
หลังประสบความสำเร็จในการปลุกชีพสัตว์โลกล้านปีกลับมาโลดแล่นบนจอใหญ่แล้วฟันรายได้แบบพุงกางกว่า 1,672 ล้านเหรียญสหรัฐทั่วโลก ก็ไม่แปลกที่ ยูนิเวอร์แซล จะเข็นภาคต่อของเหล่าไดโนเสาร์อย่าง Jurassic World ออกมาอีกครั้งกับ Fallen Kingdom เรื่องราวภาคต่อที่มาในโทนซีเรียส จริงจังมากขึ้น ทว่าน่าเสียดายที่เนื้อหามันยังวนเวียนอยู่ในอ่างไม่ไปไหน
Fallen Kingdom เล่าเรื่อง 2 ปีถัดมาหลังจากที่สวนสนุก Jurassic World พังทลายไม่เป็นท่าเพราะการควบคุมไดโนเสาร์ในสวนสนุกไม่อยู่ จนมีนักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บมากมาย กระทั่งเกิดข้อถกเถียงในสังคมโลกว่าควรจะทำอย่างไรกับเหล่าไดโนเสาร์ (ที่นำ DNA มาโคลนนิ่งให้เหมือนจริง) ที่เพ่นพ่านอยู่ทั่วเกาะ ทั้งการขนย้ายไปอยู่ที่ๆ ปลอดภัย หรือรอโดนภูเขาไฟกวาดให้สูญพันธุ์
ขณะเดียวกัน แคลร์ เจ้าของสวนสนุกคนเดิม ก็ได้รับข้อเสนอจากเศรษฐีรายหนึ่งในการช่วยนำไดโนเสาร์ย้ายไปอยู่เกาะร้างซึ่งเป็นที่ดินที่พวกเขาซื้อไว้ โดยมี โอเวน คนรักเก่ามาช่วยอีกแรง ทว่ากลับเกิดเหตุพลิกผันเมื่อทั้งคู่และทีมงานถูกคนสนิทของเศรษฐีที่รับหน้าที่ดูแลงานนี้หักหลัง และจับไดโนเสาร์ที่อยู่บนเกาะนั้นเอาไปขายทอดตลาดฟันกำไร
ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดความยาวเกือบ 2 ชั่วโมง หนังมอบความบันเทิงให้กับคนดูอย่างเต็มอิ่มตามประสาหนังบล็อกบัสเตอร์ฉายรับช่วงซัมเมอร์ แต่สิ่งที่น่าผิดหวังมากๆ คือเนื้อหาของ Fallen Kingdom ไม่ได้นำพาคนดูและแฟนหนังไปสู่ทิศทางใหม่ๆ เลย หนังยังวนเวียนอยู่กับเรื่องของเหล่ามนุษย์จอมละโมบที่หวังใช้ไดโนเสาร์เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง และมันก็จบที่พวกมนุษย์เหล่านั้นถูกไดโนเสาร์เขมือบเหมือนกันทุกภาค
ถัดมาคือการเล่าเรื่องที่ไตรภาค Jurassic World นำเสนอในแนวทางแอ็คชั่นกันอย่างเต็มเหนี่ยว ประเคนทั้งฉากไดโนเสาร์สู้กันเอง สลับกับการระเบิดภูเขาเผากระท่อม สิ่งเหล่านี้ภาคก่อนได้นำเสนอไปหมดแล้ว พอมาถึง Fallen Kingdom มันเลยกลายเป็นการฉายหนังซ้ำ ขณะเดียวกันยังทำให้สาวก Jurassic Park ไตรภาคดั้งเดิมรู้สึกผิดหวังด้วยเพราะหนังชุดใหม่เล่นทำลายเสน่ห์การเอาตัวรอดแบบ Survivor ระทึกขวัญไปเสียฉิบ
สำหรับแฟนเก่าๆ คงจำได้ดีกับฉากที่เด็กน้อย 2 คน เล่นซ่อนแอบเอาตัวรอดในห้องครัวกับเหล่าแร๊พเตอร์ในภาคแรก หรือฉากวิ่งหนีทีเร๊กซ์กลางป่าใหญ่ในภาค The Lost World ว่ามันแสนหวาดเสียวลุ้นระทึกแบบแทบจะลืมหายใจ แต่พอมาเป็นไตรภาค Jurassic World กลับตัดฉากระทึกขวัญอันเป็นเสน่ห์เหล่านั้นไปหมดเลย เวลามีฉากไดโนเสาร์ออกมาสู้กัน ก็ไม่ต้องลุ้นอะไรกันมากมายคอยดูว่าตัวไหนชนะก็พอ

เช่นเดียวกับตัวของไดโนเสาร์ เมื่อภาคก่อนนำเสนอไดโนเสาร์นักล่าตัวใหม่ที่ใช้ DNA 2 ชนิดมาผสมกันจนเป็นตัวที่โคตรดุ ภาคนี้พวกเขาก็ทำซ้ำมันอีกรอบกับ “อินโดแร๊พเตอร์” แร๊พเตอร์พันธุ์หัวมีขน (ที่เห็นแล้วขำมากกว่าน่ากลัว) อวดอ้างสรรพคุณกันเต็มที่ว่าฉลาด ปราดเปรื่อง เก่งขนาดเปิดประตูห้องนอนเด็กได้ กระนั้นเรายังคิดถึงความน่ากลัวของ แร๊พเตอร์ หรือสายพันธุ์นักล่าอย่าง ทีเร็กซ์ แบบเดิมๆ มากกว่า จนกลายเป็นว่าภาคหลังไดโนเสาร์จะกลายเป็นเอเลี่ยนกันหมดแล้ว (ฮา) แม้แต่ ทีเร๊กซ์ พระเอกของทุกภาคยังเป็นได้แค่ตัวประกอบ ช่างน่าเศร้านัก
ร่ายมาซะยาวดูเหมือน Fallen Kingdom จะไม่มีอะไรดีเลย กระนั้นมองในแง่ความบันเทิง มันก็ยังเป็นหนังที่ดูสนุกอยู่ ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป หนังเดินเรื่องเร็วแบบไม่ยืดเยื้อ ที่สำคัญแฟนๆ ที่ติดตามกันมาตั้งแต่ภาคแรกคงมีช่วงน้ำตาไหลกันบ้างเพราะทีมงานก็ใส่มุขคารวะไตรภาคเดิมที่ สตีเวน สปีลเบิร์ก สร้างชื่อหลายจุดเช่นการที่ตัวละครถามว่า “เห็นไดโนเสาร์ครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง” / ฉากวิ่งหนีลาวาภูเขาไฟ ที่ชวนให้คิดถึงฉาก ดร.แกรนท์ พาเด็กวิ่งหนีไดโนเสาร์ในลานโล่งกว้างในภาคแรก / ฉากเด็กสาวปิดประตูเลื่อนหนี อินโดแร๊พเตอร์ ที่พุ่งเข้ามาฉก ก็คล้ายกับฉากเด็กน้อยปิดประตูหนี แร๊พเตอร์ ภาคแรกเช่นกัน กระทั่งเหล่าแก๊งนายพรานก็ดันเหมือนแก๊งเดียวกับ The Lost World อีกต่างหาก

อีกส่วนที่ผู้เขียนชอบเป็นพิเศษ คือการที่หนังเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่าง โอเวน กับ บลู แร๊พเตอร์สีน้ำเงินที่ภาคแรกนำเสนอออกมาในแง่ของคนเลี้ยงกับสัตว์ธรรมดาๆ แต่ภาคนี้จะพาไปให้เห็นกันตั้งแต่วันที่ โอเวน เริ่มฝึก บลู ตั้งแต่เด็กๆ จากสัตว์ที่ควรจะดุร้ายตามสายพันธุ์ ก็กลายเป็นสัตว์ที่เชื่อฟังคนเลี้ยงอย่างดี ตรงนี้ช่วยเสริมให้คนดูเข้าใจความผูกพันของคู่นี้มากยิ่งขึ้น และไม่น่าแปลกใจถ้าจะทำให้ใครบางคนเสียน้ำตาในตอนจบ

Fallen Kingdom อาจไม่ใช่หนัง Jurassic Park ที่ดีนักด้วยข้อเสียที่เล่าเรื่องบทเรียนเดิมๆที่เหล่ามนุษย์หน้าโง่หลายๆ คนไม่เคยจำมาเล่าซ้ำจนเบื่อ (พวกเอ็งไม่เคยดูภาคเก่าๆ กันเหรอวะ?) แต่ดูจากตอนจบที่เปิดโอกาสให้ เหล่าไดโนเสาร์ ออกจากพื้นที่ Comfort Zone ไปสู่ “โลกใหม่” ที่พวกมันไม่คุ้นเคย ก็น่าสนใจยิ่งว่าภาคต่อไป ทีมงานจะนำพาสัตว์โลกล้านปีเหล่านี้ ไปสร้างหายนะวอดวายได้ขนาดไหน
เผลอๆ ว่าฉากจบนี่แหละ…ที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นขนลุกขนชันมากกว่าหนังทั้งเรื่องซะอีก





























