
จะเกิดอะไรขึ้น หากการพูดคุยของเราผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะแชทหรือโซเชียลแอปต่าง ๆ จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป เพราะรัฐบาลสามารถเข้าถึงทุกความเคลื่อไหวของเราผ่านสิ่งเหล่านี้ได้ตลอด
เกิดกระแสต่อต้านแบบถล่มทลาย ?
ซึ่งสิ่งที่เกริ่นข้างต้นนั้นก็คือ พ.ร.บ.ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่รัฐบาลชุดปัจจุบันนั้นได้ร่างและผลักดันมาตลอด โดยตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งในตอนนั้นประชาชนตื่นตัวกับ กฎหมายความมั่นคงฉบับนี้มากและเกิดกระแสต่อต้านแบบถล่มทลายทำให้รัฐ ต้องพับโครงการกันไปก่อน แต่ภายใต้การยอมถอยนั้นก็ยังมีการผลักดันมาเรื่อย ๆ
‘ พ.ร.บ. นี้ผ่าน เราจะถูกจับตาได้แบบ Real time
และสามารถเข้าถึงข้อมูลรวมถึงตรวจสอบและยึดอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล ‘
หากถามว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงฉบับนี้ ถูกร่างมาเพื่อความมั่นคงของใคร ตอบได้ง่ายดายเลยว่า เพื่อความมั่นคงของรัฐบาลเองนั่นแหละ ส่วนประชาชนตาดำ ๆ นั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลยหาก พ.ร.บ. นี้ผ่าน เราจะถูกจับตาได้แบบ Real time หรือเพียงแค่คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) เล็งเห็น หรือ “คาดว่า” จะเกิดภัยคุกคาม พวกเขาเหล่านี้สามารถเข้าถึงข้อมูล รวมถึงตรวจสอบและยึดอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล และเพื่อประโยชน์ในการค้นข้อมูลเจ้าหน้าที่สามารถหาข้อมูลจากใครก็ได้
จากอำนาจของการค้นข้อมูลได้อย่างอิสระของรัฐบาล ที่ลดทอนความเป็นส่วนตัวของประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนรับไม่ได้ ทีนี้ เรามาดูความน่ากลัวของร่างพ.ร.บ.นี้กัน ว่าผลเสียที่เป็นไปได้ที่จะเกิดกับเรามีอะไรบ้าง

นิยามภัยไซเบอร์ที่ขอบเขตกว้างขวาง ซึ่งครอบคลุมทุกความเคลื่อไหวบนโลกออนไลน์ และระบุได้ว่าเนื้อหาบนโลกออนไลน์เป็นภัยคุมคามทางไซเบอร์ได้ 3 ระดับคือ
- ระดับไม่ร้ายแรง ภัยคุกคามที่ทำให้โครงสร้างพื้นฐานหรือบริการของรัฐด้อยประสิทธิภาพลง
- ระดับร้ายแรง คือภัยคุกคามที่โจมตีระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการของรัฐไม่สามารถให้บริการได้
- ระดับวิกฤติ ภัยคุกคามจากการโจมตีทางข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่ทำให้การทำงานของหน่วยงานรัฐล้มเหลวทั้งระบบจนรัฐไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งในข้อนี้นิยามภัยคุกคามนั้นครอบคลุมถึงเนื้อหาต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ ซึ่งรัฐบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลนั้นและตรวจสอบเนื้อหาความเห็นต่างหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต่อต้านรัฐบาลได้
‘ พ.ร.บ.ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์นี้
รัฐบาลสามารถยกมาใช้เป็นเครื่องมือเอื้อความมั่นคงให้ฝ่ายตนมากกว่า ‘
ซึ่งหากมองเรื่องนี้เพียงผิวเผิน คุณอาจบอกว่า “ก็ไม่เห็นจะร้ายแรงเลยนี่” แต่หากมองให้ลึกลงไป พ.ร.บ.ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์นี้ รัฐบาลนั้นสามารถยกมาใช้เป็นเครื่องมือเอื้อความมั่นคงให้ฝ่ายตนมากกว่า ยกตัวอย่างการใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ล่าสุดมีการแจ้งข้อหา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในกรณีไลฟ์สดผ่านเฟสบุ๊ควิจารณ์ คสช. ซึ่งชี้ให้เห็นได้ชัดว่า พ.ร.บ.เหล่านี้ที่พวกท่าน ๆ ร่างขึ้นมาต่างถูกเอามาใช้เพื่อริดรอนสิทธิ์ของผู้อื่น และเรื่องนี้ยังถูกยกมาพิพากษ์วิจารณ์กันไปในทิศทางว่าเป็นการตัดขาคู่ต่อสู้ เนื่องจากธนาธรได้รับความนิยมในช่วงนี้
*ข้อมูลล่าสุด* อัยการได้เลื่อนการพิจารณาคดีของนายธนาธรออกไปเป็นวันที่ 26 มี.ค. ที่จะถึงนี้