‘ช้างศึก‘ ไปอยู่ในทัวร์นาเมนท์ระดับโลกบ้าง แค่นั้นเองครับ