เมื่อ DNA ขบถในมนุษย์เตรียมออกฤทธิ์ในปี 2569

เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2568 นับเป็นปีที่เมืองไทยและสังคมโลกได้เผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงอย่างหนักหน่วง ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง อย่างเมืองไทยเองปีนี้เรียกได้ว่าพบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติแทบจะทุกเดือน ตั้งแต่ภัยแล้ง แผ่นดินไหว ที่ส่งผลกระเทือนไปหลายพื้นที่ในเขตภาคกลาง อุทกภัยทั้งในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และล่าสุดที่ภาคใต้ ซึ่งภาพของหาดใหญ่น่าจะทำให้หลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยถึงการบริหารจัดการของภาครัฐในช่วงเวลาวิกฤติ

ขณะที่สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ ที่เรียกได้ว่าเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพงไปทั่วโลก ส่วนหนึ่งมาจากสงครามระหว่างประเทศคู่ขัดแย้ง และสงครามการค้า เรื่อยไปจนถึงความเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานที่ AI กลายเป็น Rain Bomb สร้างความเปลี่ยนแปลงไปทั่วทุกวงการ

ทั้งหมดเป็นบางส่วนของสิ่งที่พวกเราได้รับผลกระทบและดูเหมือนว่าปัญหาทุกอย่างยังคงตามต่อไปในปีหน้า เพียงแต่ช่วงเวลาปีใหม่เหมือนการกด pause ชั่วขณะ ให้ทุกคนได้หาความสุขให้กับตนเองเพื่อกลับลงสู่สนามไปสู้ต่อ สัปดาห์นี้เลยขออนุญาตนำเอาการคาดการณ์ของเทรนด์การตลาดโลกในปี 2569 ซึ่งเป็นการคาดการณ์โดย MINTEL.COM เว็บไซต์ของบริษัทที่เป็นเอเยนซี่ในการทำการตลาดให้กับบริษัทชั้นนำระดับโลก

โดย MINTEL ได้ระบุถึงสามพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกในปีหน้าเอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยประการแรกคือ Anti Algorithm ตลอดระยะเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา เหล่าเทคคอมพานีและโลกโซเชียลมีเดีย พยายามจะใช้อัลกอริธึมในการติดตามพฤติกรรมของผู้บริโภค และฟีดเฉพาะข้อมูลที่ผู้บริโภคสนใจ แต่ปีหน้า อัลกอริธึมจะถูกต่อต้านจากผู้ใช้งานแล้ว เพราะพวกเขารู้สึกว่าตัวตนและโลกทัศน์ของตนเอง ไม่ได้รับอิสระ และถูกลดทอนความเป็นตนเองลง นั่นหมายความว่าแบรนด์ใดซื่อสัตย์พอที่จะนำความเป็นมนุษย์กลับคืนมา แบรนด์จะถูกเลือกจากผู้บริโภค

พฤติกรรมที่สองคือ The New Young เส้นแบ่ง “อายุ” แบบเดิมกำลังถูกเปลี่ยนความหมาย และนิยามของคำว่า “คนหนุ่มสาว” ก็เปลี่ยนไปด้วย เมื่ออายุขัยยาวขึ้นและเป้าหมายของชีวิตไม่ตายตัวเหมือนในอดีตอีกต่อไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ “วัยกลางคน” ที่จะมีช่วงอายุที่มากขึ้น เราจึงเห็นการเกิดขึ้นของ “วัยกลางคนที่ยาวขึ้น” แบรนด์ที่ยังโฟกัสเฉพาะความเป็นหนุ่มสาว หรือคิดว่าความสำเร็จเริ่มหลังเกษียณ อาจพลาดโอกาสมหาศาลจากกลุ่มผู้บริโภคที่อยู่ในช่วงกลางของชีวิตที่ขยายยาวออกไป

ประการสุดท้ายคือพฤติกรรม Affection Deficit ในสังคมที่แบ่งแยกมากขึ้น การปะทะกันของค่านิยมทำให้หลายคนถอยกลับเข้า “โลกส่วนตัว” ของตัวเองมากขึ้น เทคโนโลยีอัตโนมัติก็ถูกนำมาใช้แทนการมีปฏิสัมพันธ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและปลอดภัย แต่ทำให้ความอบอุ่นของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ค่อย ๆ หายไป แบรนด์ต้องเลือกว่าจะ “สร้างพื้นที่เพื่อมนุษย์สื่อสารกันเพื่อความเข้าใจมากขึ้น” หรือ “จะทุ่มสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองให้กับตลาดอย่างเดียว”

ทั้งสามพฤติกรรมที่ MINTEL.COM ได้วิเคราะห์ว่าจะเป็นพฤติกรรมของผู้บริโภคทั้งโลกนั้น เรียกได้ว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงอย่างมาก เพราะหลังจากสนุกสนานกันในฟองสบู่ของเทคโนโลยีมาเกือบสองทศวรรษ ประชากรบนโลกเริ่มโหยหาการดำเนินชีวิตแบบสามัญมากกว่าแฟนตาซีจากคอมพิวเตอร์ เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมี DNA ขบถอยู่ในตนเอง

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ